< < 97 Sec3 > >
มิรันด้า นักเรียนแลกเปลี่ยนชั่วคราวจากเนลยอน
เป็นคนที่มีแต่เรื่องน่าสงสัยเต็มไปหมด ถึงจะยืนยันแล้วว่าเป็นคนรู้จักของเอเธอร์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยสละข้อหาที่เธอนั่งขุดดินและทำอะไรสักอย่างอยู่ไปได้
ให้เดาคงเป็นวิชาไสยศาสตร์ ตอนที่สู้กันก็เห็นเธอเตรียมใช้ไสยศาสตร์แล้ว ไม่รู้ว่าที่ใช้คืออะไรเหมือนกัน แต่ช่วงจังหวะที่ปะทะกันผมก็สังหรณ์ใจแปลกๆ รู้สึกว่าถ้าผมไม่รีบทำลายมันทิ้ง คนที่ซวยจะเป็นผมเอง
คนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ จำเป็นต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก
อาจจะดูยกตัวเองว่าเก่งไปหน่อย แต่มันก็คือความจริงว่าผมแข็งแกร่ง และต้องยอมรับด้วยว่าอีกฝ่ายเองก็เช่นกัน
ผมถอนหายใจเฮือกโต
“คิดยังไงกับมิรันด้าบ้างล่ะ”
‘คิดว่าน่าสนใจดีค่ะ อายุเท่ามาสเตอร์ เป็นผู้ใช้วิชาไสยศาสตร์ แต่พลังกายพื้นฐานดูจะเยอะกว่ามาสเตอร์อีก’
บอกเป็นนัยน์ว่ามีอย่างหนึ่งแล้วที่เจ้าหล่อนเหนือกว่าผม
“นั่นสินะ ..วิชาไสยศาสตร์ก็มีข้อเสียเหมือนเวทมนตร์ ถ้าเกิดพัฒนาวงจรเวทย์เพื่อใช้เวทย์โดยเฉพาะ กายภาพก็จะไม่เติบโต วิชาไสยศาสตร์เองก็ไม่ต่างกันมากนัก พวกนั้นเล่นกับกฎของโลก วงจรเวทย์ก็พัฒนาเพื่อด้านนั้น การที่เป็นนักเวทย์หรือนักไสยศาสตร์ โดยที่กายภาพมาถึงระดับที่เหนือกว่าฉันได้เนี่ย ..สำหรับคนอายุเท่ากัน มันเป็นกรณีที่เข้าขั้นหนึ่งในล้าน”
นี่เป็นหนึ่งในความลับที่น้อยคนในโลกนิยายแห่งนี้จะรู้กัน มีแค่ตัวตนชั้นสูงเท่านั้นที่รู้
‘วงจรเวทย์’ มันก็เหมือนกับกระดาษสีขาว เราสามารถแต่งเติมให้มันพัฒนาไปตามที่เราอยากได้ โดยการวาดสร้างสิ่งที่เราต้องการ ซึ่งในชีวิตจริงจะเป็นการฝึกฝน แต่วงจรเวทย์มันคือกระดาษที่มีพื้นที่จำกัด
ถ้าเกิดเราวาดสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ประมาณแปดสิบส่วน เราก็จะเก่งเวทมนตร์มากๆ อีกยี่สิบส่วนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฝึกอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกายภาพ สภาพก็จะเป็น เวทมนตร์80/กายภาพ20
แน่นอนว่าถ้าเราพยายามมากพอ เราก็สามารถดึงกายภาพให้สูงขึ้นได้ แต่เวทมนตร์ก็จะด้อยลงแทน เพราะวงจรเวทย์ไม่ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น มันมีขนาดเท่าเดิม
ด้วยเหตุนี้จึงมีสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์เพิ่มเข้ามา พรสวรรค์ทำให้หลายคนสามารถเก่งเกินมนุษย์ได้ อาทิเช่นนักดาบขั้นบรรลุ หรือนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษจนไปถึงขั้นบรรลุ เจ้าพวกนี้ส่วนมากจะเป็นพวกมีพรสวรรค์ มีแค่ส่วนน้อยที่ขึ้นมาได้ด้วยความพยายามแบบลากเลือด
การที่ผมขึ้นเป็นนักเวทย์ขั้นพิเศษ ที่หากวัดที่ระดับพลังต่อสู้นั้นก็ไม่ต่างกับนักเวทย์ขั้นบรรลุแล้ว ทั้งยังมีกายภาพระดับขั้นสูง ทั้งๆที่อายุเพียงแค่ 17 ปี มันหมายความว่าผมคือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
แน่นอน ผมเองก็พยายามอย่างหนักจนมาถึงตอนนี้ได้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อยู่ดีที่มาถึงจุดๆนี้ได้เป็นเพราะพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดของตัวเอง
ปัจจุบันนี้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองถึงทางตันแล้วหรือยัง เพราะกระดาษสีขาวในวงจรเวทย์เราไม่สามารถเห็นมันได้ หน้าที่ของผมคือฝึกฝนตัวเองต่อไป ทั้งเวทมนตร์และกายภาพ ผมตั้งใจให้มันเป็น เวทมนตร์80/กายภาพ20 ล่ะนะ
‘แต่มันก็จะมีพวกข้อยกเว้นมาด้วย อาทิเช่นตัวฉัน’
ยูนาโพล่งขึ้น เธอคือหนึ่งในข้อยกเว้น
“เธอเป็นพวกมีมานารูปแบบพิเศษ เป็นพลังสำเร็จรูปที่เธอไม่จำเป็นต้องขัดเกลา ที่ทำมีแค่คิดค้นการใช้งานเท่านั้น ส่วนของวงจรเวทย์จะใช้ยังไงก็แล้วแต่เลย’
มันหมายความว่า ยูนามีจุดเด่นที่แกร่งเหนือยิ่งกว่าเวทมนตร์ เธอมี ‘ตัดมิติ’ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียพื้นที่ในวงจรเวทย์ไป แบบผม
พวกที่มีมานาสร้างปรากฏการณ์แปลกๆได้มันถึงได้แกร่งกว่าคนปกติ เพราะพื้นที่ที่ควรจะเสีย เจ้าพวกนั้นก็ไม่เสียเลยสักนิด เป็นข้อได้เปรียบ—เป็นพรสวรรค์ฟ้าประทานชั้นเทพ
หากลองนึกชื่อของวิญญาณระดับเทพดู ส่วนใหญ่มันจะมีแต่พวกที่สร้างปรากฏการณ์ได้ทั้งนั้น ให้ลองนึกๆดูก็
‘ไอน์’ วิญญาณระดับเทพของการ์ปที่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้
‘อลัน’ วิญญาณระดับเทพของยูจิ สามารถหักล้างทุกสรรพสิ่งได้
สองตัวตนข้างต้นเหมือนกับยูนา คือมีมานารูปแบบพิเศษสำเร็จรูปที่ทรงพลังยิ่งกว่า เวทมนตร์ ไสยศาสตร์ เจ้าพวกนี้ที่มีพลังสูงขนาดนี้ สามารถพัฒนาวงจรเวทย์ตัวเองไปทางกายภาพได้สุดขีด ทำให้เกิดเป็นพวกสัตว์ประหลาดที่ซัดมหามังกรตายได้ หรืออย่างโหดแบบยูนาคือซัดมหามังกรพร้อมกันสองตัวได้
ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพเองก็ได้พลังสำเร็จรูปพวกนั้นมา และเพราะเป็นพลังสำเร็จรูปที่ต้องจ่ายเลยมีแค่มานาเท่านั้นในการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเสียพื้นที่วงจรเวทย์ไป
อาจจะกล่าวได้ว่าถ้าพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ผมมีสิทธิ์จะแกร่งเทียบเท่ายูนา
จริงๆข้อยกเว้นยังมีอีกมากมาย แต่มันเป็นแค่ส่วนน้อย ส่วนมากจะเป็นพวกที่มีมานารูปแบบพิเศษกันล่ะนะ
‘จะว่าไปอลันสินะคะ วิญญาณระดับเทพของคุณยูจิ’
อนึ่งที่ยูนาเติมคุณนำหน้าชื่อยูจิ เป็นเพราะยูนาเคราพยูจิจากการที่ผมป้ายยาเธอกว่าสองปี
“อ่า ..แทบไม่มีโอกาสได้คุยกับอลันเลยแฮะ”
‘อลัน’ เป็นวิญญาณในยุคโบราณ เขาเป็นข้ารับใช้ของทวยเทพในอดีต และเป็นวิญญาณระดับเทพคนแรกด้วย เพราะเขาตายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับจอมมาร—อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าจอมมารคือผู้สร้างระบบวิญญาณระดับเทพ
ด้วยเงื่อนไขของจอมมาร ทำให้จอมมารและอลันขึ้นเป็นวิญญาณระดับเทพยุคแรก
ทั้งหมดเป็นเนื้อหาในนิยาย มีแค่ผมที่รู้แหละ
“ว่าตามตรง อยากคุยกับอลันเหมือนกันแฮะ”
หมอนั่นคือตัวเด่นในนิยาย ภูมิหลังของเจ้าตัวผมรู้หมด และอยากจะสนิทด้วย ถ้าเป็นไปได้
‘เช่นนั้น ลองไปขอคุณยูจิคุยด้วยเถอะค่ะ’
“อ่า ไว้เจอกันเมื่อไหร่นะ”
‘ในฐานะวิญญาณระดับเทพเช่นเดียวกัน ฉันเองก็อยากพบเจอด้วยเหมือนกัน’
ผมคุยกับยูนาเรื่อยเปื่อยระหว่างทาง จนไปถึงหน้าหอ ผมก็พบกับหนิง
เจ้าตัวกำลังยืนจ้องหน้ากับโซล่าอยู่
…
‘บรรยากาศย่ำแย่มากเลยนะคะ มาสเตอร์’ ยูนาถอนหายใจ ‘เกรงว่าจะตบกันแล้ว มาสเตอร์ช่วยไปห้ามด้วยค่ะ’
“ครับๆ สั่งเก่งจังเลยนะ”
ผมเดินไปขั้นกลางสองคนนั้น หนิงใช้หางตามองผม ต่างกับโซล่าที่มองผมด้วยตาที่เป็นประกายรูปหัวใจ
“เจ้าชาย—มาช่วยฉันแล้วสินะคะ?”
“ไม่ใช่เจ้าชาย ..แต่ก็มาช่วยนั่นแหละ ไหงอธิบายสิ ทำไมพวกเธอถึงยืนจ้องเหมือนกับจะฆ่ากันอย่างนั้นล่ะ”
โซล่ามองหนิงแบบเคืองๆ ต่างกับหนิงที่เบือนหน้าหนี
“จู่ๆเธอก็มาบอกฉันว่าอย่าเกาะแกะยูจิน่ะค่ะ”
โซล่าชี้นิ้วไปทางหนิง ท่าทางชวนนึกถึงเด็กประถมที่ฟ้องครู
“เห้ย” ผมหันไปขึ้นเสียงใส่หนิง
“กะ ก็มัน! ไม่ใช่รึไง!?”
“ไม่ใช่ค่ะ! หวานใจฉันคือคุณเรเซอร์เขาต่างหาก”
“เดี่ยวๆ อย่ามาบอกว่าฉันเป็นหวานใจได้มั้ยเนี่ย มันอึดอัดนะครับเห้ย”
โซล่าไม่ฟังที่ผมพูดและพุ่งมาคล้องแขนผม ทำเอาผมรู้สึกไมเกรนขึ้นเลย
“ถึงยังไงก็เถอะ เธอคิดว่าโซล่าชอบยูจิเลยจะมาดักตบสินะ”
“อือ ตอนแรกก็คิดว่าใช่ เพราะเห็นอยู่กับยูจิตลอด รู้สึกเหมือนเห็นยุงบินไปมาน่ะ”
“อย่าคิดเองเออเองสิหล่อน ..แล้วก็จะตบเขาเพราะเรื่องแค่นี้ ใช่เรื่องมั้ยเนี่ย”
หนิงถอนหายใจใส่ผมกลับ
“บอกตอนไหนว่าจะตบหะ?”
“ไม่ใช่รึไง บรรยากาศเหมือนนางเอกนางร้ายคุยกันในละครหลังข่าวแท้ๆ”
“ละครหลังข่าว? ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะตบสักหน่อย ถ้าจะตบน่ะ สู้พ่นไฟใส่ก็จบ”
สัญชาตญาณมังกร ดิบเถื่อนชะมัด แต่ก็นั่นสินะ แทนที่จะตบ สู้ปล่อยไฟให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกคงถูกใจหนิงมากกว่า ..อา ..ไม่ดิ มันเทียบกันได้ที่ไหน
“พูดจริงนะ?”
“เออสิ คิดว่าฉันเป็นพวกชอบใช้กำลังโดนไร้เหตุผลหรือไง”
ก็ใช่น่ะสิ
คิดแบบนี้แต่ผมไม่ได้พูดออกไป เดี่ยวมีเรื่องอีก
“แล้วมาชวนคุยนี่อะไร สุดท้ายก็กะจะชวนทะเลาะนิ”
“ชวนทะเลาะ? ไม่ๆ แค่เห็นว่าอาจจะชอบยูจิเหมือนกันน่ะ ฉันเลยมาทักทายเฉยๆ และมีสิ่งที่อยากทำมาตลอดด้วย”
หนิงยิ้มแก้มปริ ตาเป็นประกายสาวน้อย
ดูจะอยากคุยด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ แต่บรรยากาศที่ผมเห็นมันกลับแย่เอง อาจเป็นเพราะหนิงคุยไม่ค่อยเก่งก็ได้
หนิงเดินไปหาโซล่าที่หลบอยู่หลังผม และยื่นมือให้
“คู่แข่งกันสินะ!”
อ๋อ อยากได้คู่แข่งน่ะเอง คู่แข่งด้านความรัก โรแมนติกดีแฮะ เหมือนหนังสือที่พักนี้หนิงชอบซื้อมาอ่าน เพราะมีอิสระเรื่องการเลือกอ่านมากขึ้นแล้วเลย
แต่การยื่นความเป็นมิตรให้คู่แข่งแบบนี้ ดูท่าหนิงจะมั่นใจตัวเองสูงมากเลยว่าตูไม่แพ้แน่ๆ
“..ไม่ใช่คู่แข่งหรอกนะคะ” โซเฟียหลบหน้า “ก็ฉันไม่ได้ชอบคุณยูจิสักหน่อย”
“เหรอ น่าเสียดาย นึกว่าเธอจะเข้าใจสเน่ห์ของยูจิเหมือนเรเซอร์ซะอีก” หนิงพูดแบบเคืองๆ
“ใช่ ยูจิน่ะน่ารักมากเลยนะ หวังว่าสักวันเธอจะเข้าใจ” ผมเสริมด้วย
‘มีให้เห็นบ่อยๆนะคะมาสเตอร์ พวกตาไม่ถึงน่ะ’ ยูนาเองก็ช่วยเสริม
โซล่าเห็นก็อึ้ง
“ก็เป็นคนดีและคุยถูกคอกับฉันอยู่นะคะ ..แต่เอาเป็นว่าไม่ได้ชอบแบบเพศตรงข้ามนะคะ จบรึเปล่า?”
โซล่าโพล่งใส่หนิง หนิงพยักหน้ารับ แต่ก็ยังไม่ลดมือ
“ถ้านั้นก็ฝากตัวด้วยนะ ..ในฐานะ ‘เพื่อน’”
หนิงครี่ยิ้มให้โซล่า …
“..” โซล่าหันมามองหน้าผม เหมือนจะคิดบางอย่างอยู่ “ค่ะ ฝากตัวด้วย”
โซล่าจับมือหนิง เป็นอันว่าทั้งสองไม่ได้ทะเลาะกันแค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ
ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าหอ
“อ๊ะ คุณเรเซอร์” โซล่าเรียกผม
“มีอะไรเหรอ?”
“คือว่า—พรุ่งนี้ว่างรึเปล่า?”
พวกเรามีเวลาสองวันก่อนจะเริ่มเรียน ไม่มีทางที่พรุ่งนี้ผมจะไม่ว่างหรอก
“ก็ว่าง ทำไมเหรอ”
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน สนใจรับประทานอาหารเช้ากับฉันรึเปล่าคะ?”
..ดูก็รู้ว่าโซล่ากำลังเข้าหาผมอยู่
หนิงปิดปากและเดินถอยหลังแบบช้าๆ
“ตายแล้ว ใจกล้าอะไรแบบนี้” หนิงพูด
ผมจ้องหน้าโซล่าที่ดูจริงจัง ..
“..ฉันชวนคนอื่นมาด้วยได้รึเปล่า”
“..เอ๊ะ..เอ่อ” โซล่าคิดสักพัก “ค่ะ ได้ค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้านะ เจอกันตรงไหนดีล่ะ”
จากนั้นโซล่าก็เริ่มอธิบายรายละเอียดให้ผม เหมือนว่าเกาะวาเรอร์จะมีเมืองเล็กๆอยู่ด้วย ที่นั่นมีร้านอาหารอยู่ และเธอก็นัดไว้ตอนเช้าตรู่หน้าหอด้วย
“ตามนี้นะ”
“ค่ะ ถ้านั้นขอตัว”
โซล่าเดินเข้าหอไป ในที่นี้เลยเหลือแค่หนิงกับผม
“ไม่ไหวเลยนะ”
หนิงเอาศอกขึ้นพิงไหล่ผมเล่นโดยที่มองส่งโซล่าไปด้วย
ผมกับหนิงสนิทกันจนสกินชิพได้นิดหน่อย อาทิเช่นคล้องคอหรือพิงตัวกันประมาณนี้
แน่นอน สัมผัสที่ได้มันต่างกับตอนสกินชิพกับเบลลามีอยู่แล้ว
“น่าสงสารแย่”
“ช่วยไม่ได้ ทางนี้ก็ปฎิเสธไปแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ยอมสักที”
ช่วงนั่งเรือไอน้ำมา โซล่าก็เข้าหาผมตลอด แม้ว่าผมจะพยายามหลีกเลี่ยง
บอกตามตรง รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย
“คงจะลำบากใจสินะ เข้าใจเลย อย่างที่เห็นฉันฮอตมาก เลยโดนผู้ชายตอมเอาตอมเอา”
หนิงพูดแบบอวดเก่งมาก ทำผมรู้สึกหมันไส้หน่อยๆ
“แต่ฉันเองก็เข้าใจโซล่านิดหน่อย ..โซล่าคล้ายฉันนิดหน่อยน่ะนะ” หนิงหรี่ตาลง “ไม่ได้จะบอกว่าโซล่าทำถูกหรอกนะ”
“ที่บอกว่าเหมือนคือตรงที่คนที่ชอบไม่แลสินะ”
น่าสงสารจัง
“ของฉันเขาแลย่ะ! ยูจิไม่ได้นิสัยเสียเหมือนแกสักหน่อย!”
“ครับๆ”
หนิงผละตัวออกจากไหล่ ผมและมีปัดฝุ่นออกจากศอกตัวเองด้วย ทำตัวกวนประสาทดีเหลือเกิน
“แล้วอะไรที่เหมือนกันล่ะ?”
“ไม่บอกหรอก มันน่าอาย”
กล่าวจบหนิงก็วิ่งเข้าหอไป ชวนให้ผมเก็บไปคิดอีกว่าแล้วหล่อนจะพูดเปิดประเด็นทำซากทำไม
ผมถอนหายใจเฮือกโต ก่อนจะเดินเข้าหอตามไป
****
ในป่านอกวิทยาลัยเวทมนตร์ เคียวยะนั่งพิงต้นไม้ และอ่านหนังสือไปด้วย โดยที่หนังสือที่อ่านคือนิยายของตัวเอง
ไม่รู้ทำไม แต่ระหว่างที่อ่านคิ้วของเคียวยะก็กระตุกไปด้วยตลอด จนเขาทนไม่ไหว
“ไม่ได้เรื่อง”
เคียวยะหลับตาลง และปิดหนังสือลง เขาวางมันไว้ข้างๆตัวก่อนจะปล่อยตัวนอนพิงต้นไม้ โดยที่ใช้แขนรองหัวตัวเองไว้อยู่
“คุณภาพไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ทำไมกันนะ เป็นเพราะวัตถุดิบมันไม่ดีพอเหรอ? หรือว่ามือฉันไม่ถึง”
ว่างๆ เคียวยะจะมานั่งคิดและพัฒนานิยายของตัวเอง แต่พักหลังๆมานี้ นิยานของเขาไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลยจนรู้สึกหงุดหงิด เหตุผลที่ไม่เขียนต่อคือไม่อยากปล่อยผลงานห่วยๆในสายตาของตัวเองไป แม้ว่าเบลลามีหรือเรเซอร์จะขอเล่มต่อ แต่เขาก็ให้ง่ายๆไม่ได้
เพราะสำหรับสองคนนั้น สำหรับผู้บริโภทงานของเขา ต้องได้รับผลงานชั้นยอดไปเท่านั้นถึงคู่ควร
แน่นอนว่าในหัวของเคียวยะมีภาพของเรเซอร์และเบลลามีมาก่อนลำดับแรก นั่นยิ่งรั้งไม่ให้เคียวยะเขียนงานห่วยๆเอาเงินเฉยๆ
เคียวยะตอนนี้เลยอยู่ในสภาพนอนเครียดอยู่หลังต้นไม้
และขณะที่เคียวยะกำลังนอนเล่นอยู่นั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลัง เป็นเสียงพุ่มไม้ขยับไปมา
ในทีแรกเคียวยะไม่สนใจ แต่เสียงมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆจนเคียวยะทนไม่ไหว ลุกขึ้นหันหลังไปใช้เท้าเตะเผยให้เห็นผืนหญ้าที่โล่ง
ไม่มีอะไร
แล้วเสียงเมื่อกี้หายไปไหน? เมื่อตะกี้ยังมีอยู่เลย
เคียวยะเลยเดินเข้าข้ามพุ่มไม้ไป และพบกับ ..มนุษย์ที่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาล เธอกำลังนอนราบกับพื้น คล้ายเล่นซ่อนแอบ
“แกเป็นใคร”
“–อ๊ะ!”
อีกฝ่ายตกใจ เคียวยะไม่รอช้าพุ่งตัวไปเปิดผ้าคลุมหัวและ—–พบกับเด็กสาวที่เคยเจอเมื่อไม่นานมานี้
..เอ๊ะ
“..เธอ”
เด็กสาวมีเลือนผมสีขาวและดำปนกัน โดยที่เหมือนจะมีสีขาวเยอะกว่า ดูๆแล้วอายุควรจะอยู่ระหว่าง 10-12 ปี มีผิวสีขาวไร้น้ำนวล ดวงตาสีเทาดูไร้ความรู้สึก แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังออด้อนอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะรูปลักษณ์ของเธอ
ถึงกระนั้น จากบรรยากาศรอบๆก็ดูไม่ใช่เด็กที่จะคุยเล่นด้วยสนุกสักเท่าไหร่—-เป็นเด็กทีดูมืดมน
เธอเป็นเด็กเมื่อเทศกาลโลหิตมังกร เด็กที่เคียวยะช่วยไว้จากนักเลง และพาไปกินข้าว ก่อนที่จะพลัดจากกัน ..เพราะเธอหนีมา และในตอนสุดท้าย ‘เรน’ และมหามังกรเทียมตนอื่นก็โผล่มา เป็นอันเริ่มการต่อสู้ในเทศกาลโลหิตมังกร
เพราะหลังจบศึก เรเซอร์ก็มาเล่าและชี้แจงรายละเอียดแต่ล่ะเรื่องให้ ทำให้เคียวยะรู้จักเรนดี และพอเข้าใจเรื่องของฝั่งเมอันดี รู้ด้วยว่าเธอเป็น ‘มหามังกรเทียม’
สำคัญกว่านั้นภาพในวันนั้น ภาพตอนที่เสื้อคลุมหลุดออกจากหัวเผยให้เห็นหูของเธอย้อนกลับมา
เธอคือ ‘เอลฟ์’ นามว่า—-
“ ‘เมอัน’ สินะ”
ชื่อที่เด็กสาวเคยบอกกับเคียวยะ
“..ค่ะ”
เคียวยะกอดอกจ้องหน้าเมอัน เมอันหลบหน้าเคียวยะด้วยท่าทางเหนียมอาย
“ไม่เจอกันนานนะคะ พี่ชาย”
“อ่า ..ว่าแต่เอลฟ์สินะ ที่บอกว่าอายุ 1,000 ปีคงจะเป็นเรื่องจริง”
“หนูไม่ใช่เอลฟ์หรอกนะ”
“มหามังกรเทียม?”
“..ไม่ใช่”
เคียวยะถอนหายใจ ทำให้เมอันสะดุ้ง และตัวสั่น ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้แต่กลั้นไว้
“รู้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบัง”
“ไม่ใช่นะ”
“เรน พ่อของแกสินะ”
พอเคียวยะพูดชื่อ ‘เรน’ นั่นทำให้เมอันเก็บหน้าตาไว้ไม่อยู่
เมอันร้องไห้ แต่เธอก็พยายามพูดต่อไปทั้งน้ำตา
“อึก ..ไม่ใช่ค่ะ”
“ช่วยไม่ได้ คงต้องเอาเรื่องของแกไปบอกให้เรเซอร์มันฟังก่อนล่ะมั้ง ตามมานี่”
เคียวยะจับมือเมอัน เมอันพยายามจะดึงแต่ก็สู้แรงไม่ได้
(เป็นมหามังกรเทียมแท้ๆ แต่ไม่มีแรงเอาซะเลยนะ ..ที่สำคัญ มือเล็กมาก ไม่มีเนื้อเลย)
เคียวยะเดาะลิ้นแบบไม่พอใจ และปล่อยมือจากเมอัน ทำให้เมอันลงไปนอนแบบดูไม่ได้—และนอนร้องไห้ฟุ้บลงกับพื้นแบบไม่น่าดู
“คิดว่าร้องไห้แล้วปัญหาจะจบรึไง”
เคียวยะไม่ใช่คนใจดี ..เขาใจดีแค่กับคนที่เขาแคร์เท่านั้น ไม่ได้ถึงกับใจร้ายหมดทุกคน แต่กับคนที่ไม่ควรใจดีด้วยเขาก็จะไม่ทำ
“พวกแกบุกโจมตีอาณาจักรฟัฟนิร์ทำไม มีเป้าหมายอะไร ทำไปทำไม เพราะการกระทำของพวกแกทำให้คนเดือดร้อนตั้งมากมาย แล้วนี่อะไรอีก มาอยู่ที่เกาะวาเรอร์ได้ยังไง ตั้งใจจะทำอะไรอีกหะ? ถ้าเข้าใจความผิดของตัวเองแล้วก็ลุกขึ้นมาอธิบายซะ”
“ไม่ ..หนูทำไมไม่ได้”
“ทำไม่ได้?”
“หนู ..บอกพี่ชายไม่ได้”
“ทำไม”
เมอันแหงนหน้ามองเคียวยะ และปล่อยโฮ
“ถ้าพ่อรู้—-หนูตายแน่”
กล่าวจบเธอก็นั่งร้องไห้โฮเสียงดัง สภาพไม่ต่างกับเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังจะโดนพ่อทำโทษ
เอลฟ์เหรอ มหามังกรเหรอ ศัตรูเหรอ อาชญากรรมเหรอ ต่อหน้าเด็กที่ร้องไห้ ทั้งหมดได้ปลิวหายไปจนหมด
“..”
เคียวยะเอื้อมมือไปหาเมอัน จำเป็นต้องลากเมอันไปหาเรเซอร์ให้เร็วที่สุด
(…คิดว่าแค่ร้องไห้แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นรึไง) เคียวยะคิดตำหนิเมอัน (ถึงจะทางอ้อม แต่แกก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพื่อนของฉันลำบาก)
เมอันยังร้องไห้ไม่สนอะไร พอเห็นเด็กร้องไห้เคียวยะก็หงุดหงิดกว่าเกา
“ขอร้อง..ขอร้องนะ–พี่ชาย”
ขอร้อง—-คำพูดนั้นทำให้เคียวยะหยุดมือตัวเอง
“..แม่งเอ้ย”
เคียวยะลงไปนั่งบนพื้นหญ้าด้วยท่าทางฉุนเฉียว เมอันตกใจ และคิดจะถอยหลังหนีแต่ก็โดนเคียวยะพูดขัดไว้ก่อน
“อย่าถอยหลัง ถ้าถอยจะไม่มีการเจรจาอะไรให้แกแล้วทั้งนั้น”
“คะ..ค่ะ”
เมอันเชื่อฟังอย่างว่าง่าย เธอเช็ดน้ำตาของตัวเองและส่งสายตาคาดหวังกับเคียวยะมา นั่นทำให้เคียวยะรู้สึกโกรธตัวเองยิ่งกว่าเก่า
(ฉันนี่มัน ..โง่จริงๆ)
“พ่อของแกคือเรนใช่มั้ย”
“..ค่ะ”
“พูดเกี่ยวกับเรนมาซะ”
เมอันเงียบไปสาววิ ก่อนส่ายหัวให้เคียวยะรัวๆ
“พูดมาซะ”
“ไม่ได้ค่ะ”
“บอกให้พูด!”
พอขึ้นเสียง เมอันก็ไหล่กระตุกก่อนจะร้องไห้อีกครั้ง
เสียงเด็กร้องไห้เข้าหูสองข้างเคียวยะจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง เคียวยะทนไม่ไหวทุบต้นไม้ดัง ปั้ง!
“เงียบ”
“…อึก..อือ..”
“ฟังให้ดีๆ”
เคียวยะจับไหล่เมอันด้วยแขนสองข้าง เขาจ้องตาเมอัน ตอนที่เมอันจะหลบตาหนีเคียวยะก็พูดห้าม
“อย่าหลบตา และฟัง”
“..ค่ะ”
เมอันฝืนจ้องกับเคียวยะ
“ชีวิตเธอเป็นของใคร”
“..พ่อ”
เคียวยะถอนหายใจ และแอบพึมพำว่า “ว่าแล้วเชียว”
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“บอกไม่ได้”
บอกไม่ได้ แปลว่าพ่อสั่งมา เรื่องง่ายๆแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตามหาปราชญ์ด้วยซ้ำ
“ทำไมเธอถึงบอกไม่ได้”
“..พ่อห้ามบอก”
“ทำไมต้องฟังเรนขนาดนั้น”
“..ทำไม”
“ชีวิตเป็นของเธอไม่ใช่รึไง”
ถึงตรงนี้เมอันก็ร้องไห้อีกครั้ง ถึงเคียวยะจะไม่ชอบ แต่เขาก็ตั้งใจฟังโดยไม่ว่าอะไร
“หนู..กลัว”
กลัว
ถึงตรงนี้เคียวยะก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีกแล้ว เคียวยะเช็ดน้ำตาให้เมอันด้วยผ้าเช็ดหน้า
(ก็แค่เด็กตัวน้อยไม่ใช่รึไง ..อายุ 1,000 ปีบ้าอะไร ..หรือว่าจะโกหก ไม่มีทาง ดวงตามหาปราชญ์ตรวจแล้ว คำพูดของเธอไม่มีคำโกหกอยู่เลย)
เคียวยะถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ฉันจะช่วยเธอ ..เป็นการแลกเปลี่ยน—–ทรยศเรนซะ”
นั่นคือข้อเสนอของเคียวยะ
MANGA DISCUSSION