< < 96 > >
พวกเรายืนอยู่ที่ท่าเรือใหญ่ประจำทวีป เป็นท่าเรือที่เปรียบได้ดั่งท่าเรือหลักของอาณาจักรฟัฟนิร์
ผม เรเซอร์ ดราแคล์ ตัวร้ายแห่งโลกนิยาย ตอนนี้เองก็กำลังยืนอยู่กับกลุ่มนักเรียนจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนผมคือหนึ่งในนั้นนักเรียนเป็นร้อยคน
และทำไมพวกเราถึงมายืนอยู่ที่ท่าเรือน่ะเหรอ? มันก็ง่ายๆเลย อย่างที่รู้กันเมื่อไม่นานมานี้
วิทยาลัยเวทมนตร์ ‘เรดฮอต’ ประกาศย้ายสถานศึกษาชั่วคราว จากอาณาจักรฟัฟนิร์ไปอยู่ที่เกาะวาเรอร์แทน เพราะเรื่องอุปกรณ์เวทมนตร์ที่กว่าจะได้มาครบก็กินเวลาไปหลายเดือน เขาคงไม่อยากให้มันขาดช่วงมากเกินไป และก็ไม่ได้บังคับด้วย เพราะการไปอยู่เกาะมันต้องแยกกับที่บ้านไป อาจเกิดอันตรายหรือลูกรักของตัวเองอาจใช้ชีวิตอยู่ไม่ไหวก็เป็นได้
ทางเรดฮอตเลยให้ทุกคนเลือกจะเรียนหรือไม่เรียนได้ตามใจชอบ แม้แต่นักเรียนทุนก็มีสิทธิ์เลือก และก็ระบุรายชื่อผู้ที่คอยคุ้มกันนักเรียนไว้แล้ว ..
‘เอเธอร์’ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันนักเรียน
จากเดิมที่ไม่น่ามีคนส่งลูกตัวเองมานัก ก็ส่งมาเยอะเกินคาดมาก
อันตราส่วนมาตอนนี้มีถึง 80/20 เลยล่ะ
ในกลุ่มคนคุ้นหน้าผมเองก็มีอยู่สามคนที่ไม่ได้ไปด้วยได้แก่ กอรี่ โซเฟีย และไอริส ทั้งสามคนลงข้อมูลไว้ว่าทางบ้านไม่อนุญาติให้ไป
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันหลังกลับไปดูนางไอริสที่ขณะที่กำลังยืนคุยกับเคียวยะอยู่
ไอริสยืนอยู่ใกล้เคียวยะมาก หน้าแทบจะชิดกันอยู่แล้ว แถมมือก็ไม่อยู่เฉย หล่อนช่วยเคียวยะผูกเนคไทค์ให้ถูกต้องประหนึ่งสามีภรรยาข้าวใหม่ปลาใหม่
ทางเคียวยะก็ปล่อยให้ไอริสทำตามใจ ไม่ได้สะทกสะท้านหรือสนใจอะไร ถ้าเขามีตัวตนในยุคปัจจุบันเขาคงได้ตำแหน่ง ‘GigaChad’ ไปแล้วล่ะ ผู้ไม่สั่นไหวต่อสิ่งใดบนโลก ประหนึ่งผู้บรรลุ
ผมล่ะนับถือจริงๆ ถ้าโดนผู้หญิงสวยถล่มเมืองระดับไอริสมาเล่นบทภรรยาให้ ผมน่าจะยิ้มกรุ่มกริ่ม ไม่ก็เกร็งตายนานแล้ว
“อย่าไปติดกับพวกผู้หญิงนักล่านะ”
“ผู้หญิงนักล่า? ไร้สาระ ที่เกาะวาเรอร์มันมีที่ไหน”
เป็นบทสนทนาที่อย่างกับสามีภรรยาจริงๆ ชักขำไม่ออกล่ะสิ
ผมตั้งใจเงี่ยหูฟังเต็มที่ พวกนักเรียนรอบๆที่พอได้ยินก็ทำเช่นเดียวกับผม
“เคียวยะ ..คุณเนื้อหอมนะ”
อธิบายไม่ค่อยถูก แต่แววตาของไอริสที่จ้องไปยังใครสักคนที่ยังไม่ปรากฎ(หญิงนักล่า)นั้นน่ากลัวพิลึก
มันชวนให้นึกถึงอาการป่วยชนิดหนึ่ง นั่นไง นั่นไง ที่เรียกกันว่า ‘ยันเดเระ’ น่ะ
“ใครสนกันล่ะ ผู้หญิงที่ฉันสนใจมีไม่กี่คนหรอก”
“คุณโซเฟีย? คุณหนิง? คุณเบลลามี?”
เห้ย ทำไมมีชื่อเบลลามีอยู่ด้วยฟร้ะ!
เคียวยะถอนหายใจ
“ขยันเข้าใจผิดจริงๆนะช่วงนี้”
“ยังไงสามคนที่พูดก็เป็นคนที่ใกล้ตัวที่สุดค่ะ”
“หายห่วงได้ ..คนที่ฉันทำสัญญาด้วยก็มีแค่เธอนั่นแหละ ไม่มีทางหักหลังหรอก”
‘มีแค่เธอ’ คำนี้น่าจะจุดประเด็นบางอย่างในหัวใจของไอริสเข้า ทำให้ไอริสหน้าแดงแจ๋ทันที ดวงตาป่วยๆนั่นก็พลันหายไป
ถึงเคียวยะจะไม่ได้หมายถึงในเชิงโรแมนติกก็เถอะ เหอะๆ ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมมั่นใจได้ว่าเคียวยะน่าจะหลงผมหัวปลักหัวปลำ ดูยอตัวเองไปหน่อยแต่ก็คิดอย่างนั้น
แต่เธอคือไอริส ว่าที่ขุนนางชั้นเลิศในอาณาจักร เธอสามารถเก็บอาการเขินได้ภายในเชี่ยววิเดียว และเบือนหน้าหนีไปกระแอ่มกับตัวเองเบาๆ
“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก.. ไปดีมาดีนะคะ ฉันจะรอวันที่วิทยาลัยเปิดใหม่นะคะ”
“อ่า” เคียวยะตอบแบบไม่สนใจ
“อย่าลืมคำสัญญาเชียว อย่านอกใจนะคะ”
“รู้แล้ว”
กระหว่างสองคนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะตัวไอริส ความรู้สึกที่มีต่อเคียวยะมันพัฒนาไปไกลสุดๆ
อา วัยรุ่นนี่ดีจังนะ แต่น่าเศร้า เคียวยะเป็นแค่สามัญชน ไม่มีทางที่จะได้ลงเอยกันหรอก ..ไม่ดิ แต่เดิมเคียวยะก็หาได้สนอยู่แล้ว มีแต่ไอริสนี่แหละที่แลดูจะชอบคอเจ้าตัว
เรย์ยืนมองเคียวยะด้วยแววตาที่อาฆาตแค้น เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นรอบๆ
เคียวยะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจึงชายตามามอง และหัวเราะขึ้นจมูกใส่ก่อนหันกลับไปคุยกับไอริส
ในที่นี้ เคียวยะไม่ประสงค์ที่จะเยาะเย้ย หมอนี่แค่หัวเราะขึ้นจมูกเป็นกิจวรรตเพียงเท่านั้น แต่นั่นสร้างความเข้าใจผิดไม่น้อยเลย
“ไอ้นักเรียนทุกบัดซบ!!”
“อย่ามาแตะต้องท่านไอริสผู้สูงส่งนะเฟ้ย!!”
“เป็นแค่สามัญชนแท้ๆ อย่าริอาจเด็ดดอกฟ้า!”
กลุ่มข้างบนคือเพื่อนที่เกลียดสามัญชนเข้าไส้ พอเห็นภาพบาดตาก็เจ็บใจกันเข้าไปใหญ่ แต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้เลยเพราะเคียวยะสนิทกับผม และเคียวยะ ‘แข็งแกร่ง’
“เคียวยะ แก ไอ้คนน่าอิจฉา!”
“เรียลจู ..พวกเรียลจูบัดซบ”
กลุ่มบ้างบนนี้เป็นพวกที่คุยกับเคียวยะบ่อยๆ เรียกว่าคุ้นเคยกันเลยล่ะ ถึงจะเกลียดแต่ก็ไม่ได้เกลียดที่เคียวยะเป็นสามัญชน แต่เป็นเพราะอิจฉา
แน่นอนว่าก็สาปส่งเคียวยะเหมือนๆกันน่ะแหละ
“ทำไมชีวิตตูไม่มีแบบนี้บ้างว่ะ!” เรย์กู่ร้องออกมาทั้งน้ำตา
แม้แต่เรย์ก็ไปผสมโรงด้วย เอาเข้าไป
ผมเดินไปจะจับไหล่เรย์เพื่อปลอบใจ แต่ก็โดนเรย์ปัดมือออก—–ไรวะนั่น?
เรย์หันมามองผมด้วยแววตาที่อาฆาตแค้น
“เรียล ..จู”
พูดจบเรย์ก็เดินเข้ากลุ่มคนและหายไปจากระยะสายตา ปล่อยให้ผมยืนเก้อ
…ก็พอเข้าใจนะ ช่วงนี้เจอมาเยอะเลย เรย์ตอนนี้น่ะ—น่าสงสาร
“เรือมาแล้ว!”
คณะอาจารย์คนหนึ่งโพล่งขึ้น เด็กๆทุกคนพากันหันขวาไปมองทางเรือไอน้ำขนาดยักษ์ที่บรรจุคนได้เป็นพันคน
ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะทั้งหมดคือเรื่องปกติอยู่แล้ว ยังไงซะเด็กที่เรียนวิทยาลัยเรดฮอตได้ก็ต้องเป็นพวกรวยบัดซบไม่ก็ขุนนางชั้นสูงกันหมดอยู่ล่ะ การนั่งเรือไอน้ำหรูๆน่าจะเคยกันมาหมดล่ะ เว้นแต่เด็กทุนและกรณีพิเศษแบบหนิงน่ะนะ
ซ้ายมือผมไม่ไกลนัก ยูจิยืนอ้าปากค้างและร้อง ‘ว้าวววววววววววววว’ ออกมาแบบไม่ปิดบัง ข้างๆยูจิก็มีหนิงทำเสียง ‘ว้าวววววววว’ ตามด้วย ..ทั้งๆที่อยู่ปีสองแท้ๆ มานั่งว้าวอะไรกับเด็กปีหนึ่งฟร้ะ ผมเองก็งง
พักหลังๆมานี้ภาพลักษณ์ของหนิงเริ่มไปในทางที่ต่างจากเก่า ตอนแรกทุกคนคิดว่าหนิงให้อารมณ์แบบไอริสคือสูงส่งไม่อาจแตะได้ เป็นดั่งไอดอลประจำโรงเรียน แต่ตอนนี้หนิงเป็นประธานนักเรียนที่คุยด้วยได้ง่ายๆ เพราะตัวหนิงเริ่มเปิดใจให้ทุกคนแล้วด้วยส่วนหนึ่ง
และข้าๆงหนิงอีกทีคือโซล่าที่มองเรือนั้นแบบไม่วางตา ก่อนที่จะเริ่มหยิบกระดาษอะไรสักอย่างมาจด ไม่รู้ว่าจดอะไร มีบ่นพึมพำวิเคราะห์ตัวเรือไอน้ำแบบจริงๆจังๆด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องใส่ใจ
อนึ่งโซล่าถูกบรรจุเข้าห้องสายทฤษฎี ซึ่งเป็นห้องเดียวกับยูจิ และเรย์กับเบลลามี พวกเขาเลยยืนอยู่ด้วยกัน แต่น่าแปลกว่าหนิงโผล่มาจากที่ไหน ตัวเองอยู่ปีสองห้องอัศวินแท้ๆ แต่ดันเที่ยวมาเดินเล่นในกลุ่มเด็กปีหนึ่งเฉยเลย
เบลลามียืนอยู่ข้างๆหนิง เธอกำลังมองดูเรือไอน้ำอยู่ เธอไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นเหมือนกับยูจิหรือหนิง ไม่สิ เธออาจจะตื่นเต้นก็ได้ แต่ผมไม่สามารถคาดเดาสีหน้าเธอได้เอง
ขณะที่มองเรืออยู่ เธอสังเกตุเห็นว่าผมกำลังมองมาจึงหันกลับมาอง และโบกมือให้ผม …โดนแบบนี้แล้วผมก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง รู้สึกเขินหน่อยๆ
จังหวะเดียวกันเคียวยะก็เดินมาถีบหลังผม แต่แรงน้อยไปเลยดันผมให้กระเด็นไม่ได้
“อะไรอีกล่ะ”
“โบกมือกลับสิวะ”
เคียวยะว่าอย่างนั้น ยังไงก็ไม่เสียหายอยู่แล้วผมเลยโบกมือทักเบลลามีกลับ เคียวยะเองก็โบกมือให้ด้วย
เพราะอยู่กันคนล่ะห้องล่ะนะ ถ้าพวกเราทุกคนอยู่ห้องเดียวกันน่าจะดีไม่น้อยเลย น่าเสียดายที่ผมมันโง่ โซเฟียและกอรี่ด้วย น่าเสียดายที่เคียวยะมันเลือกสอบสายปฎิบัติเพราะเป็นพวกคลั่งความรุนแรงด้วย แหม่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ไม่กี่วิ เรือก็เทียบท่าแล้ว และคณะอาจารย์รวมถึงผู้อำนวยการณ์โรงเรียนก็เดินมาอยู่หน้าทางขึ้นเรือ พวกเขายืนพูดเรื่องทั่วไป ที่คล้ายกับพิธีเปิดการทัศนศึกษา ว่าตามตรงว่าน่าเบื่อมาก แดดก็ร้อน
ด้วยเหตุนี้ทำให้มีนักเรียนหลายคนคุยกันเสียงดัง บ้างก็ยืนงีบทั้งอย่างนั้นเลย
แต่ไม่นาน ความน่าเบื่อก็ได้หายไปทันทีที่เขาคนนั้นโผล่มา
‘เอเธอร์’ ก้าวลงจากเรือไอน้ำ
ไม่จำเป็นต้องบอกชื่อ เพียงแค่ชายตามอง ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความหัศจรรย์ของเอเธอร์แล้ว
ออร่าไม่ใช่สิ่งที่ปกปิดกันได้ ผู้ยิ่งใหญ่บนโลกมักจะมีออร่าพิเศษอยู่ ซึ่งสัมผัสได้จาก ยูนา(วีรสตรี) เซเนีย(มหาภูต) หรือที่เจอเร็วๆนี้หน่อยก็—คาลอส(ราชาอัศวิน)
ความแข็งแกร่งผมอาจจะทัดเทียมพวกเขา แต่ถ้าวัดที่ค่าชื่อเสียง บรรยากาศพิเศษ ผมไม่สามารถเทียบได้กับตัวตนข้างตน
เพราะผมเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพน่ะนะ ความโดดเด่นของผมมักถูกยูนาเกทับ
ผู้ที่ยืมพลังจากผู้อื่นเช่นผม ไม่มีทางที่จะเด่นกว่าเจ้าของพลังอย่างยูนาได้ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ต่อให้พลังที่ผมได้มา มันจะไม่ได้ใช้กันง่ายๆและต้องผ่านการฝึกฝนหันโหดร้ายก็ตามที แต่มันก็ไม่มากพอจะเปลี่ยนสายตาจากคนภายนอกได้
‘ขอโทษที่ เด่น เกินไปนะคะ มาสเตอร์’
ยูนาพูดแบบตั้งใจกวนตีนกัน ผมหาได้สนไม่
นั่นสินะ คู่หูของฉันก็ต้องเจ๋งให้ได้แบบนี้แหละ
‘….’
ยูนาเป็นคนประเภทที่ถ้าโดนชมก็จะทำตัวไม่ค่อยถูก เวลาอยากให้เธอเงียบปาก ผมก็จะกล่าวชมเธอน่ะแหละ
แน่นอนที่คิดยูนาได้ยิน แต่หาได้สนไม่
เอาเป็นว่า สนใจกับเอเธอร์ก่อนดีกว่า
เอเธอร์เดินขึ้นมายืนข้างๆผู้อำนวยการณ์ และเด่นกว่าทุกคนในที่นี้ได้แบบไม่ยาก
พวกนักเรียนก็เริ่มซุบซิบกันแล้ว
“นั่น..ใช่เขาคนนั้นมั้ย?”
“ท่านพ่อเคยให้ฉันดูหน้าเขาอยู่”
“ฉันเคยเจอเขาที่งานฉลองวันเกิดของเจ้าหญิงด้วย”
“พ่อฉันรู้จักเขา”
“สุดยอดเลย หล่อสุดๆ”
“ออร่าสุดยอด”
นักเรียนทุกคนพากันตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของเอเธอร์ พวกคณะอาจารย์ก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ อาจารย์หลายคนที่ชอบทำเก็กดุตอนนี้ก็ดูน่ารักไปเลย
รัศมีเอเธอร์สุดยอด ..นี่แหละนะคนดัง ไม่ใช่แค่โซล่าในหมู่นักเรียน ยังมีเอเธอร์ในหมู่อาจารย์
ผมล่ะสงสารคนที่โรงเรียนนี้ชะมัด
ผู้อำนวยการณ์แนะนำเอเธอร์ให้ทุกคนให้รู้จักโดยสังเขป โดยที่พยายามจะให้มันดูเว่อรวังอะไร คงไม่อยากให้เอเธอร์เด่นมากนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว
ต่อจากเอเธอร์ก็ ..โซล่า
เธอขึ้นมาบนเวที ผู้อำนวยการณ์ก็แนะนำเธอให้ทุกคนทราบ
เหล่าชายฉกรรจน์ต่างกู่ร้องออกมา พวกผู้หญิงมองผู้ชายด้วยหางตาแบบเย็นชา นอกเหนือจากสองอย่างนั้นก็มีคนหลายคนที่มองโซล่าแบบตาเป็นประกาย
“สองปีครึ่งต่อจากนี้ก็–ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ทุกคน”
เมื่อแนะนำทั้งสองจบ นักเรียนก็เริ่มต่อแถวตามห้องของตัวเอง และขึ้นไปบนเรือกันทีล่ะห้องเรียน
ผมเองก็เช่นกัน
****
ระหว่างเดินเรือไปเกาะวาเรอร์นั้นใช้เวลาราวสามวัน ซึ่งสถานะแต่ล่ะคนก็สามารถสรุปได้โดยสังเขปดังนี้
ประการแรก เอเธอร์กลายเป็นที่ป็อปปูล่าห์ในหมู่เด็กๆ เพราะเป็นคนคุยง่ายๆ ถึงจะเข้าใจยาก แต่ก็คุยด้วยได้ง่ายไม่ถือตัว
เด็กทุกคนเลยเข้าไปคุยกับเอเธอร์ได้อย่างสนิทสนมไม่ยาก แล้วตัวเอเธอร์หน้าตาก็ดีเข้าขั้นถล่มฟ้า เหนือกว่าถล่มเมืองคือถล่มฟ้า
เพียงไม่นาน ก็มีเด็กผู้หญิงแอบปลื้มเอเธอร์เสียแล้ว เพราะสเน่ห์ด้านหน้าตา การพูดคุย และยิ่งใหญ่ที่สุดเลยอย่างชื่อเสียงที่ดังกระฉ่อน
ต่อจากเอเธอร์ก็ต้องโซล่าคนดังเหมือนกัน แต่สถานะต่างกับเอเธอร์มาก
ในช่วงแรก หลายคนเข้ามาทักทายเธอ ตั้งใจจะสนิทกับเธอทั้งบริสุทธิ์ใจและไม่บริสุทธิ์ใจ แต่เผอิญโซล่าเป็นพวกค่อนข้างทำอะไรตามใจตัวเอง เธอคุยแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจ—วันๆเธอคุยแค่เรื่องวิทยาศาสตร์ในโลก ซึ่งห่างไกลจากหัวข้อที่วัยรุ่นชอบคุยกัน ทำให้เธอที่ควรจะป็อปปูล่าห์กลับไม่ได้ป็อป เพราะเธอส่งกลิ่น ‘โอตาคุ’ ผู้คลั่งไคล้ในบางสิ่งอย่างเปิดเผย
ผมไม่มองว่าเป็นเรื่องที่แปลก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก
และคนที่โซล่าคุยด้วยถูกคอที่สุดก็หนีไม่พ้นเพื่อนโอตาคุอุปกรณ์เวทมนตร์แบบยูจิ เพราะคุยกับยูจิเรื่องอุปกรณ์เวทย์บ่อยทำให้เธอมักจะสิงอยู่กับหนิงและเรย์เป็นประจำ เบลลามีก็ด้วย แต่เหมือนไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ น่าจะวางตัวไม่ถูกกันสักเท่าไหร่น่ะนะ เพราะอย่างที่รู้กันว่า—–ผมเป็นผู้ชายบาปหนา
ไม่รู้ว่ากับเบลลามีเป็นยังไงบ้าง และโปรดอย่าทะเลาะกัน—เพื่อผมเลยนะ อร๊ายย
ถึงจะทำเป็นเล่น แต่ก็หวังว่าจะไม่ทะเลาะกันจริงๆน่ะแหละ นี่ผมหลงตัวเองไปมั้ยนะที่คิดว่าผู้หญิงจะทะเลาะกันเพราะผม ..อืม ช่างมันเถอะ
นอกจากสองดาวเด่น ทุกอย่างก็ดำเนินไปแบบไม่มีอะไรหวือหวา
และในที่สุดก็ครบสามวันแล้ว
ในช่วงเช้าตรู่ ผมถูกเอเธอร์ลากมาที่ดาดฟ้าบนเรือไอน้ำ
พวกเราขึ้นไปข้างบน และยืนมองทิวทัศน์ข้างหน้าที่เห็นเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ อีกไม่นานเรือไอ้น้ำจะเทียบท่าที่นั่น
บอกตามตรง รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย ทำเอานึกถึงตอนไปเที่ยวเกาะต่างๆนานาที่โลกเก่าเลย
“..แล้วเรียกมามีอะไรล่ะ”
ผมเข้าเรื่องที่เอเธอร์เรียกมา
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะครับ”
“ก็นะ นายเป็นที่นิยมจนไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย แล้วทางฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ด้วยว่ารู้จักกันเป็นการส่วนตัว”
เพราะมันจะวุ่นวายโดยไม่ใช่เหตุ
“นั่นสินะครับ แต่ไม่ได้คุยกันนี่ก็แย่จริงๆนะ”
“อะไรล่ะนั่น พูดแบบนั้นมันชวนเสียวสันหลังแปลกๆนะ”
เอเธอร์หัวเราะพึมพำ เห็นดังนั้นผมก็หัวเราะตาม
“ยังไงซะ สถานการณ์ของเรเซอร์ตอนนี้ก็ไม่น่าวางใจมากนี่ครับ ..ศัตรูที่แท้จริง ไม่ใช่คนจากอาณาจักรฟัฟนิร์ การช่วยหนิงเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญข้างทาง ศัตรูจริงๆคือคนที่บุกจู่โจมอาณาจักรฟัฟนิร์ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นศัตรูของคุณเหรอครับ”
“หมายถึง ‘เรน’ สินะ”
เนื้อหาส่วนนี้เอเธอร์ไม่รู้—–ว่าเป้าหมายของพวกนั้นคือ ‘เบลลามี’ ที่เป็นจอมมาร และ ‘ยูจิ’ ที่มีเทพสถิตอยู่
จากการวิเคราะห์ ทางเรนและปีศาจมหาบาปมีเป้าหมายต่างกัน แต่เป้าหมายอยู่ที่เดียวกันเลยร่วมมือกัน สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่รู้ว่าพวกนั้นมันจะบุกจู่โจมอีกทีตอนไหน จึงไม่สามารถวางใจได้อย่างที่เอเธอร์ว่า
ทว่าเอเธอร์ไม่รู้เป้าหมายของพวกมัน
“ฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ เรื่องที่เล่ามันอาจดูไร้ที่มาที่ไปหน่อยนะ”
“ผมเชื่อใจเรเซอร์ครับ”
อะไรทำให้เชื่อใจผมขนาดนั้น ให้เดาน่าจะเป็นเพราะเอเธอร์นั้นแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งที่เขามีมันทำให้ต่อให้ผมจะโกหกเขาหรือหลอกเขาหรือเอาเปรียบเขาต่างๆนานา เขาก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ผมเริ่มเล่าที่มาที่ไปของยูจิให้ฟังแบบหมดเปลือก
ความจริงที่ว่ายูจิคือ ‘ผู้ถือครองอำนาจของเทพ’ โดยที่อาศัยเรื่องราวช่วงเจอกับยูจิในวันฉลองวันเกิดของหนิงแถเอาถึงที่มาความลับของยูจิ
เอเธอร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา
“แบบนี้นี่เอง เป้าหมายของเรเซอร์คือการปกป้องยูจิสินะ”
“อ่า ประมาณนั้น..”
ผมปิดบังเรื่องของเบลลามีไว้ เพราะเธอเป็นจอมมาร ถ้าเอเธอร์ที่อยากสู้กับจอมมารจนตัวสั่นรู้เข้า เขาอาจจะทำทุกวิธีให้จอมมารคืนชีพสมบูรณ์และสู้เลยก็เป็นได้
ซึ่งผมจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป้าหมายผมคือช่วยเบลลามี ถ้าจอมมารคืนชีพตอนนี้ เกิดเอเธอร์ฆ่าจอมมารได้สำเร็จ เบลลามีก็จะตายไปตามเนื้อเรื่องต้นฉบับ ผมจำเป็นต้องพึ่งพลังของยูจิและคอยซัพพอร์ตในส่วนที่ยูจิขาด เพื่อให้เบลลามีไม่ตายในตอนจบ ..ซึ่งมันเร็วเกินไป ยูจิยังไม่พร้อม
ยังไม่รวมปัจจัยภายนอกอย่างพวกปีศาจมหาบาปที่พร้อมขวางทางอีก หรือเรนที่เดาทางได้ยาก มันยิ่งเสี่ยงเกินไป
ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เบลลามีตาย ..เห็นแก่ตัวสุดๆ ผมยอมให้โลกนี้ค่อยๆวิกฤต เพียงเพื่อรอจังหวะที่จะช่วยเบลลามีได้
การบอกเอเธอร์เรื่องเบลลามี เป็นสิ่งที่ควรทำหากคำนึงถึงความปลอดภัยของโลก แต่ผมให้ความปลอดภัยของเบลลามีมาก่อนโลก
แต่มันช่วยไม่ได้ ผมไม่อยากสละเบลลามีทิ้ง เป้าหมายผมคือการช่วยเธอ ไม่ใช่ฆ่าเธอ
เอเธอร์ลูบคางด้วยท่าทางสนอกสนใจ
“ผมพอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว หน้าที่ของผมก็ง่ายๆคือจัดการคนที่คิดจะจัดการยูจิก็พอสินะ”
“อ่า ประมาณนั้น”
“แล้วก็อีกเรื่อง”
“อะไรล่ะ”
เอเธอร์พูดด้วยเสียงที่เบาหวิว แต่ผมก็ได้ยินชัดถ้อยชัดคำอย่างน่าแปลก
“คิดจะปกปิดความลับของเบลลามีไปอีกนานแค่ไหนครับ”
…นั้นเองเหรอ
เอเธอร์รู้อยู่แล้วนี่เอง
ผมมองเอเธอร์อย่างจริงจัง
“เรื่องไหนล่ะ?”
“—ผมเองก็ไม่ทราบ”
เอเธอร์หัวเราะอีกครั้ง
แต่คราวนี้ผมขำไม่ออก เล่นกดดันซะผมเผลอกำหมัดโดยไม่รู้ตัวแบบนี้เนี่ย
“เอาเถอะครับ มันอาจจะเร็วเกินไปที่เรเซอร์จะไว้ใจผม แต่ผมก็หวังนะว่าความลับทั้งหมดที่คุณถือไว้ สักวันผมหวังว่าจะได้ทราบมันน่ะ ในฐานะคนที่ไว้ใจได้”
มันไม่ใช่เรื่องของการแบกไว้คนเดียว มันคือเรื่องของความไว้ใจที่มีให้กัน ทุกอย่างที่ผมรู้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะบอกให้คนอื่นรู้ได้
“อ่า”
แต่ผมรู้ดี ว่าสักวันทุกอย่างที่ผมรู้ต้องถูกเปิดเผย แค่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้น
MANGA DISCUSSION