< < 92 > >
“เอเธอร์
ตื่นได้แล้ว
นี่ ตื่นเร็วๆสิ
วันนี้พวกเรามีที่ที่ต้องไปนะ
สัญญาแล้วไม่ใช่รึไง
นี่ๆ อย่าเอาแต่หลับสิ
นายน่ะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ การจะไปที่นั่นมันอันตรายมากด้วย
เพราะอย่างนั้น
ฉันต้องการพลังของนายนะ—–เอเธอร์”
…เอเธอร์กระพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะแบมือดูมือตัวเองที่เล็กลงจากโลกแห่งความจริงไปมาก มือของเขาไม่ต่างกับมือของเด็กตัวน้อย
บางทีเขาน่าจะอยู่ในช่วงที่เป็นเด็กอยู่
ทำให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆว่านี่คือความฝัน เป็นเพียงโลกความฝันเท่านั้น
และตรงหน้าเอเธอร์ก็มีเด็กสาวที่มีเลือนผมสีเทาเหมือนกับเขา แต่ไม่ทราบหน้าตา ในโลกแห่งความฝัน ใบหน้าของเธอถูกเบรอเอาไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าเขากับเด็กสาวคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดหรือไม่ แต่ที่รู้ๆสีผมเหมือนกันอย่างกับถอดแบบมา
“..ฝันเจอคุณทุกวัน ว่าตามตรง ผมเองก็เบื่อเหมือนกันนะ”
เอเธอร์ว่าอย่างนั้น บ่งบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันถึงเรื่องราวนี้
เอเธอร์ใช้มือเปล่าๆล้วงเข้าไปยังใบหน้าและสะบัดออก
ทุกอย่างถูกทำลายคล้ายคลึงกับสีน้ำที่ถูกราดน้ำใส่
โลกแห่งความฝันหมุนเกลียวเข้าหากันหลากสีสันต์—-และดับลง
กลายเป็นโลกสีขาวที่มีแค่เอเธอร์ที่ยืนอยู่ เอเธอร์ใช้มือสัมผัสที่โลกสีขาวเบาๆ—-ทำให้เอเธอร์ตื่นจากความฝัน
ใช่แล้ว เอเธอร์สามารถทำลายความฝันของตัวเองได้ ..
เอเธอร์ในโลกความจริงนั่งนองพิงต้นไม้ในป่า เขามองซ้ายมองขวา เช็คสภาพรอบๆเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืน
แม้จะนอนในป่า แต่ชุดที่ใส่ก็ไม่มีรอยเปื้อนแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะ ‘การปฎิเสธสถานะทางธรรมชาติ’ ความสามารถเฉพาะตัวที่เขามี ด้วยความสามารถนี้ทำให้เอเธอร์ไม่สามารถตัวเปื้อนธรรมชาติได้ หรือว่าจบน้ำก็ทำไม่ได้ แรงโน้มถ่วงก็ทำอะไรเขาไม่ได้ บ่อยครั้งที่เอเธอร์เบื่อการเดินจนบินไปที่ที่อยากไปแทน หรือตอนไหนไม่มีที่นอน ก็นอนในน้ำแทน เพราะยังไงตัวเขาก็ไม่เปียกอยู่แล้ว
แน่นอนว่ามีขัดจำกัดอยู่ ถ้าของที่เกิดจากการประดิษฐ์ ดัดแปลง หรือความสามารถที่สามารถทะลวงเกราะป้องกันธรรมชาตินี้ได้ ทุกอย่างสร้างความเสียหายให้เอเธอร์ได้ตามปกติ อาทิเช่นวิชาดาบ เวทมนตร์ หรือดาบวิเศษ
เอเธอร์ไม่ได้ไร้เทียมททานถึงขนาดที่คนทั่วไปแตะต้องเขาไม่ได้ อย่างไรซะเขาก็มีข้อเสียใหญ่หลวงอย่างมานาน้อยอยู่ด้วย
แน่นอนว่าไม่มีปัญหา แค่ปัจจุบันนี้ก็แกร่งจนไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนแล้ว ถ้าเอเธอร์มานาเยอะ โลกนี้คงถูกเขาทำลายได้ง่ายๆเลยล่ะ เพียงแค่เขาปารถนา
“..จะว่าไป”
เอเธอร์เรียกใช้ดวงตามหาปราชญ์ ใช้เพียงเชี่ยววิเดียวก็ปิดมันทันที
“แบบนี้นี่เอง น่าสนใจเอามากๆครับ โซล่า เลนนอน ผู้พลิกโฉมวิทยาการณ์เวทมนตร์สินะ แล้วยังมาตกหลุมรักเรเซอร์อีก พึ่งถูกปฎิเสธไปด้วยแต่ยังไม่ยอมแพ้ คงคิดจะแย่งเขามาให้ได้แน่นอน”
มองแค่หน่อยเดียวก็รู้ขนาดนี้ ถ้าคนรู้จักรู้ว่าทำแบบบนี้ได้ อาจจะรู้สึกหยะแหยงเอเธอร์กันหมด
“น่าสนใจมากครับ อยู่ที่นี่มีแต่เรื่องน่าสนใจเข้ามาตลอด”
กล่าวจบเอเธอร์ก็ลุกขึ้นพุ่งไปที่อาณาจักรฟัฟนิร์ และตรงไปที่วิทยาลัยเวทมนตร์ ‘เรดฮอต’
“ขอเข้าพบผู้อำนวยการด้วยครับ”
เอเธอร์พูดกับยามเฝ้าหน้าแคมป์ก่อสร้าง
“ไม่ทราบว่าใครเหรอครับ?”
“เอเธอร์ครับ ตั้งใจมาสมัครงานนิดหน่อย”
“เอเธอร์? ..บะ บัตรยืนยันตัว”
เอเธอร์ยื่นบัตรที่ราชาอัลเบโด้มอบให้ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ยามเห็นก็อึ้งและรีบวิ่งเข้าไปในแคมป์ ท่าทางดูตื่นตระหนกสุดๆ
เพียงไม่นาน ชายวัยกลางคนเซ่อๆที่ดูไม่สนชีวิตก็โผล่มา เขาสวมกางเกงยีนส์สีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวหลุดๆลุ่ยๆแบบตั้งใจ
ชายวัยกลางคนโบกมือให้ด้วยใบหน้าที่ดูง่วงๆ
“ว่าไง”
“ไม่เจอกันนานนะครับ อาจารย์”
เอเธอร์โค้งศรีษะให้ ชายวัยกลางคนเดาะลิ้นไม่พอใจ
“ไม่อยากโดนคนที่เก่งกว่าตัวเองเรียกว่าอาจารย์หรอกนะ ช่วยเรียกฉันว่า ‘บลาซ’ แทนทีเถอะ”
‘บลาซ’ อาจารย์ผู้สอนยูจิ เป็นตัวละครที่มีบทเด่นมากมายในเนื้อเรื่องต้นฉบับ เปรียบได้ดั่งไอดอลของยูจิด้านการใช้เวทมนตร์ต่อสู้
ถึงขนาดถูกเอเธอร์เรียกว่าอาจารย์ได้ แน่นอนว่าบลาซนั้นแข็งแกร่ง แม้จะไม่เท่าเอเธอร์
“ครับ อาจารย์บลาซ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ไม่คิดฟังเลยสินะ เอาเถอะ” บลาซถอนหายใจ “ยังไงก็เข้ามานั่งคุยในแคมป์ก่อนเถอะ”
เอเธอร์พยักหน้ารับ เขาจึงเข้ามานั่งอยู่ในวงสนทนาภายในแคมป์ โดยที่ในนี้มีเอเธอร์ บลาซ ผู้อำนวยการณ์วิทยาลัย และรองผู้นำนวยการณ์
ตัวบลาซกับเอเธอร์มีท่าทางชิลๆ ต่างกับอีกสองคนที่ตำแหน่งควรสูงกว่า
“กะ ก่อนอื่น ยินดีที่ได้พบครับ ท่านเอเธอร์”
“ครับ”
“ละ แล้วที่บอกว่ามาสมัครงานนี่?”
“ผมอยากเป็นอาจารย์ของวิทยาลัยเรดฮอตดู”
ผู้อำนวยการณ์ตาค้าง รองผู้อำนวยการณ์อ้าปากค้างจนน้ำลายยืด ส่วนบลาซก็กุมขมับ
“เป็นอะไรของนายเนี่ย จู่ๆก็จะมาสมัครเป็นอาจารย์เนี่ยนะ ไม่ใช่ว่ารักอิสระหรือไง”
“พอดีเจอเรื่องสนใจเข้าน่ะครับ คิดว่าผมน่าจะอยู่กับเรื่องๆนี้ได้หลายปีเลย”
“แล้วใครล่ะที่สนใจ”
บลาซรู้ใจเอเธอร์ ยังไงซะก็เคยเป็นอาจารย์ของเอเธอร์ช่วงที่เข้าฝ่ายอาณาจักรฟัฟนิร์แรกๆ
ในช่วงแรกบลาซจำเป็นต้องสอนเอเธอร์หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเวทมนตร์ เพราะเอเธอร์ไม่รู้จักเวทมนตร์ที่เขาใช้กันในยุคนี้เลย แต่เพียงแค่สองสามวัน เอเธอร์ก็เรียนรู้ทุกแขนงได้ทัดเทียมกับบลาซ และหนึ่งอาทิตย์ให้หลังก็นำบลาซไปไกลแล้ว
เหตุการณ์คราวนั้น สร้างความเจ็บใจให้บลาซไม่น้อยเลย พอนึกถึงหน้าของเอเธอร์ที่บอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้ตัวเองเรียนรู้แล้ว เลยจะขอออกเดินทางทั่วโลกแทน–ใบหน้าของเอเธอร์ที่กล่าวอย่างเย็นชาตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ทำให้บลาซแอบด้อยค่าในพรสวรรค์ของตัวเองบ่อยๆ
ภายหลังจากที่เอเธอร์จะออกจากอาณาจักรฟัฟนิร์ อาณาจักรฟัฟนิร์ก็พยายามยื้อเอเธอร์ไว้สารพัดวิธี และจบลงด้วยการให้เอเธอร์เป็นจอมเวทย์แห่งอาณาจักรฟัฟนิร์อย่างเป็นทางการ และเป็นจอมเวทย์ประจำอาณาจักรฟัฟนิร์ที่ขึ้นตรงต่อราชาเพียงคนเดียว ที่มีอิสระในการทำหลายๆอย่างได้
ด้วยเรื่องที่เจอข้างต้น ทำให้บลาซคิดว่าเอเธอร์ไม่ใช่พวกที่จะอยู่ถิ่นเดิมได้ตลอด เลยแปลกใจว่าทำอีท่าไหน เอเธอร์ถึงอยากสมัครเป็นงานที่ต้องประจำถิ่นเดิมตลอดอย่างอาจารย์ได้
“นั่นสินะครับ นิดหน่อย”
“ว่าแล้วเชียว สนใจตัวบุคคลเข้าสินะ โซล่า เลนน่อน?”
เพราะเห็นว่ามาสมัครช่วงที่โซล่ายื่นเป็นนักเรียนพอดีจึงถามออกมา เอเธอร์ตอบกลับ
“ปฎิเสธไม่ได้ว่าน่าสนใจ แต่ไม่ใช่ครับ”
“แล้วไม่บอกมาล่ะว่าใคร”
“ผมเกรงว่าถ้าบอกไป อาจารย์บลาซ และคณะผู้บริหารที่เคราพ จะยุ่งกับคนที่ผมสนใจเป็นพิเศษน่ะสิครับ ..ซึ่งที่ทำ มันเกะกะครับ”
เอเธอร์พูดตรงๆ ไม่ได้มีน้ำเสียงที่โกรธหรืออะไรแต่อย่างไร ก็แค่พูดเฉยๆเท่านั้น ถึงความประสงค์ของตัวเอง
แต่นั่นกลับทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เอเธอร์เองก็งงว่าทำไมต้องตื่นกลัวกันด้วย
“ต้องรอฟังความเห็นท่านราชาก่อน”
บลาซว่าอย่างนั้น ก็คงต้องเอาอย่างนั้น อย่างน้อยคนในอาณาจักรฟัฟนิร์ที่เอเธอร์เคราพก็มีบลาซอยู่ด้วย เขามีค่าพอจะเชื่อเรื่องที่พูด
“นั่นสินะครับ ยังไงก็ฝากเดินเรื่องด้วยนะครับ”
“เดี่ยวสิจะไปไหน นั่งคุยเรื่องรายละเอียดกันก่อน”
“ผมมีร้านชาที่อยากลองชิมรสชาติอยู่ครับ”
“หา?”
“ถ้าเรื่องรายละเอียด ผมรู้ทั้งหมดแล้วครับ ตัวใบสมัคร ผมเองก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อย เหลือแค่บอกให้ผมมีสิทธิ์สมัครเข้า แล้วให้ผมลองทดสอบในฐานะอาจารย์ดูก็พอ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ไม่ต้องห่วงไป”
ดวงตาสีสวยงามแวบขึ้นและหายไป เป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเอเธอร์เปิดใช้ดวงตามหาปราชญ์เพื่อตอบข้อข้องใจทั้งหมด ในที่นี้ทุกคนดูออก เพราะทุกคนเป็นนักเวทย์ที่ตรวจจับความผิดแปลกของมานาได้อย่างดี อาจจะเทียบเอเธอร์ไม่ติด แต่ก็เป็นนักเวทย์ชั้นยอดที่มีไม่กี่คนในอาณาจักรอยู่ดี
เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว เลยไม่มีใครเปิดปากท้วงอะไร
ไม่แม้แต่จะรออีกฝ่ายตอบ เอเธอร์ก็ลุกขึ้นเดินออกจากแคมป์เสียแล้ว
ทุกคนในที่แห่งนั้นถอนหายใจเหมือนวางภาระอันใหญ่ยิ่งออกจากอก ไม่เว้นแม้แต่บลาซ
“ให้ตายสิ ..คิดจะทำอะไรก็ทำมันตามใจชอบตลอดเลย น่าปวดหัวชะมัด”
****
เอเธอร์เดินตรงไปที่ร้านชาที่คิดว่าจะลองชิม
ตัวร้านเป็นเพียงร้านเล็กๆ มองดูก็รู้ว่าเป็นร้านของสามีภรรยาคู่หนึ่งทีมีลูกน้อยอยู่หนึ่งคน
เอเธอร์เคาะประตูและดันประตูเข้าไป พบกับเจ้าของร้านผู้หญิงที่หันมายิ้มให้เอเธอร์
“รับอะไรดีคะ?”
“ชาที่ดีที่สุด”
เธองงกับคำถาม แต่ไม่นานก็เก็ท
“ค่ะ จะพยายามสุดฝีมือนะคะ”
“ฝากด้วยครับ”
เอเธอร์หันขวาไปตรงที่นั่งสำหรับลูกค้า และพบว่ามันมีแค่โต๊ะเก้าอี้ชุดเดียว ที่สำคัญยังมีคนนั่งอยู่แล้วด้วย
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ คือนั่งร่วมโต๊ะกันได้หรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีปัญหาครับ”
เอเธอร์เดินไปที่ๆมีคนนั่งอยู่
เธอเป็นผู้หญิงผมสีเหลืองเข้ม และดวงตาสีแดงดุดัน คล้ายกับคนรู้จักคนหนึ่ง ใช่ เธอคือ ‘แองเจลิน่า’ พี่สาวที่รักของเรเซอร์ หลังเสร็จการคุยธุระกับพ่อแม่ที่ตัวเองไม่ชอบใจ เธอก็มานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ร้านกาแฟเล็กๆ
เธอจิบกาแฟอุ่นๆไปขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
“ขอร่วมโต๊ะด้วยนะ”
“อ๊ะ” แองเจลิน่าสังเกตุเห็น และปั้นยิ้มสวยๆตอบกลับ “เชิญเลยๆ”
เอเธอร์นั่งลงตามคำเชิญ และมองออกไปนอกหน้าต่าง ..
“มีน้องชายอยู่สินะครับ”
“น้องชาย? หมายถึงเรเซอร์น่ะเหรอ เป็นคนรู้จักของเขาหรือคะ?”
ที่พูดแปลว่าแองเจลิน่าไม่รู้จักเอเธอร์ น่าจะไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ คงไม่แปลก เพราะตัวตนของเอเธอร์เป็นความลับอยู่ระดับหนึ่ง
“ครับ เป็นคนที่น่าสนใจมากดี”
“นั้นหรือค่ะ ขอบคุณที่ช่วยดูแลน้องชายนะคะ ฉันแองเจลิน่า เป็นพี่สาวแท้ๆของเขา”
“ว่าแล้วเชียวครับ พี่น้องจะมีสิ่งที่คล้ายกันอยู่ครับ เป็นสัมผัสพิเศษ แค่มองก็รู้ได้”
“นั่นสินะค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
แองเจลิน่ายิ้มให้ เอเธอร์ก็ยิ้มให้เช่นกัน แต่ดูไม่ใช่ยิ้มที่ดีสักเท่าไหร่
‘พี่น้อง ..เป็นคำที่น่าพิศวงจังเลยนะ’
จากนั้นก็คุยเรื่องของเรเซอร์เรื่อยเปื่อย จนกระทั่งชามาเสิร์ฟเอเธอร์ก็กินจนหมดเสร็จล่ะขอตัวออกจากร้านทันที โดยที่ระหว่างกินไม่ได้พูดคุยกับแองเจลิน่าเพิ่มเลย
ก่อนออก เอเธอร์ยืนคุยกับเจ้าของร้านก่อน
“เป็นชาที่ดีครับ”
“ขอบคุณมากๆค่ะ ไว้มาใหม่นะคะ”
เอเธอร์จ่ายตังค์และออกจากร้าน
เย็นมากแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
“..”
“เห้ยยยยยยยยยยย!!!!!”
หนุ่มวัยรุ่นตัวป่วนแสนร่าเริง— ‘เรย์’ วิ่งโบกมือมาทางเอเธอร์
“เอเธอร์!!!”
“ใครโดนฆ่ามาหรือครับ?”
ท่าทางดูตื่นตระหนกมกา ไม่แปลกที่จะถามเช่นั้น ไม่สิ มองดูดีๆก็แปลกนั่นแหละ เล่นสรุปว่ามีคนตายง่ายๆอย่างนี้
“สำคัญกว่านั้นอีก”
“แบบนี้นี่เอง น่าสนใจครับ เช่นนั้นแล้วเรื่องอะไร?”
“มะ เมื่อตะกี้ เห็นยูจิมันเดินคู่กับสาวสวยด้วยอ่ะ!”
…??
เอเธอร์นิ่งไป เรย์พล่ามต่อด้วยใบหน้าที่จะร้องไห้
“ไอ้ฉันก็พึ่งอกหัก ว่าจะหาที่สงบๆนั่งเล่นทำใจฮึดสู้ซะหน่อย แล้วดันบังเอิญเห็นยูจิไปควงสาวสวยคนใหม่เข้าน่ะ เจ็บใจสุดๆ มีหนิงอยู่แล้วแท้ๆยังไม่รู้จักพอ!”
“นั้นหรือครับ นั่นเรียกว่าสิ่งน่าสนใจได้สินะครับ”
“น่าสนใจ? พูดบ้าๆ มันเรื่องคอบาดขาดตายต่างหาก ไม่ใช่แค่นั้นนะ สาวที่หักอกฉันยังชอบยูจิอีก แล้วคนที่ควงก็ไม่ใช่คนที่ฉันชอบแต่เป็นสาวใหม่ด้วย”
“เป็นคนที่มีสเน่ห์สินะครับ”
เอเธอร์ไม่ได้เกลียดยูจิ กลับกัน อาจจะชอบเสียด้วยซ้ำ พอๆกับที่พอใจในตัวเรเซอร์เลยล่ะมั้ง คิดอย่างนั้น
“เออสิ! ทำไมตูไม่เนื้อหอมแบบมันบ้างฟร้ะ บัดโซ้บบบ!!!! ตูขาดตกบกพร่องอะไรเนี่ย!? ดาบก็เก่งหล่อก็หล่อ หุ่นก็แจ๋ว”
ได้ยินเอเธอร์ก็ใช้สมองอันชาญฉลาดวิเคราะห์ให้ทันที ไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตามหาปราชญ์ด้วย เพราะเป็นเรื่องง่ายๆ
“ให้พูดก็เยอะอยู่ครับ ไว้ผมจะเขียนบันทึกให้นะครับ โดยวิเคราะห์ช่วยอย่างดี พร้อมตัวเปรียบเทียบในการพัฒนา”
“มะ ไม่ดีกว่า ขืนอ่านเข้าฉันร้องไห้แหงๆ”
“นั่นสินะครับ นั่นเองก็เป็นหนึ่งในข้อเสียที่ผมจะเขียนลงไปแน่ๆถ้าต้องการ”
เรย์ถึงกับไหล่ตก
“รู้แล้วน่า …ปัดโธ่ ..ไม่เห็นต้องพูดตรงๆเลย”
เอเธอร์ไม่เข้าใจว่าการพูดตรงๆมันไม่ดีอย่างไร
“ครับ ..จะว่าไป คิดอย่างไรกับพี่สาวของตัวเองหรือครับ”
จู่ๆเอเธอร์ก็ถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เรย์ได้ยินก็หยักไหล่ให้
“รักอยู่แล้วสิ ถามได้”
“ถ้านั้นทำไมไม่ไปตามหาล่ะครับ”
“ก็จากที่คุณเอเธอร์เล่า พี่ชินดร้ากำลังทำเรื่องที่เธอต้องการนี่ครับ ทำเรื่องสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ลุล่วงให้ได้ ..ฉันไม่อยากไปหาแล้วเป็นตัวถ่วงหรอกนะ”
“นั่นสินะครับ ถ้าเรย์ไปอยู่กับฟัฟนิร์เข้า ไม่นานก็น่าจะตาย”
ไม่ใช่เรื่องตลก คนที่อยู่กับฟัฟนิร์ได้ต้องดวงแข็งพอตัวเลย ถึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้ ซึ่งชินดร้าพี่สาวของเรย์ก็ชอบผ่านจุดนี้แล้วเรียบร้อย
แต่เรย์ เอเธอร์ไม่คิดว่าเรย์ดวงแข็งแต่อย่างไร เป็นคนปกติที่ตายได้แบบปกตินั่นแหละ
“คุณเอเธอร์เกลียดอะไรกันรึเปล่าเนี่ย พับผ่าสิ ..แน่นอนว่าอยากเจอหน้าครับ แต่จำเป็นต้องรอก่อนครับ ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ ฉันรักพี่สาวมากๆ สักวัน ถ้าได้เจอกันอีกจะพุ่งไปกอดเลยล่ะ”
เรย์พูดทั้งรอยยิ้ม
“เอาเป็นว่าฉันรักพี่สาว และทีหลังช่วยอย่าพูดด่ากันตรงๆด้วยนะ คือมันรับไม่ไหวอ่ะครับ”
“จะระวังครับ”
เรย์เดินไหล่ตกผ่านเอเธอร์ไป ไม่รู้จุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร ..
“พี่น้องสินะ ..”
เอเธอร์มองไปยังตะวันที่กำลังจะตกดิน ..และเห็นภาพหลอน
ข้างๆเขามีตัวเขาในตอนเด็กนั่งอยู่ และมีเด็กสาวที่ไม่ทราบหน้า ..เธอเดินไปเดินมา ด่ำๆมองๆรอบเอเธอร์ที่ไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง
เธอทนไม่ไหว ส่งเสียงหายใจดังไม่พอใจใส่
“เร็วสิเอเธอร์ ลุกขึ้นได้แล้ว”
“..”
เอเธอร์ไม่แม้แต่จะมอง—ทำให้เธอปรี๊ดแตกกว่าเก่า
“มาเถอะน่า!”
เธอตรงหน้าจับมือเอเธอร์ดึงขึ้นมา—-และพาเอเธอร์ออกวิ่ง
เอเธอร์ปล่อยตัวให้เธอพาไป เธอตรงไปเรื่อยๆยังทางเดินที่คล้ายจะไร้จุดสิ้นสุด—และสุดท้ายเธอก็มาถึงประตูและถีบประตูออก เผยให้เห็นแสงของพระอาทิตย์ที่ส่องลงมา
เอเธอร์รับแสงนั้น เธอที่พาเอเธอร์มาก็หันกลับมายิ้มให้เอเธอร์
“มีเรื่องที่อยากให้ช่วยหน่อยน่ะ พี่เอเธอร์!
“พี่น่ะแข็งแกร่ง ต่างกับฉัน
เพราะนั้น ช่วยทีนะ”
เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้ม และเป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของเธอ—–แม้ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว ใบหน้าของเธอจะหายไปจากความทรงจำของเอเธอร์โดยอัตโนมัติก็ตามที …
ยังไงเสีย
“…พี่เหรอ ..เป็นภาพหลอนที่แปลกซะจริง”
เอเธอร์จับศรีษะตัวเอง และยิ้มออกมา
ไม่มีใครทราบว่าเอเธอร์ยิ้มยังไง ไม่มีใครทราบว่าเอเธอร์รู้สึกอย่างไร ไม่มีใครทราบอะไรเกี่ยวกับเอเธอร์
มีเพียงเอเธอร์ที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ถ้าเห็นมากกว่านี้ ..ต้องแย่แน่ๆ”
ปล.ช่วงนี้อีกหลายตอนจะปูบทปูปมแต่ล่ะตัวละครเยอะหน่อยนะครับ พอดีตัวละครในเรื่องค่อนข้างเยอะและผมอยากจะให้บทที่ดีกับตัวละครสำคัญด้วย จากนี้คาดว่าอีกไม่กี่ตอน จะเข้า Arc ใหญ่ต่อไปแล้วครับ
MANGA DISCUSSION