เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 113: โซล่า เลนนอน (3)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 113: โซล่า เลนนอน (3)
< < 91Sec3 > >
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
โซล่า เลนนอน โค้งศรีษะให้ และดึงหัวกลับมาทั้งรอยยิ้มที่แสนจะมีความสุข
“โซล่า เลนนอนเอง ไม่ทราบว่าจดหมายที่ฝากท่านพี่ของคุณเรเซอร์ไปถึงหรือยังคะ?”
“ถึงแล้วล่ะครับ”
ผมชูจดหมายฉองใหญ่เนื่องจากจำเป็นต้องใส่กระดาษจำนวนสิบแผ่นไว้—โซล่าเห็นก็กอดไหล่แล้วเอี้ยวตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด
“น่าอายจัง!”
เขียนไว้ขนาดนั้นก็ควรอายอยู่แหละ ไม่ต่างกับการบอกความในใจทั้งหมดให้ชาวบ้านเลย
ยูจิเกาแก้มยิ้มให้ผม
“พอดี คุณโซล่าอยากให้ผมนำทางไปหาคุณเรเซอร์หน่อยน่ะครับ””
“เหรอ ขอบใจมากนะ”
ยูจิพยักหน้ารับ
“ถ้านั้นก็”
“จะว่าไปเห็นหนิงกำลังหาตัวนายอยู่เลยนะยูจิ”
“คุณหนิง? มีอะไรรึเปล่าครับช่วงนี้เห็นชวนผมไปเดินเล่นบ่อยมาก หวังว่าจะไม่เจอปัญหาใหญ่เข้านะครับ”
ไม่รู้สึกตัวด้วยสมบูรณ์–อืม สมเป็นพระเอกดี
ยูจิพูดอย่างห่วงใจ ไอรักก็คงรักหนิงอยู่ แต่แบบเอ็นดูและอยากช่วยเหลือซัพพอร์ตเธอเรื่อยๆมากกว่า ถ้าหนิงรู้เข้าคงช็อคน่าดู
“เช่นนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ่า กลับดีๆนะ”
ยูจิโค้งศรีษะให้ผมและโซล่าก่อนเดินไป
โซล่ามองส่งยูจิและหันมายิ้มให้ผม
“เป็นเพื่อนที่ดีนะคะ หวังว่าเขาจะไม่ได้แต่งหญิงแต่อย่างไรนะ”
แต่งหญิง? ถ้าแต่งจริงคงได้ขึ้นเป็นตำแหน่งยอดไวฟุแหงๆ ขนาดเป็นชายทั้งแท่งยังน่ารักโดนใจผมซะขนาดนี้เลย
“ถามทำไมอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็ถ้าแต่งหญิง ..เขาคงเป็นศัตรูตัวฉกาจค่ะ”
อาาาาา ..ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ยเนี่ย
ออร่าความชั่วร้ายพวยพุ่งจากร่างของโซล่า ผมมองแบบเอือมๆอดไม่ไหวที่จะกุมขมับตัวเอง
“ถ้านั้นคุณโซล่า”
“คะ?”
“มาเข้าเรื่องกันเถอะครับ”
ผมลงไปนั่งบริเวณโซฟาที่มีโต๊ะขั่นกลาง โซล่าเห็นก็ลงมานั่งโซฟาตรงข้ามโต๊ะขั่น
“เรื่องคำขอดูตัวครับ”
“จริงจังน่าดูเลยนะค่ะ”
“ครับ ..ลำดับแรก นับว่าเป็นเกียรติมากที่คุณโซล่าอุตส่าห์ท่อมาถึงที่นี่ เพื่อรับคำตอบเองเลย ผมในฐานะทายาทตระกูลดราแคล์ รู้สึกเศร้าใจมากที่ไม่สามารถไปรับคุณตั้งแต่ที่นั่นได้”
โซล่าอมยิ้มส่ายหัวให้
“ไม่หรอกค่ะๆ ฉันเองก็ปุบปัปไปด้วย”
ผมส่ายหัวให้ โดยที่พยายามเก็กการออกท่าทางให้ดูเรียบร้อยที่สุด
“ถ้านั้นก็”
“ค่ะ คำตอบคือ?”
โซล่านั่งเยียดตัวเม้มปากเข้าหากัน ตั้งใจฟังคำตอบผมเต็มที่
“สำหรับเรื่องนั้น ..ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมโค้งศรีษะให้ “ แต่ผมต้องขอปฎิเสธด้วยครับ”
จากใจจริง
“เอ๋? ทำไมล่ะ”
“ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้จริงๆครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? อายุพอๆกันนี่คะ? ฐานะทางบ้านแต่ล่ะฝ่ายก็ลงตัว หน้าตาฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครๆ อยู่ระดับที่ยืนข้างคุณได้แบบไม่มีใครแปลกใจเลยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ
โซล่าทุบโต๊ะตรงกลาง
“แล้วอะไรล่ะคะ!? ถ้าฉันไม่ดีพอฉันจะปรับปรุงตัวแน่นอน จะพยายามทุกอย่างเลย! หน้าตาฉันดูเด็กไปสินะ? อาจจะไม่ตรงสเป็คยังไงก็บอกมาเลย อยากได้แบบไหนบอกฉันมาเลย ฉันจะสร้างอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองเพื่อทดแทน มั่นใจว่าทำได้ดีค่ะ!”
“ถ้าผมบอกว่าตัวเองมีภรรยาหลายคนล่ะครับ”
ถึงจะแค่สองคนก็เถอะ อีกหนึ่งคนต้องรอเวลาก่อน แต่มากกว่าหนึ่งก็เรียกว่าหลายคนได้ล่ะมั้ง?
เธอได้ยินก็เงียบไป
“รับไม่ได้อยู่แล้วสิ ไอ้พฤติกรรมของพวกสัตว์ป่านั่นมันอะไรน่ะคะ?”
ไม่พอใจอย่างที่คิดไว้เป๊ะๆ
“นั่นสินะครับ ที่จักรวรรดิราชามังกรเขาถือเรื่องรักเดียวใจเดียวกัน จำไม่ผิดเป็นของลัทธิ ‘คาร์ซิก’ สินะครับ”
คาร์ซิกก็ศาสนาลัทธิที่นับถือเทพทั่วๆไปแหละ ต่างกันก็แค่เขานิยมเรื่องรักเดียวใจเดียวกัน และเป็นลัทธิที่มีผู้นับถือ 1/5 ของโลกนี้
“แน่นอนค่ะ”
“เพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้ไงครับ เพราะผมผิดคำสอนของลัทธิ”
“..เอ๊ะ?”
โซล่าเอียงคอฉงน หน้าถึงกับชาเลย
“ผิดคำสอน?”
“ผมมีภรรยาอยู่แล้วสองคนครับ..เรียกว่าภรรยาก็ไม่ถูก เป็นว่าที่ครับ หลังเรียนจบก็จะแต่งแบบเป็นทางการ คิดไว้อย่างนี้ครับ”
“อะไรกัน มีภรรยาอยู่แล้วเหรอเนี่ย ..แต่สองคน”
ผมพยักหน้าให้ โซล่ามองผมแบบน่ากลัวหน่อยๆ
“นั่นเรียกว่าความรักได้หรือคะ?”
“เชื่ออย่างนั้นครับ”
“ความรักเป็นสิ่งที่ต้องมอบให้คนๆหนึ่งอย่างสุดตัว ยิ่งกับคู่ชีวิตคนสำคัญแล้ว ยิ่งต้องมอบให้คนเดียวเท่านั้น นั่นไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกนะคะ—-มันคือความโลภของคุณต่างหาก”
ก็พอเข้าใจอยู่ ที่โลกเก่า ผมก็นับถือศาสนาที่ต้องมีสามีภรรยาแค่คนเดียว นั่นถือว่าเป็นสามัญสำนึกและศีลธรรมอันสูงสุดเลย ทว่ามาโลกนี้อะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป อย่างสามัญสำนึกบนโลกนี้ก็เข้าหัวผมเอาง่ายๆ เพระยังไงเสียผมก็คือเรเซอร์บนโลกนี้
เรื่องสามีภรรยาหลายคนน่ะก็เข้าใจ ไม่ถึงกับกีดกันอย่างที่ขุนนางในบ้านเกิดหลายคนเป็น ทว่า—ผมก็หวังว่าจะไม่โดนอีกฝ่ายกีดกันเพียงเพราะผมมีภรรยาหลายคนด้วยเหมือนกัน
“ไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ”
“ที่คุณคิดอยู่มันไม่ใช่ความรักค่ะ”
“ถ้านั้นแล้วคุณโซล่ารู้จักผมได้ยังไงเหรอครับ”
“โชคชะตาค่ะ ในฝัน มีเรื่องราวของคุณและฉันอยู่ มันเป็นโชคชะตา”
นั่นน่ะแย่กว่าผมอีกไม่ใช่รึไง ไม่สิ ตกหลุมรักคนในฝันนี่มันอาจจะไม่แปลกก็ได้ ไม่ดิ คิดไปคิดมามันก็แปลก หรือว่าไม่แปลกหว่า
เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับความชอบคนอื่นดีกว่า คนเราจะตกหลุมรักได้อย่างไรก็ช่าง ยังไงตกหลุมรักก็คือตกหลุมรักอยู่ดี
“ดูดีนะครับ แต่ยังไงก็ขอปฎิเสธด้วยครับ อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลยนะครับ”
“..จบง่ายๆแบบนี้เลยเหรอคะ”
“คุณเองถ้าต้องแต่งงานกับคนที่มีภรรยาหลายคนก็คงไม่ชอบใช่มั้ยครับ สมมุติว่าได้แต่งกับผมขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงกับอีกสองคนล่ะครับ”
โซล่าเงียบไป เธอก้มหน้ามองพื้น
“จะยกเลิกการหมั้นหมายของคุณกับอีกสองคนแน่นอน”
“เพราะอย่างนั้นเลยขอปฎิเสธครับ ขอโทษจริงๆนะครับ”
ผมลุกขึ้นยืนโค้งศรีษะให้โซล่า
“หวังว่าจากนี้ จะเป็นเพื่อ..”
“เพื่อน? ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้นสักหน่อย”
โซล่าเริ่มมีน้ำโห ผมสัมผัสได้จากน้ำเสียง–แต่ยังไงก็ต้องยืนยันคำเดิมอยู่ดีนั่นแหละ
“เอาเป็นว่าขอปฎิเสธนะครับ เรื่องวิทยาลัยเวทมนตร์ จะช่วยประสานงานให้นะครับถ้าเกิดต้องการยกเลิก”
“..ไม่ยกเลิกหรอกค่ะ”
“ถ้านั้นขอให้สนุกกับชีวิตในรั้ววิทยาลัยนะครับ ถ้ามีเรื่องสงสัยหรืออยากให้ช่วยอะไรก็มาหาได้นะครับ”
ถึงจะช่วยคนระดับนี้อะไรไม่ได้ก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องการออกแรงก็พอไหวอยู่
“คุณแค่หลงทางเท่านั้น”
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปจากที่นั่น โซล่าก็พึมพำขึ้นมา
“ฉันมีหน้าที่พาคุณกลับมาลู่ทางที่ถูกต้อง ..ในฐานะคนในโชคชะตา”
โซล่าตัวสั่นเบาๆ คล้ายคนกำลังจะร้องไห้ ที่พูดนี่น่าจะหมดหนทางแล้ว คงจะตกหลุมรักผมจริงๆนั่นแหละ และอกหักทั้งๆที่ในใจเต็มไปด้วยความหวังอันมากมาย
น่าสงสารไม่น้อยเลย เข้าใจได้ความรู้สึกนั้น แต่ผมก็ต้องปฎิเสธอยู่ดีนั่นแหละ
“ครับ”
ผมตอบสั้นๆและเดินไป
ไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะถ้าพูดมันคงเสียมารยาทกับคนพึ่งเจอแน่ๆ ในหัวผมเองก็ใช่ว่าจะสงบเพราะโดนพูดใส่ว่าผมหลงทาง เหมือนจะบอกว่าที่ผมรักทั้งสองคนเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เลยพยายามเงียบปากไว้เป็นการดีกว่า ให้อีกฝ่ายรู้แค่เราปฎิเสธก็พอแล้ว
แค่นั้นแหละ
****
(มุมมองยูจิ)
ผมยืนมองอยู่นอกโรงแรม ว่าจะกลับแล้วแต่คาใจเรื่องคำตอบของคุณเรเซอร์เล็กน้อย ก็คุณเรเซอร์น่ะมีภรรยาอยู่ตั้งสองคนแล้ว แถมยังมีคุณเบลลามีอีก มันเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเขาจะเลือกทางเดินยังไง
ผมจึงมานั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าโรงแรม
นั่งรอได้แค่ครู่เดียว คุณโซล่าก็เดินออกมาจากตัวโรงแรมด้วยสีหน้าที่..หดหู่
ถึงเซนต์เรื่องความรักจะไม่ดี แต่สีหน้าของเธอผมดูออกได้ง่ายๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงแรม
ซึ่งก็ ..ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ ว่าน่าจะจบแบบนี้
คุณโซล่าสังเกตุเห็นผม—ผมผงกหัวให้ เธอผงกหัวกลับและค่อยๆครี่ยิ้มให้ผม
“โดนปฎิเสธซะแล้วค่ะ”
เธอว่ามาอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าๆ
ยังไงเธอก็เป็นไอดอลที่ผมเทิดทูน เห็นสีหน้าแบบนี้มันก็ชวนเศร้าไปด้วย แต่ผมไม่คิดโทษคุณเรเซอร์ กลับกันถ้าเขาตอบตกลง ผมอาจจะ..โกรธ? หน่อยๆด้วย แต่นั่นแค่ความเห็นแก่ตัวของผมเท่านั้น ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธกับทางเลือกคนอื่นหรอก
“..ว่าแต่ว่า..คุณโซล่า ชอบคุณเรเซอร์ได้ยังไงเหรอครับ”
ถามอะไรของเราเนี่——ย
ผมหน้าซีดตัวสั่นเจ้าเข้า คุณโซล่าใช้หางตามองสภาพผมเวลานี้
“ฉันเห็นคุณเรเซอร์ในฝันค่ะ ..ในฝันเขามักจะช่วยฉันอยู่เสมอ เขามักจะอยู่กับฉันตลอดเวลา เป็นคนเดียวที่อยู่กับฉัน ..เลยตกหลุมรัก”
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แค่เจอคนในฝันก็ตกหลุมได้แล้วน่ะหรือ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด
“แล้วรู้ได้ยังไงเหรอครับ ว่าเขาคือคุณเรเซอร์”
“ในฝันเขาบอกชื่อฉัน แล้วก็ที่อยู่ ชาติตระกูล อย่างชัดเจนค่ะ”
ถึงขนาดเจาะจงได้ขนาดนี้ ผมคงจำเป็นต้องเชื่อสินะ?
“เขาบอกว่าถ้าเราเจอกันอีก ตอนนั้นเรามา..แต่งงานกันเถอะ..บอกแบบนั้น พอฉันมาก็ปฎิเสธเฉยเลยคะ บอกว่ามีว่าที่ภรรยาอยู่แล้ว แถมยังมีตั้งสองคนอีก”
มองในมุมคุณโซล่าก็น่าเห็นใจอยู่หรอก แต่คุณเรเซอร์ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย
“พอมาเจอในชีวิตจริงก็เหมือนกันมากๆคะ แค่ในฝันคุณเรเซอร์จะดูใจร้ายกว่านี้นิดหน่อย แต่ก็มีกลิ่นอายที่คล้ายครึงกันไม่ต่างจากเดิม ..มันทำให้ฉันรู้สึกตกหลุมรักกว่าเดิม ประมาณว่า..คนในโชคชะตาล่ะมั้งคะ วินาทีนั้น ฉันตั้งใจฝากชีวิตตัวเองให้กับชายคนนี้เลยนะ”
ถึงจังหวะนี้คุณโซล่าก็เช็ดน้ำตาที่ซึมของตัวเอง ทำให้ผมตัวแข็งทื่อกลายเป็นโกเลมแล้ว
ต้องปลอบสินะ..อาจจะช่วยให้ใจเย็นลงได้
“.. ยังไงก็..อย่าคิดมากเลยนะครับ คือ..พยายามเข้านะครับ”
“ให้ฉันเข้าหาต่อเหรอคะ? ต่อให้อีกฝ่ายมีภรรยาอยู่แล้วตั้งสองคน บอกไว้ก่อนฉันถือเรื่องสามีภรรยาคนเดียวนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!! หมายถึง..”
พูดดีมั้ยเนี่ยเรา
“พะ พยายามตัดใจเข้านะครับ”
คุณโซล่านิ่งไป ก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมา
“ไม่ใช่แค่คุณเรเซอร์ คุณยูจิก็ใจร้ายใช่ย่อยนะคะเนี่ย สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันได้”
เธอหัวเราะร่าเริงต่างกับก่อนหน้านี้ เห็นแล้วผมก็โล่งอก
“ครับ พยายามเข้านะครับ ยะ ยังไงก็โลกเราไม่ได้เจอแค่คนๆเดียวอยู่แล้ว ชีวิตก็แบบนี้ล่ะครับ จำเป็นต้องเดินหน้าต่อ เอ่อ ใช่ครับ สู้ๆครับ เดินหน้าต่อไป บางทีคุณโซล่าอาจจะเจอคนที่เหมาะกับตัวเองเข้าในสักวัน ในที่นี้ผมไม่ได้จะบอกว่าคุณเรเซอร์ไม่ดีนะครับ แต่คุณอาจเจอคนที่ดีกว่าคุณเรเซอร์ ไม่สิ พูดแบบนี้มันก็ไม่ใช่ ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเหมือนกัน แต่..”
ควรพูดยังไงดีนะ ..ไม่รู้เลย
“ก็แบบ ไม่ใช่ว่ามีแค่คุณเรเซอร์ ไม่ใช่ว่าใครคนใดคนหนึ่ง ยังมีอีกหลากหลาย โลกนี้นั้นกว้างใหญ่ เอ่อ..ก็”
“ ‘ชีวิตไม่ได้ถูกผูดมัดไว้กับคนๆเดียว’ แต่งคำสวยๆก็ประมาณนี้คะคุณยูจิ”
ผมพยักหน้าให้รัวๆเมื่อพบทางออก
“ใช่ครับ ประมาณนั้นเลยครับ”
“ค่ะ ทราบแล้ว แต่การคิดจะถอยมันไม่ได้ง่ายหรอกนะ ถ้ามันออกมาได้ง่ายๆฉันคงไม่โดนบอกว่าถูกผูกมัดไว้หรอก”
คุณโซล่าพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง เห็นแล้วผมก็รู้สึกหงอยขึ้นมา
“..นั่นสินะครับ ..เพราะไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกัน ผมเลยไม่มีทางเข้าใจ ขอโทษที่พูดอวดดีด้วยนะครับ ให้อภัยผมด้วย”
“อย่างไรก็ขอรับน้ำใจไว้นะคะ”
พูดจบเธอก็นั่งตรงม้านั่งที่ห่างกับผมไปหนึ่งโต๊ะ เธอนั่งเฉยมองตรงหน้าประตูโรงแรมไม่วางตา และหรี่ตาลงเป็นระยะๆ
พวกเรานั่งอยู่อย่างนั้นหลายนาที จนกระทั่ง
“การโดนผูกมัดนี่มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
จู่ๆคุณโซล่าก็ถาม
“..ผมคิดว่าทุกคนควรมีอิสระครับ”
“ถ้าเกิดสิ่งที่คอยผูกมัดเรามันเป็นความสุขล่ะ”
คุณโซล่ายิ้ม และเริ่มพูดต่อด้วยรอยยิ้มบางๆบนหน้า
“ตั้งแต่เกิด ฉันก็ถูกผูกมัดแล้วนะ ในตระกูลช่างตีเหล็ก ตั้งแต่เด็กก็เริ่มตีเหล็กและสนใจในอุปกรณ์เวทมนตร์ นับตั้งแต่นั้นฉันก็ถูกการสร้างผูกมัดไว้กับตัวเอง..ฉันคลั่งไคล้ในการสร้าง เรียกว่าเสพติดยังได้ ฉันสร้างทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น การแต่งตัว การกิน สุขภาพ ต่างๆนานาที่มนุษย์ควรมี ฉันโยนมันทิ้งไปหมด เพราะการสร้างคือทุกอย่างของฉัน เป็นอย่างเดียวที่มอบความพอใจในชีวิตให้กับฉัน”
..แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้แล้ว ว่าเธอพอใจกับชีวิตของตัวเองที่เป็นอยู่
“คุณอาจมองว่ามันเป็นการผูกมัดก็ได้ แต่มีคนหลายคนที่พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ต่อให้มันเป็นคำสาป ..ที่พูดไม่ใช่อะไรหรอกนะคะ แค่อยากบอกคุณเฉยๆคะว่าอย่าคิดว่าความคิดของตัวเองมันถูกต้อง คือจะว่าไงดีล่ะ พอโตไปสังคมการทำงานมันก็โตขึ้น เราเอาความคิดตัวเองเป็นหลักไม่ได้ อุดมการณ์ ทัศนคติ ทุกอย่างที่คุณยูจิมีเมื่อต้องทำงานก็จะเบาเหมือนขนนก”
“นั่นสินะครับ ..”
“ไม่ได้อยากตำหนิหรอกนะคะ ก็คุณยูจิเองก็เป็นคนดีเหมือนกัน ฉันว่าคนอย่างคุณยูจิเป็นที่ต้องการของโลกมากที่สุด”
ผมเป็นที่ต้องการของโลก? เรื่องนั้นคิดว่าผิดไปมากเลย
คนที่เป็นที่ต้องการของโลก ควรเป็นคนที่นำพาอุดมการณ์เป็นจริงได้ ไม่ใช่คนที่มีแต่อุดมการณ์เช่นเดียวกับผม
ดูคุณเรเซอร์เป็นตัวอย่างก็ได้ เขาเป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าถ้าเดินตามไป อะไรก็เกิดขึ้น เป็นชายที่เกิดมาเพื่อเป็นหนึ่งในแกนนำของโลกใบนี้
อย่างคุณโซล่าเองก็เช่นกัน อาจจะไม่ใช่ผู้นำ แต่สิ่งที่เธอมีเป็นที่ต้องการของผู้นำ เธอมีพลังในการรังสวรรค์โลกใบนี้
พอมองย้อนกลับมาที่ผม ..ผมมันก็แค่คนธรรมดาที่แสนจะกลวง
ใช่ ผมกลวงมาตลอด ชาติกำเนิด เรื่องราววัยเด็ก พ่อและแม่ ครอบครัว ถิ่นที่อยู่ เรื่องน่าประทับใจตอนเด็ก เรื่องฝังใจ แผลใจ สิ่งที่ประทับใจ ผมไม่มีเลยสักอย่างเดียว เพราะเป็นเด็กที่ความจำเสื่อม พึ่งได้สติตอนอายุสิบสอง และใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าอย่างนั้นเป็นเวลาสี่ปี
ผมมันแค่คนที่ว่างเปล่า ไม่มีค่าพอจะเป็นฟันเฟื่องให้โลกใบนี้หรอก ..กลับกัน การมีอยู่ของผม มันอาจจะเหมือนเศษเหล็กที่ผิดพลาดในฟันเฟื่องก็เป็นได้
ไม่รู้ทำไม แต่เผลอคิดว่าเป็นเช่นนั้นตั้งแต่จำความได้แล้ว
“ไม่หรอกครับ โลกนี้..คงไม่ได้ต้องการผม” ผมถอนหายใจ “ผมมีกลุ่มเพื่อนอยู่ครับ แต่พอมองย้อนกลับมาที่กลุ่มที่ตัวเองอยู่ ตัวเองก็มักเผลอคิดไปว่าผมไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ..บางครั้งก็เผลอคิดเหมือนกัน ว่าตัวเองมันไร้ค่าน่ะครับ”
ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยเรื่องนี้ เราเผลอหลุดปากไปซะแล้วสิ ..คุณโซล่าจะคิดยังไงกันนะ อาจจะโกรธที่ผมเอาอารมณ์มาระบายใส่ก็เป็นได้
จะยังไงก็ได้ แต่ผมขอเบาๆหน่อยนะถ้าเป็นคำด่า
“โลกไม่มีทางต้องการคุณหรอกค่ะ”
คงจะอย่างนั้น ..พูดได้ตรงมากครับ ขอยอมรับเลย แต่ช่วยเบาสักนิดไม่ได้หรือไงนะครับ
ผมยิ้มเจื่อนๆ คุณโซล่าหันมายิ้มให้ผมเหมือนที่พูดไม่ได้ด่าผม
“ก็โลกมันมีความต้องการซะที่ไหน..ที่ต้องการคุณไม่ใช่โลก แต่เป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็คง..”
“ที่ต้องถามไม่ใช่คุณค่ะ แต่เป็นคนที่อยู่รอบตัวคุณต่างหาก”
..คนที่อยู่รอบตัว?
“ก็จริงที่คุณค่าคนเรา มีแต่เรานี่แหละที่มองแล้วเข้าใจดีที่สุด แต่ในบางครั้งมันก็ไม่ใช่ ..บางครั้งคนรอบตัวคุณ อาจจะเข้าใจคุณค่าของตัวคุณยูจิเอง ยิ่งกว่าตัวของคุณอีกนะคะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะบอกว่าตัวเองไร้ค่า—ลองถามคนรอบตัวก่อนเถอะ”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากๆนะครับ ช่วยผมได้เยอะเลย ..ว่าแต่ที่บอกว่าผมเป็นคนที่โลกต้องการนี่”
คุณโซล่าพยักหน้กหงึกๆให้รัวๆ
“มานาคุณเยอะนะคะ แค่มานาที่มีอยู่ก็มีคุณค่ากับโลกมากแล้วล่ะ”
“มานาเยอะ? มะ ไม่หรอกครับ อะ ฮะๆ”
ผมเกาหัวแก้เขิน ..ว่าแต่เขารู้ได้ยังไงนะว่ามานาผมเยอะ?
“นอกจากนั้น คุณเองก็มีค่ากับฉันด้วย”
ผมเอียงคอฉงน คุณโซล่าเลยอธิบายให้ฟังเหมือนกับคุณครูที่ชนบทที่ผมอยู่
“คุณช่วยทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น”
“ไม่เห็นว่าจะช่วยสักเท่าไหร่เลยนะครับ ที่ผมทำน่ะ ..”
“บางครั้งเวลาเห็นคนหดหู่แทนตัวเอง มันก็ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นนะคะ” คุณโซล่ายิมแบบสะใจหน่อยๆ “ได้คุณช่วยไว้เลย”
รอยยิ้มของเธอมันตรึงร่างผมไว้แน่น จนเผลอลืมหายใจไปชั่ววูบหนึ่ง ..
พูดจบคุณโซล่าก็ลุกขึ้นและโค้งศรีษะให้ผม
“ไว้เจอกันนะคะ ที่วิทยาลัยเรดฮอต บอกไว้ก่อน ฉันยังไม่ยอมแพ้เรื่องคุณเรเซอร์หรอก”
ไม่ยอมแพ้?
“เพราะนั้นคุณเองก็ช่วยฉันด้วยนะ”
ว่าจบคุณโซล่าก็เร่งฝีเท้าเดินหนีไปโดยไม่รอให้ผมตอบปฎิเสธ ..
….
….
เมื่อตะกี้คุณโซล่ายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย ดูสะใจแปลกๆ แต่ว่ายังคงเป็นรอยยิ้มที่งดงาม .. แถมยัง
‘ได้คุณช่วยไว้เลย’
..ได้คุณช่วยไว้เลย ได้คุณช่วยไว้เลย
ประโยคพูดนี้มันเหมือนกับสะกิดต่อมความทรงจำผมขึ้นมาแปลกๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ผมไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลย ตอนนี้เหมือนมีอะไรสักอย่างตีขึ้นมาในอก มันอึดอัด แล้วก็ผ่อนคล้าย รู้สึกดี ทรมาน ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ผมควรเข้าใจมันแท้ๆ
บางทีอาจเร็วเกินไปที่จะเข้าใจ
ผมนั่งอยู่เฉยๆ ไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย ตอนนี้ในหัวมันมีหลายๆอย่างปนกันไปหมด แต่หัวข้อหลักคือ ‘คุณโซล่า’
ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
ขณะที่คิดไปเรื่อย เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ผมเลยหันไปมองและพบกับคุณหนิงที่วิ่งมา
ใส่เสื้อเอวลอย และกางเกงขายาว มีเครื่องประดับชิ้นเล็กน้อยติดมาด้วย การแต่งตัวดูเน้นไปที่โทนสีขาว การแต่งกายดูมีสไตล์เอามากๆ ผมแอบชื่นชมนิดหน่อยที่เธอแต่งตัวได้ถึงขนาดนี้
“ยูจิ!!! มานั่งอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
คุณหนิงโผล่มาในสภาพที่เหงื่อชุ่มทั้งตัว น่าจะออกกำลังกายอยู่กระมัง?
เพราะเหงื่อเลยทำให้เสื้อเอวลอยมันบางลงจนเห็นเสื้อชั้นในได้ง่ายๆ
ผมเห็นก็ยิ้มให้ ไม่รู้ทำไมคุณหนิงถึงหน้าแดงขึ้นมา
“อะ อะไรเหรอ?”
“ผ้าเช็ดหน้าครับ พอดีเห็นว่าเหงื่อเยอะ”
คุณหนิงพึ่งรู้สึกตัวก็ตอนนี้ เมื่อเธอเห็นสภาพเสื้อที่บางเอามากๆก็หน้าแดงก่ำขึ้นมา และรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าผมไปเช็ดตามตัว
“มีแอบมองบ้างรึเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ ผมว่าผู้หญิงคงไม่ชอบให้มองนักหรอก”
“เหรอ แต่บ้างครั้งมันก็มีข้อยกเว้นนะ”
ข้อยกเว้น? ผมเองก็ไม่ชอบเวลาคนเห็นร่างเปลือยเปล่า ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะมีข้อยกเว้นตรงไหนเช่นกัน
“อย่างเช่นอะไรหรือครับ”
“บอกไม่ได้”
คุณหนิงเบือนหน้าหนีผม เพราะคุยกันเยอะ ทำให้รู้ว่าเวลาเธอทำท่าแบบนี้ห้ามทักเรื่องเดิมต่อ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนหัวเรื่องคุยน่าจะดีกว่า
สุดท้ายผมก็ยังไม่อาจเข้าใจความคิดของคุณหนิงได้ในหลายๆครั้ง เล่นเอารู้สึกเศร้าหน่อยๆเลย ผมอาจจะคิดว่าตัวเองไร้ค่าอีกครั้งก็ได้ แต่คำพูดของคุณโซล่าทำให้ผมพยายามไม่คิดเช่นนั้น
แม้ว่าในใจลึกๆจะพะวงศ์อยู่ก็ตาม
“คุณหนิงคิดว่าผมมีค่ารึเปล่าครับ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วสิ ยูจิเป็นคนที่ช่วยฉันไว้นะ”
เธอตอบกลับเหมือนเป็นเรื่องปกติ
เรื่องปกติ?
การที่คนเรามีค่ามันเป็นเรื่องปกติสินะ
“จะว่าไปยูจิ เย็นนี้ว่างรึเปล่าน่ะ”
“ครับ มีอะไรเหรอครับ”
“ช่วยฉันเลือกวัตถุดิบอาหารหน่อยได้รึเปล่า ว่าจะกลับไปทำดูน่ะ”
คุณหนิงดูดี๊ด๊าเอามากๆช่วงนี้ เหมือนได้ปลดล็อคตัวตนที่แท้จริงอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าผมไม่ได้รังเกียจ
“จริงๆให้ผมลองชิมเลยก็ได้นะครับ ผมแอบสนใจอาหารที่คุณหนิงทำมากๆครับ”
คุณหนิงหน้าโดนย้อมด้วยสีแดงอีกครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอดูอยู่ไม่สุข ขยับแขนไปมาจนสุดท้ายก็จบที่ปิดบังหน้าตัวเองด้วยสองมือ
“จริงๆจะนอนค้าง..ก็ได้นะ”
“เกรงใจแย่ครับ ผมแค่ช่วยคุณหนิงเรื่องอาหารก็พอแล้วครับ”
“ยูจิเนี่ยไม่มีอะไรแอบแฝงเลยนะ ตั้งแต่ตอนเด็ก ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
ตั้งแต่ตอนเด็กสินะ จะว่าไปคุณหนิงเคยบอกว่าเธอเคยพบกับผมและคุณเรเซอร์ช่วงก่อนเสียความทรงจำ เพราะจำอะไรไม่ได้ ผมเลยไม่เข้าใจว่าตัวผมก่อนเสียความทรงจำเป็นอย่างไร
“จะว่าไปตอนผมเป็นเด็กนี่เป็นยังไงบ้างเหรอครับ”
“อยากรู้สินะ!!?”
คุณหนิงยิ้มแย้ม ผมเห็นก็อดยิ้มตอบกลับไม่ได้
“ครับ นิดหน่อย”
“เหรอ บอกไว้คร่าวๆก่อนล่ะกันว่า ‘ได้ยูจิช่วยไว้เลย’ ถึงมีตัวฉันตอนนี้ได้”
ได้–ช่วยไว้เลย ..แปลกจังนะ
ประโยคเหมือนกับที่คุณโซล่าพูดแท้ๆ แต่ทำไมความรู้สึกถึงต่างกันนะ?
ผมเก็บคำถามไว้ในใจ และพูดคุยกับคุณหนิงตลอดทางจนแยกย้ายกัน
และในคืนนั้น ‘ออร่า’ คนที่คุยกับในวันที่ผมตาย เขาก็โผล่มาอีกครั้งในห้องสีขาวที่มีเพียงเก้าอี้ไม้ของเขาและของผม——เขาบอกผมว่าหลังจากวันนี้ ทุกคืนที่นอน เขาจะเข้ามาคุยด้วยทุกๆวัน
คิดซะว่าเป็นการสนทนาเพื่อพัฒนาตัวเอง เขาว่าอย่างนั้น