เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 112: โซล่า เลนนอน (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 112: โซล่า เลนนอน (2)
< < 91Sec2 > >
มีคนมาแอบชอบ ผมมันรูปหล่อ รู้ตั้งนานแล้วว่รตัวเองรูปหล่อ แต่ความรู้สึกของเธอที่อยู่ในจดหมายทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย
ขณะนี้ผมเดินอยู่กลางเมืองฟัฟนิร์ โดยที่มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าและมืออีกข้างถือจดหมายอ่าน
ในจดหมายมีเรื่องเกี่ยวกับความรักที่มีให้ผมเต็มไปหมด ใช่แล้ว มันคือ ‘จดหมายรัก’ ที่ชวนอึ้งยิ่งกว่า เจ้าของจดหมายยังเป็น ‘โซล่า เลนนอน’ นักประดิษฐ์อุปกรณ์เวทย์แห่งยุค ผู้พลิกโฉมวิทยาการณ์ทั้งหมดบนโลกนี้ภายในเวลาเพียงสิบปี
ว่าที่ตัวตนระดับตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ชัดๆ โซล่าคนนี้น่ะ
ผมอ่านจดหมายแบบตึงเครียด ยิ่งกว่าปลื้มปิติกับความรักที่อีกฝ่ายมีให้ นั่นก็เพราะว่าในจดหมายมันเขียนร่ายยาวตั้งสิบหน้า แถมเนื้อหายังวกวนไปมา กับคำว่ารักผม รักผม รักผม
ว่าตามตรง
โคตรสยอง
เริ่มรู้สึกกลัวแล้วสิ ถึงผมจะมีฐานะลูกชายของดยุคอยู่ทำให้ไม่มีใครกล้ารวบตัวผมไป แต่ถ้าเป็นโซล่าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น อำนาจระดับเธอน่าจะมากพอจะเจรจากับพ่อผม แล้วอนุญาติให้รวบตัวผมหนีหายตายจากไปก็ได้
ทำได้ง่ายๆ เพราะการที่สายเลือดดราแคล์ได้ให้กำเนิดบุตรที่มาจากโซล่า เลนนอน นับเป็นการลงทุนและกำไรที่คุ้นค่า
ถ้าผมอยู่ในฐานะบุตรชายของตระกูลดราแคล์ ผมควรแต่งงานมีลูกกับโซล่าโดยทันที แล้วค่อยรับเรเซลและอันนามาเป็นภรรยาน้อย อีกฝ่ายถึงจะอยู่ในจักรวรรดิที่เคร่งเรื่องผัวเมียเดียว แต่การแต่งงานระหว่างอาณาจักรกับจักรวรรดิที่วัฒนธรรมต่างกัน ผมอาจจะหามุมให้เรเซลและอันนาเข้ามาเป็นภรรยาได้
มีความเป็นไปได้สูงที่ทางนั้นจะยอมรับได้
ทว่า ถ้าแต่งงานกับโซล่า ต่อให้รับภรรยาได้หลายคน แต่โซล่าต้องได้รับสถานะภรรยาหลวงไปแน่ๆทั้งในนามและการกระทำ เรเซลและอันนาก็เป็นภรรยาน้อยไปตามที่พวกเธอต้องการแต่แรก
ตระกูลเจริญก้าวหน้าไม่พอ ผมยังแต่งงานกับทั้งสองได้ตามปกติ
..แต่
“ไม่เอาด้วยหรอก”
ศักดิ์ศรีมันบอกว่าห้ามทำ
ผมไม่รู้จักคนชื่อโซล่า ถึงหล่อนจะเขียนจดหมายบอกรักเป็นสิบๆหน้า แต่ผมก็ไม่มีเธออยู่ในความทรงจำเลย ผมไม่ได้รักเธอ แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ต่างกับเรเซลและอันนา
อาจจะดูโลกสวยไปบ้าง แต่ผมอยากเลือกรักคนที่ผมรัก ต่อให้เป็นขุนนางก็จะเอาอย่างนั้น
ถ้าผมไร้พลังผมคงคิดแบบนี้ไม่ได้ ที่คิดและทำได้มันเป็นเพราะผมมีพลังพอที่ทุกคนจะยอมรับได้
“..ว่าก็ว่าเถอะ ..ยัยนี่ไหวมั้ยเนี่ย”
เนื้อความในจดหมายนั้นสุดจะบรรยาย——
‘ฉันรอคุณอยู่นะคะ คุณเจ้าชาย ฉันฝันเห็นคุณขี่ม้าขาวมาช่วยฉันเสมอๆ คุณคือรักแรกของฉัน และต้องเป็นรักสุดท้ายของฉัน ใช่ รักสุดท้าย ต่อให้ตายก็หามไปมีคนใหม่ พวกเราจะมีรักที่เป็นนิรันดร์ ฟังดูดิใช่มั้ย?
ฉันไม่รู้ว่าผู้ชายชอบอะไร แต่เห็นคนรู้จักไปเที่ยวผู้หญิงบ่อยๆ เพราะนั้นคุณเองก็น่าจะชอบเรื่องบนเตียงไม่น้อย ก่อนมาตัวฉันได้ทำการศึกษาเรื่องบนเตียงมาเรียบร้อยแล้วด้วย’
..อืม
‘อย่าคิดไปไกลเชียวนะ ฉันอ่านหนังสือกับฟังหญิงสาวที่ทำงานเป็นประสบการณ์เท่านั้น ไม่เคยได้ลองจริงหรอก เพราะฉันเก็บไว้ให้เจ้าชายอย่างคุณเท่านั้น
‘รักนะ รอฟังคำตอบอยู่’
ไม่เข้าใจเลย สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าโซล่าชอบผมไปได้ยังไง
เพราะในเนื้อหา ไม่มีช่วงที่พบรักครั้งแรกกับผมเลย ที่มีมีแค่บรรยายความรู้สึกที่มีให้ผมทั้งหมด
ก็ไม่ได้อยากคิดว่านี่เป็นการโกหกหรอก แต่..ถ้าเป็นจดหมายรักที่ดีก็ควรมีเรื่องราวสุดซึ้งสิ อย่างการพบกันครั้งแรกของผมและเธอที่ริมทะเลยามพระอาทิตย์ตกดิน อะไรราวๆนี้
ไม่โรแมนติก เอาซะเลย
“ไม่ไหว ไม่ไหว”
ผมพลิกดูหลังกระดาษต่อ ว่าแล้วเชียว มี ป.ล. อยู่ด้วย
‘ป.ล. มีลูกสักสิบคนกำลังดีนะคะ’
“เยอะเกิ๊น!!! คิดจะมาลูกยังอายุเท่าไหร่กันฟร้ะหล่อน ที่สำคัญ คิดเรื่องลูกเร็วไปแล้ววุ้ย!!”
อ่าาาาา หงุดหงิดชะมัด
ผมเก็บจดหมายเข้าซองทันใด ลงไปนั่งกุมขมับที่ม้านั่งข้างๆ
“วันนี้มันวันอะไรฟร้ะเนี่ย วันแห่งความรักเหรอวะ จะบ้าตาย”
โซเฟียก็ดี โซล่าก็ดี ทำไมชีวิตผมถึงเปี่ยมด้วยความรักได้ถึงเพียงนี้
บ้าจริง ผมนี่มันคนบาปชัดๆ
“เห้ เรเซอร์!”
หนิงวิ่งมาหาผมในชุดลำลองแฟชั่นจ๋า กางเกงขายาว และเสื้อเอวลอย ดูจากการแต่งตัวน่าจะพึ่งเลิกงานที่เมดคาเฟ่ห์ เพราะเสื้อดูใหม่เหมือนก่อนหน้าไม่ได้ใส่มาก
หลังหลุดจากการควบคุมของอัลเบโด้ หล่อนก็แต่งตัวและใช้ชีวิตแบบจัดเต็มสุดๆ ชนิดที่ว่าภาพลักษณ์ประธานนักเรียนผู้เรียบร้อยหายไปหมดเลย
พูดถึงประธานนักเรียน หลังโดนบุกวิทยาลัยเวทมนตร์ เรื่องประธานนักเรียนคนต่อไปก็โดนพับเก็บไว้อีกทีตอนเปิดเรียน
มันจะจบยังไงกันนะ ผมขอภวนาให้จบดีๆโดยที่หนิงไม่ต้องมาลำบากอีกล่ะกัน
“เบลลามีล่ะ”
“ไปซื้อหนังสือ แล้วแกนั่งทำอะไรอยู่เนี่ย”
“เปล่า คือมัน เครียดหน่อยๆอ่ะนะ ชีวิตเนี่ยมีแต่เรื่องวุ่นวายเนอะ”
“เหรอ ว่าแต่เห็นยูจิเปล่า”
ไม่คิดจะฟังตูบ่นหน่อยเหรอ?
หนิงมองซ้ายขวาไปมา เหมือนกำลังส่องหายูจิ ทำตัวอย่างกับนักล่าไปได้ยัยนี่
“วันนี้เห็นบอกมีธุระ”
“น่าเสียดาย นั้นไปล่ะ”
หนิงโบกมือลา แต่ก่อนจะวิ่งไปก็พูดกับผมก่อน
“เบลลามีอยู่ร้านหนังสือแถวๆร้านขนมปังน่ะ ลองไประบายให้เธอฟังดูสิ”
แบบนี้นี่เอง ไม่คิดจะฟังผมบ่น เพราะตั้งใจให้ผมไปบ่นให้เบลลามีฟังแทนสินะ เข้าใจคิดชะมัด
ทำตัวเป็นแม่สื่อไปได้
“เรื่องที่ทำแกนั่งเครียดได้ มันต้องเล่าให้คนที่สำคัญกว่าฉันฟังสิถึงจะดี อย่างว่าที่ภรรยาของนายไม่ก็เบลลามี”
นั่นสินะ น่าเสียดายที่เรเซลกับอันนาไม่ว่างกัน เพราะนั้นเล่าให้เบลลามีฟังก็ได้
“เข้าใจแล้ว” ผมยิ้ม “กับยูจิเป็นไงบ้างแล้วล่ะ”
“..พูดถึงอะไรน่ะ”
หนิงทำเก็กไม่ยิ้มทั้งๆที่แก้มแดงแจ๋อยู่ หน้าหล่อนแดงเหมือนเปิดปิดได้อย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ
“เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วเฟ้ย ฟังนะ–”
“หนวกหู ไปล่ะ”
หนิงออกวิ่งหายูจิต่อโดยไม่คิดฟังผมแนะนำใดๆทั้งสิ้น
ให้ตายสิ
ผมถอนหายใจเฮือกโต ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือที่เบลลามีไป
****
ไม่นานก็ถึงแล้ว
เป็นร้านหนังสือเล็กๆที่เบลลามีชอบมา ภายในร้านมีหนังสืออยู่หลากหลายสไตล์ แต่ไม่ได้มีของสต็อกไว้เยอะบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องล่ะเล่มสองเล่มจาก ยกเว้นพวกเรื่องขายดี
แล้วตัวร้านก็มีแค่คุณยายอายุราวๆห้าสิบปีคนหนึ่งคอยเฝ้าร้าน
“หวัดดีครับ”
“หนูเรเซอร์นี่จ๊ะ มาหาหนูเบลลามีเขาเหรอ”
ผมพยักหน้ารับ คุณยายก็ชี้ไปที่ทางขวาจากเค้าเตอร์
“ทางนั้นจ๊ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
ผมคำนับและเดินไปตามทางที่บอก
และพบกับเบลลามีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆชั้นหนังสือ แม้ร่างจะเล็กแต่ตัวเบลลามีก็เล็กด้วย มันเลยสมมาตรกันจนนั่งได้แบบสบายๆ ถ้าผมหรือหนิงคงนั่งอ่านอย่างเบลลามีไม่ได้
เบลลามีไม่สังเกตุเห็นผมเลย สมาธิเธอจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มที่อ่าน-ผมแอบมองปกหนังสือและพบว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับตำนานเทพทั้งสิบของโลก
เทพผู้สร้างโลก มีทั้งหมดสิบตน พวกเขารังสรรค์โลกนี้ด้วยพลังที่แตกต่างกัน แต่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้
เป็นแค่ตำนานกึ่งๆนิทาน ไม่ควรมีอยู่จริง ทว่ามันมีอยู่จริง เพราะเคยอ่านนิยายต้นฉบับมาก่อน ทำให้รู้ ว่าเทพทั้งสิบเคยมีตัวตนอยู่บนโลกจริงๆ และจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจัยของเทพทั้งสิบก็ยังหมุนเวียนอยู่ภายในโลกไม่ได้หายไปไหน
โลกนี้มีทั้งหมด 6 ยุคหลักๆ ได้แก่–
ยุคโบราณ อยู่ระหว่าง 0-10,000 ปี ของโลก และจบยุคสมัยลงด้วยหายนะจากสงคราม เทพกับจอมมาร
ทวยเทพตายไปถึงเก้าคนจากสิบคน ที่เหลือรอดมีแค่เทพแห่งธรรมชาติ นาม ‘ไอโด-เวโด้’ ช่วงปัจจุบันก็น่าจะเดินเล่นอยู่รอบโลกนั่นแหละ
ส่วนเทพอีกเก้าคนที่ย่อยสลายไป ก็ค่อยๆกลายเป็นพลังงานให้แก่โลก จึงเกิดเป็นอาวุธ ปรากฏการณ์ สิ่งมีชิวิตใหม่ๆขึ้นมามากมาย ภายใต้อำนาจของเหล่าเทพทั้งเก้าที่ตายจากไป
ดังยุคต่อไปนี้
ยุคมหาสมุทร อยู่ระหว่าง 11,000-13,700 ปี เป็นยุคที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลังสงครามโบราณกับจอมมาร สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเริ่มถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้ และว่ากันว่า ดอร์ฟเป็นเผ่าที่ครองโลกในยุคๆนั้น
ในช่วงยุคมหาสมุทร ปัจจัย อำนาจแห่งเทพ อย่างเทพแห่งชีวิต ‘ไฮดะระ’ ก็ได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลในตำนานปรณัมขึ้น ชื่อนั้นคือ ‘ไฮดร้า’
ณ ปัจจุบัน ไฮดร้าได้ตายไปแล้ว ถูกสังหารโดย ‘ราชาผู้พิชิต’ ต่อมาเขาก็ได้ขึ้นเป็นวิญญาณระดับเทพด้วย ด้วยเหตุนั้นความอมตะของไฮดร้าหรืออำนาจแห่งเทพไฮดะระ ก็ถูกแยกส่วนไปประกอบอาวุธมากมาย จนบอกได้เลย ว่าอาวุธที่มีปัจจัยของไฮดะระนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันชิ้นหรืออาจเป็นหมื่นเลยล่ะ
ต่อมายุคมังกรธาตุ อยู่ระหว่าง 13,700-14,000 ปี
ปัจจัย อำนาจของเทพแห่งจุดเริ่มต้น—หรือเทพแห่งมังกรอย่าง ‘เทียแมท’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นก็คือ ‘4มหามังกร’ ที่เดินเล่นกันอยู่ทุกวันนี้
เทพแห่งจุดเริ่มต้นเป็นเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทพ บางที ไม่สิ แน่นอนเลยล่ะ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตตนเดียวที่มีความเป็นไปได้ที่จะเหนือกว่าจอมมารหรือเอเธอร์ได้ เพราะเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่เทพทุกตน แม้ว่าจะถูกจอมมารฆ่าก็ตาม
และอย่างที่รู้กันว่าปัจจัยของเทพแห่งจุดเริ่มต้นอย่างมังกรธาตุได้สร้างความชิบหายให้โลกนี้ขนาดไหน
ต่อมาก็ยุคแย่งชิงอำนาจ อยู่ระหว่าง 14,000-15,000 ปี
ไม่พบปัจจัย อำนาจเทพแต่อย่างไร ในนิยายก็ไม่มีบอก
ต่อมาคือยุคผู้กล้า อยู่ระหว่าง 15,000-16,000 ปี
เป็นยุคที่ปีศาจเข้าห้ำหั่นกับมนุษย์ และเป็นยุคแห่งการกำเนิดของจอมมาร
มนุษย์ได้นำอำนาจเทพแห่งความยุติธรรมอย่าง ‘จัสติสเทีย’ มาหลอมรวมเข้ากับดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสร้างได้ และก่อกำเนิดเป็นดาบแห่งผู้กล้า ดาบที่ว่ากันว่ามีพลังที่โกงที่สุดบนโลก เทียบเท่าดาบของจอมมาร
ไล่ๆดูก็มีปัจจัย อำนาจเทพอีกตั้ง 6 ตนที่ในนิยายต้นฉบับไม่ได้เฉลย ไม่รู้คนแต่งคิดอะไรถึงได้กักเรื่องต่างๆนานาไว้เพียบเลย
ในช่วงสามปีที่ออกเดินทาง ผมก็หาข้อมูลเกี่ยวกับอำนาจของเทพมาบ้าง และได้ข้อมูลที่พอได้เรื่องมาประมาณสองส่วน แต่เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะผมไม่เคยเจอของจริง
อย่างแรก ปัจจัย อำนาจของเทพแห่งการสูญสิ้น ‘บาคุนาว่า’ อยู่ในมือใครสักคน ไม่ทราบพลัง แต่ว่ากันว่ามีผู้ครอบครองมันแล้ว และพลังของมันก็เป็นที่ประจักษ์ให้ใครบางคนได้เห็นแล้ว ตามแวดวงมืดของโลก ผมได้ยินมาว่ามันเป็นเคียวที่มีพลังสุดจะขี้โกง แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าพลังมันคืออะไร ไม่รู้ว่าโดนปิดปากหรือยังไง ..
อย่างที่สอง ปัจจัยอำนาจของเทพแห่งตาชั่งโลก ‘สะเกล’ ก็อยู่ในมือใครสักคนแล้วเหมือนกัน อันนี้มั่นใจว่ามีผู้ครอบครองแล้วจริงๆ แต่ไม่ทราบพลังอยู่ดี
แล้วก็สุดท้ายที่รู้ๆกัน ยูจิเป็นผู้ครอบครองปัจจัย อำนาจของเทพแห่งวัฐจักร ‘โอโรบรอส’ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แล้วแน่ๆว่าตรงตามในนิยายต้นฉบับ
นอกนั้นผมไม่ทราบอะไรเลย เทพที่เหลือก็มี เทพแห่งปัญญา ‘อาเธียน่า’ ,เทพแห่งจิตวิญญาณ ‘อานิม่า’ ,เทพแห่งกฏ ‘รูล่า’
ผมอยากจะบอกว่าอย่างไรก็ช่างอยู่หรอก เพราะในนิยายต้นฉบับพลังเทพกว่าครึ่งไม่มีบทเลย มีบทแค่เป็นเทพที่หลายๆศาสนาบนโลกนี้เขานับถือกัน แต่ไม่ได้มีบทเป็นตัวเป็นตนและสำคัญต่อเนื้อเรื่องอะไร
เพียงแต่ เรื่องราวคราวนี้มันต่างออกไปไป ตั้งแต่มหามังกรเทียมหรือว่าเรน ทั้งหมดคือตัวแปรใหม่ที่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว บางทีอำนาจแห่งเทพอาจจะอยู่ในมือของศัตรูก็ได้ ผมจำเป็นต้องระวังตัวไว้ เพราะอำนาจแห่งเทพมันมีพลังมากมายไม่แพ้วิญญาณระดับเทพเลย
บางสิ่งอยู่ในรูปแบบสิ่งมีชีวิต รูปแบบพลังเสริม รูปแบบอาวุธ ไม่ว่าจะด้านไหน สิ่งที่ออกมาจากอำนาจแห่งเทพก็ล้วนอยู่จุดสูงสุดของแต่ล่ะสายที่ออกมาทั้งสิ้น ดูอย่างมหามังกรสี่ตนนั้นก็ได้ ไม่ก็ดาบแห่งผู้กล้าที่ใช้โค่นจอมมาร
มีแต่พลังที่น่าสะพรึงกลัว ..
พอคิดแล้วก็เครียด ทั้งๆที่ตัวเองยืนดูเบลลามีอ่านเรื่องเกี่ยวกับเทพอยู่แท้ๆ ให้ตายสิ
ผมตัดสินใจยืนอยู่เฉยๆ และรอเบลลามีอ่านจนจบ …ราวๆสองชั่วโมงได้
เมื่ออ่านจบเบลลามีก็ปิดหนังสือลง และ—สังเกตุเห็นผมแล้ว จากที่ไม่เห็นมาตลอด
ให้เดาน่าจะไม่เห็นจริง ไม่ได้จงใจเมินแต่อย่างไร ขอคิดอย่างนี้นะ
“เล่มนั้นอ่านครั้งแรกรึเปล่า?”
“อือ ครั้งแรกของเรา”
ทำไมพูดดูเสียดายอย่างนั้นล่ะ
“ฉันเคยอ่านอยู่ครั้งหนึ่งนะเล่มนั้น เป็นหนังสือที่เรียบเรียงเนื้อหาได้ดีมาก”
“ผูเขียนเป็นถึง ‘มาลันซ่า’ เลยนะ ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”
เบลลามียิ้มให้ผม เห็นรอยยิ้มเธอแล้วใจก็เต้นระรัวขึ้นมาทันที
“ระ เหรอ ว่าแต่ในหมู่สิบเทพ เบลลามีชอบใครสุดเหรอ เอาตามความรู้สึกนะ”
เบลลามีเป็นร่างเกิดใหม่ของจอมมาร อาจจะสะกิดต่อมจอมมารบางอย่างก็ได้ เพราะตอนนี้พลังของจอมมารในตัวเบลลามีก็ค่อยๆโผล่มาให้เห็นบางแล้ว ผมอาจได้ข้อมูลใหม่ก็ได้
หวังว่าอย่างนั้น
“คงเป็น .. ‘อานิม่า’ เทพแห่งจิตวิญญาณ”
เทพแห่งจิตวิญญาณ เป็นตัวตนที่จืดที่สุดในหมู่เทพทั้งสิบเลยล่ะ
“อานิม่า ชวนให้รู้สึกคิดถึงแปลกๆ”
“แบบนี้น่ะเอง”
“แล้วเรเซอร์ล่ะ?”
เทพที่ชอบที่สุดสินะ ..ผมกอดอกลองคิดๆดู
“มันก็ต้องเทพแห่งการสูญสิ้น ‘บาคุนาว่า’ สิ แค่ชื่อก็กินขาดแล้ว เด็กผู้ชายอย่างฉันชอบอะไรแบบนี้แหละ”
“เหรอ บาคุนาว่า จะจำไว้นะ”
เบลลามีเก็บหนังสือเข้าชั้น
“นี่ร้านหนังสือนะ”
“อันนี้โซนสำหรับนั่งอ่านหนังสือฟรีนะ”
จะว่าไปก็ …คุณยายเขาใจป๋าจริงนะ
เบลลามีลงมานั่งที่เดิมและใช้มือตบพื้นข้างๆเบาๆ เป็นอันเชื้อเชิญผมให้ทำอะไรบางอย่าง
“นั่งสิ”
เอ๊ะ?
เบลลามีเอียงคอฉงน ทำหน้างงๆและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“มีเรื่องอยากคุยไม่ใช่เหรอ?”
ช่วงนี้เบลลามีเริ่มจับความรู้สึกคนอื่นได้แล้ว ไม่รู้น่ายินดีรึเปล่า แต่เบลลามีที่จับความรู้สึกคนอื่นได้นี่—–นางฟ้าดีๆน่ะแหละ แต่เดิมก็ไม่ต่างกับนางฟ้าอยู่แล้วก็เถอะ แค่เป็นนางฟ้าที่ปากเสียเฉยๆ แต่ตอนนี้พัฒนาเป็นนางฟ้าที่นานๆทีจะปากเสียแล้ว
“ก็นิดหน่อย”
ผมนั่งตามที่เบลลามีว่า และเล่าเรื่องวันนี้ทั้งหมดให้ฟัง
เบลลามีรับฟังทั้งหมด และเมื่อฟังจบก็ ..
“ไม่แปลกหรอก เรเซอร์ออกจะมีสเน่ห์”
เบลลามีมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้เขินแต่อย่างไร คงเพราะเธอชมผมจากใจจริง
“เป็นปกติอยู่แล้วที่คนที่มีสเน่ห์จะถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนมากมาย การที่จะมีคนชอบเรเซอร์สักคนหรือสิบคนไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ก็เรเซอร์น่ะทั้งหล่อ ฉลาด เก่ง และใจดี”
โดนชมตรงๆอย่างนี้มันก็เขินหน่อยๆแฮะ
“เรเซอร์จะตอบตกลงหรือปฏิเสธมันก็แล้วแต่เรเซอร์ เรารู้สึกเสียใจแทนโซเฟียก็จริง แต่อย่างน้อยเรเซอร์ก็ไม่หนีเหมือนที่ทำมาตลอด ..แต่ถ้าชอบโซเฟียจริงๆ จะแต่งงานกับเธอก็ไม่เป็นไรนี่ เรเซลกับอันนาทั้งสองไม่น่าว่าหรอกนะ”
ตามความสมัครใจของทั้งสอง ไม่มีใครขัดข้องถ้าผมจะมีภรรยาเพิ่ม เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะด้วยความต่างทางฐานะมากสุดพวกเธอก็เป็นได้แค่เมียน้อยตามสถานะ ตามเช็ตติ้งยุคนี้ การเป็นเมียน้อยไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรมากถ้าตกลงกับภรรยาหลวงแล้ว เรื่องความพึงพอใจของพวกเธอผมก็ไม่ทราบ แต่รับปากได้ว่าผมไม่มีทางปฎิบัติกับเธอเหมือนของใช้แน่ๆ สาบานเลย
“มีภรรยาเยอะไปก็ใช่ว่าจะดีนะ”
ถ้ามีเยอะไป ผมก็จะดูแลได้ไม่ทั่วถึง แบบนั้นคนที่รักผมก็น่าสงสารแย่สิ พวกเธอจะไม่ได้รับความรักที่ควรได้ทุกวันเลยนะ
ลองนึกมุมกลับ ถ้าผมที่เป็นชาวบ้านไปหลงรักดยุคสาว และเธอก็รักผมเหมือนกัน แต่เธอจำเป็นต้องมีสามีในนาม แต่เจ้าหล่อนดันมีแค่สามีในนามไม่พอ ยังเก็บสามีเพิ่มไปทั่ว ถ้ามีเจ็ดหรือต่ำกว่านั้นยังพอไหว แต่เกินเจ็ดไปเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้จะจัดเวลายังไงอีก
บางทีผมที่รักเธออาจได้แค่มองเธอรักกับคนอื่นเป็นสิบกว่าวัน กว่าจะถึงคิวผม
ว่าตามตรง ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมได้นั่งร้องไห้ทุกๆวันและสักวัน คงหมดควรมอดทนจนต้องหนีออกจากรั้วฮาเร็มแห่งนั้นแน่ๆ
ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย ผมกลัวว่าพวกเธอที่เป็นภรรยาผมจะต้องอยู่ในสถานการณ์อย่างที่ผมคิดไว้ในใจผมตอนนี้จึงตั้งไว้ ว่าต่อให้วิกฤตหรือไม่มีทางเลือกจริงๆก็อย่าให้เกินเจ็ดคน
“เหรอ ถ้านั้นเราก็หมดสิทธิ์สินะ”
เอ่อ…ที่พูดนี่มัน
ผมหันไปมองเบลลามีแบบหุ่นยนต์ และพบว่าเบลลามียิ้มแบบมีเลศนัยใส่
“ล้อเล่น”
หล่อนล้อเล่นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ถ้าเป็นเรเซอร์มีหลายคนก็ไม่เป็นไรหรอก”
“นั่นสินะ ..แต่ถ้าเลือกคบกับโซล่าคนนั้น ฉันน่าจะห้ามมีคนอื่นอีกแล้วล่ะ เพราะเธออยู่จักรวรรดิราชามังกรซึ่งเคร่งเรื่องผัวเมียเดียวมากๆ”
“หมายความว่า ถ้าเรเซอร์ตกลงหมั้นตอนนี้ เรเซอร์จะไม่สามารถมีภรรยาอื่นเพิ่มได้อีกแล้วเหรอ?”
“อืม ก็ตามนั้นเลย”
“เหรอ ..เรเซอร์”
“หืม?”
ผมหันไปมองเบลลามี และพบว่าเธอโน้มตัวมาทางผม ตาของพวกเราประสานกัน เธอซ้อนตามองผม
และไม่รู้สึกตัวเลย ว่ามือของพวกเรากำลังผสานกัน
“ไม่คบกับเธอไม่ได้เหรอ?”
…
เบลลามีพูดต่อ
“ทั้งสองคน(เรเซลกับอันนา) บอกว่าอยากให้เราเป็นภรรยาเรเซอร์ด้วยคนถ้าต้องการ ..เราเลยขอเวลาอีกสองปีกว่าๆก่อนจะจบการศึกษา อยากทำความรู้จักกับเรเซอร์ก่อน เพราะนั้นเลยขอเวลา ..แต่ถ้าเรเซอร์คบกับโซล่า ..ถ้าตอนนั้นเรายืนยันได้แล้ว ว่าเราพร้อมแต่งงานกับเรเซอร์ ถึงตอนนั้น–ก็สายไปแล้วสิ เราไม่มีที่ยืนแล้วสิ”
หมายความว่าเรเซลและอันนาไม่ติดปัญหา ที่ติดปัญหามีแค่ผมกับเบลลามี มีแค่เราสองคน …
“ถ้าฉันตอบตกลงน่ะนะ”
“อือ ถ้าตกลงนะ”
ง่ายๆเลยนี่นา
ในใจตอนนี้ผมมีคำตอบง่ายๆอยู่ ง่ายแสนง่าย ง่ายจนไม่ต้องคิดนั่งเครียดตอนโซเฟียหรือโซล่ามาสารภาพรัก
“ขอสองปีสินะ”
“อือ ..เราเห็นแก่ตัวไปมั้ยนะ?”
“ฉันที่คิดจะมีภรรยาเพิ่มก็เห็นแก่ตัวไม่แพ้กันหรอก”
ผมยิ้มให้เบลลามี และเหมือนจะทำให้เบลลามีแก้มแดงขึ้นมา เป็นครั้งแรกในวันนี้ที่เบลลามีเริ่มหน้าแดง
“ที่พูด ..คิดว่ามีภรรยาเพิ่มนี่?”
“ฉันจะปฎิเสธโซล่า และรอเธอ”
ผมพูดไปตรงๆ เบลลามีได้ยินก็ผละตัวออกจากผมลงไปนั่งพับเพียบมองเพดาน
“เราไม่ได้ดีขนาดที่เรเซอร์ต้องรอหรอกนะ”
“ให้รอเป็นสิบปียังได้”
เบลลามีจ้องตาผมและ–หลบตาอีกรอบ
“..จริงๆให้เราแต่งก่อนจะแต่งกับโซล่าก็ได้นี่”
“ไม่ใช่ว่าเบลลามีขอเวลาเหรอ ถ้าแต่งงานโดยที่ไม่ให้เวลาเลย เบลลามีจะรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
“เราคงจะ..ไม่พร้อม”
“เพราะนั้นจะรอ”
ผมยืนยันคำพูดอย่างหนักแน่น เบลลามียังคงหลบตาหนีอยู่
“เราเห็นแก่ตัวจริงๆด้วย ต้องให้เรเซอร์มารอแบบนี้”
“อาจจะเห็นแก่ตัวก็จริง แต่ฉันไม่ถือหรอก—เพราะรอเธอสองปี มันดีกว่าแต่งงานกับโซล่าตอนนี้เป็นล้านเท่าเลยล่ะ แค่สวัดดีเธอ มันฟินกว่าอ่านจดหมายรักเป็นสิบๆหน้าของโซล่าเป็นร้อยล้านเท่าด้วย แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าใครสำคัญกว่า”
ได้ยินเช่นนั้น เบลลามีก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ดีใจจัง”
เบลลามีถูแก้มตัวเองและยิ้ม ดวงตาสีแดงตอนนี้เป็นประกายสวยงาม
ตอนนี้เบลลามีน่ารักโคตรๆ
พวกเราจ้องหน้ากัน ยิ้มให้กัน นั่งห่างกันนิดเดียว แต่ตอนนี้ระยะห่างระหว่างพวกเรามันแทบไม่มีเลย และจากนั้น—คุณยายก็ “กระแอ่ม” ใส่จากข้างหลัง
คุณยายยืนพิงชั้นหนังสือมองพวกผม
“ที่นี่ร้านหนังสือนะจ๊ะ”
ด้วยความเกรงใจ เลยพากันหนีออกจากร้านโดยซื้อหนังสือมาคนล่ะเล่ม
****
ผมกับเบลลามีเดินเล่นตามท้องถนน
ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เพราะเรื่องก่อนหน้านี้มันน่าอายหน่อยๆ ..สักพักเบลลามีก็เป็นคนเริ่มบทสนทนา
“นั่น คุณลุงปาจิงโกะ”
ใคุณลุงปาจิงโกะ? ผมหันไปมองและพบกับลุงแก่หน้าคุ้น
คุณลุงที่ผมกับเบลลามีเคยไปทำหน้าที่ดูแลภรรยาเขาที่เป็นโรค ‘มานาย้อนกลับ’ เป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อน
น่าคิดถึงนิดหน่อย เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น ผมกับเบลลามีก็สนิทกันเรื่อยๆแบบไม่มีอะไรติดขัดเลย
คุณลุงปาจิงโกะเห็นพวกผม
“ว่าไง ไม่เจอกันนาน”
“ไม่เจอกันนานนะครับ”
“ไม่เจอกันนาน”
คุณลุงพยักหน้า
“สีหน้าดูดีขึ้นนี่”
จากนั้นก็คุยกับลุงปาจิงโกะอยู่พักหนึ่ง
และได้ข่าวว่า ภรรยาของลุงปาจิงโกะ เสียชีวิตไปตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ตายตามอายุขัยอย่างที่ควรจะเป็น
“เสียใจด้วยนะครับ ว่าแต่ ..ไม่เห็นบอกกันเลยนะครับ”
“ที่อยู่พวกเธอก็ไม่รู้ ไม่ได้สนิทอะไรกันอยู่แล้วด้วย จะให้บอกอะไรล่ะ”
นั่นสินะ อย่างที่ว่าเลย
รู้แบบนี้น่าจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย นานๆครั้งก็ยังดี
“เสียใจด้วยนะ”
เบลลามีพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ใจจริงไม่มีใครรู้
“เสียใจสินะ พอแก่ตัว เรื่องความตายก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เรื่องที่ต้องตายหรือว่าเห็นคนสำคัญตายน่ะ ไม่วันใดวันหนึ่ง มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะนั้นไม่ได้เสียใจอะไรเลยสักนิด”
“เหรอ”
“อ่า..!”
คุณลุงปาจิงโกะเลิกคุย และเดินผ่านไป แต่เบลลามีก็รั้งไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรแน่นะ?”
คุณลุงหันมามองเบลลามี และแสยะยิ้ม
“ฉันเก่งพอไม่ต้องให้เด็กมาปลอบหรอก”
“เหรอ”
“เออ! พูดเหรอๆอยู่ได้น่ารำคาญ! จะไปเล่นปาจิงโกะข้ามคืนแล้ว อย่ามาขวาง!”
คุณลุงเดินเหวี่ยงแขน ดูฉุนเฉียว เบลลามีมองส่งและหรี่ตาลง
สีหน้าของเธอดูเศร้าขึ้นอยากเห็นได้ชัด
“การที่ต้องตายในสักวัน มันน่ากลัวก็จริง ไม่เคยคิดอยากตายเลย ต่อให้แก่”
“นั่นสินะ”
“การที่ไม่อยากตาย มันก็บ่งบอกว่าฉันยังอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อ ฉันพอใจกับชีวิต ถ้าฉันตายโดยที่พอใจกับชีวิตอยู่ มันก็คงจะมีความสุขไม่น้อย ..เพราะแบบนั้นชีวิตมันจึงมีค่าด้วยน่ะนะ ถ้าอยู่ในจุดที่จะตายหรือไม่ตายก็ได้ มันก็ไม่ต่างกับคนตายไปครึ่งตัวแล้วด้วย ฉันขอเลือกตายอย่างมีความสุข ดีกว่าตายอย่างว่างเปล่ายังจะดีกว่า”
“อือ นั่นสินะ”
****
เดินกันไปสักพัก ผมก็แยกกับเบลลามี และตรงมาที่พักโรงแรมของผม
ข้างหน้าโรงแรมมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งจิบชาอยู่ คนหนึ่งคือยูจิ ส่วนอีกคนก็คือ..อ๊ะ เวรล่ะ
ยูจิเห็นผมพอดีเลยลุกขึ้นมาโบกมือทัก
“ทางนี้ครับ คุณเรเซอร์!”
ยูจิโบกมือให้ ยิ้มให้ด้วย น่ารักสุดๆ–แต่ผมไม่มีอารมณ์มาชมความน่ารักของยูจิเลย เพราะหล่อนที่อยู่ข้างๆคือคนที่ทำให้ผมนั่งเครียดเมื่อสักครู่นี้ ก็ขอบคุณอยู่หรอกที่ทำให้ผมตกลงเรื่องสำคัญกับเบลลามีได้ แต่มันก็เนอะ!
ข้างๆยูจิคือ ‘โซล่า เลนนอน’ หญิงสาวที่ส่งจดหมายรักและคำขอดูตัวให้กับผม
เธอลุกขึ้นมาโบกมือให้พร้อมยูจิ ด้วยรอยยิ้ม