< < 89 > >
หลังจากเคลียร์กับโซเฟียไป เรื่องราวของผมในฐานะอลันแมนจึงจบลงแล้ว เมื่อครู่นี้เลยไปขอถอนตัวจากตลาดที่ทำงานใกล้ๆโซเฟีย ในที่สุดก็ทำเรื่องยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายๆได้แล้ว ผมควรดีใจ แต่พอนึกถึงความรู้สึกของโซเฟียผมก็ดีใจไม่ลง นี่มันไม่ต่างกับหลอกให้รักแล้วหักอกเจ้าตัวเลย
ผมนี่มันร้ายจริงๆ—เวลานี้ผมคิดประชดตัวเองไม่หยุด
ผมก้าวเท้าไปตามถนนด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
ในจังหวะแห่งความทุกข์นั้น คุณเมดภรรยา—หมายถึงอันนาและเรเซลก็วิ่งมาหาผม
พอเห็นทั้งสองใจก็ชื้นขึ้นทันที เสียมารยาทกับโซเฟียไปหน่อย แต่สองคนนี้ทำให้ผมลืมเรื่องโซเฟียได้ง่ายๆเพียงแค่เจอหน้าเลย ณ เวลานี้
ทั้งสองวิ่งมาหาผมด้วยท่าทางเร่งรีบ ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไร แต่ถ้ามีใครทำให้ทั้งสองลำบาก ผมจะเผาบ้านมันให้เฮี้ยนเลยคอยดู
“ท่านเรเซอร์” อันนาหายใจหอบ
“เหตุด่วนคะ” เรเซลพูดแทนอันนา
เหมือนเมดภรรยาของผมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่มีปัญหามันผมต่างหาก
“มีเรื่องอะไรล่ะ”
“นายท่านและคุณนาย ..ท่านพ่อท่านแม่ของท่างเรเซอร์มาเยี่ยมน่ะค่ะ!”
..เอาแล้วไง พ่อแม่ที่ห่างหน้ากันเกือบๆสิบปี จู่ๆก็มาเยี่ยมเนี่ยนะ
จะวางตัวยังไงดีนะ?
****
เหล่าเมดภรรยาพาผมมาที่หน้าคฤหาสน์ขนาดใหญ่
“ตระกูลเรามีคฤหาสน์อยู่ด้วยหรือเนี่ย”
“เห็นว่าพึ่งซื้อเมื่อวานน่ะค่ะ” เรเซลตอบ
พวกคนรวยนี่จริงๆเลย
“มีบ้านสักหลังก็ไม่เสียหายนะคะ”
“นั่นสินะ เอาใหญ่ๆหน่อยก็ดี เพราะจบไปฉันก็ต้องอยู่กับพวกเธอด้วย ..”
ทั้งสองเงียบไปก่อนจะมีปฎิกิริยาตอบสนองมา
เรเซลยิ้มให้ผมอย่างมีความสุขแบบตรงไปตรงมา อันนาหลบหน้าไปแอบเขิน ส่วนผมก็ยิ้มกรุ้มกริ่มกับปฏิกิริยาของทั้งสอง
“อยากได้บ้านแบบไหนก็บอกได้น้า”
“ละ แล้วแต่สิค่ะ!”
อันนาเขินใหญ่เลย
“มีห้องนอนสักสิบห้องก็ดีนะคะ”
“เยอะจังนะ”
“จะได้ซื้อทีเดียวคุ้มๆไงล่ะค่ะ ยังไงก็..อยากให้ลูกมีห้องส่วนตัวกันในอนาคตด้วย”
…โดนเล่นแล้ว
ผมลงไปนั่งยองกับพื้นและกุมหน้าตัวเองที่แดงก่ำไว้ อันนาเองก็เหมือนกัน พวกเราเขินแทบตาย เรเซลยังยืนเฉยอยู่เลย
ทั้งๆที่หล่อนมีหน้าที่อาย แต่กลับไม่เขินอายต่ออะไรมิอะไรเลย ต้องบอกว่าเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยมล่ะมั้ง ผมแอบรู้สึกภูมิใจแทนเจ้าหล่อนเลย
“แล้วอันนาว่าไงล่ะ ช่วงนี้เงียบๆนะ ไม่ปากแจ๋วเหมือนแต่ก่อนเลย”
“ปากแจ๋ว? โปรดอย่าเข้าใจดิฉันอย่างนั้นเลยนะค่ะ ..ให้ตายสิ”
“โทษทีๆ แล้วมีอะไรจะเสนอมั้ยล่ะ?”
“..ห้องนอนเยอะก็ดีนะคะ แต่ห้องอาบน้ำมีแค่ห้องเดียวพอค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป ไม่กล้าพูดต่อแล้ว ซึ่งผมเข้าใจดี
“ได้สิ มีเรื่องอะไรที่ต้องเตรียมไว้อีกมั้ยอ่ะ”
“ค่ะ ฉันว่ามีสนามเด็กเล่นก็ดีนะค่ะ”
เรเซลยกมือพูดรัวๆ ดูจะอินกับการสร้างครอบครัวมาก ทั้งๆที่กว่าจะถึงตอนนั้นก็อีกสักพักเลย
เรเซลมีหน้าที่บุกทะลวง ผมมีหน้าที่สนับสนุน อันนามีหน้าที่เบรค หน้าที่ประมาณนี้ในการสร้างครอบครัว ต้องเป็นครอบครับที่อบอุ่นได้แน่ๆ
ให้ตายสิ อยากจบเรื่องตัวเองเร็วๆแล้วไปใช้ชีวิตสงบสุขแล้วอ่ะ ไม่อยากสู้แล้วอ่ะ
“10 ห้อง อยู่กัน 6 คน มีลูกกันคนล่ะคน อาจจะต้องเพิ่มห้องอีกสัก 2 ห้องนะคะท่านเรเซอร์”
“มีแค่พวกเราสามคนไม่ใช่หรือไงนั่น”
“เอ๋ ไม่ใช่ว่ามีท่านเบลลามีกับลีน่าอีกหรือคะ?”
เบลลามีว่าไปอย่าง ..แต่
“ลีน่ามาไงหว่า”
อนึ่งทุกท่านอาจจำไม่ได้ ลีน่าคือว่าที่ภรรยาของเรเซอร์ ที่ในอนาคตทั้งลูกและตัวเธอจะตกเป็นภรรยาของยูจิต่อหลังเรเซอร์ตาย ผมเคยเจอเธอแค่ครั้งเดียว สมัยที่เข้าสิงร่างเรเซอร์ใหม่ๆและไปเมืองชันไมโดยหวังจะชิงพลังยูนามาเป็นของตัวเอง
ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ผมไม่อาจทราบได้ว่าทำไมมีชื่อของลีน่าโผล่มาได้ ในโลกนี้ไม่ได้มีปฎิสัมพันธ์กันเกินเลยแต่อย่างไร
“จะว่าไปก็.. ลีน่าเกี่ยวอะไรกันนะ”
เรเซลพึมพำแบบงงๆ ที่หล่อนพูดทำให้ผมงงไปด้วยคน
“อธิบายยากเหมือกัน เอาเป็นว่าฉันไม่เคยพูดนะคะท่านเรเซอร์”
“ตามนั้นเลย”
“แล้วเบลลามีเขาล่ะคะ” อันนาทักขึ้น
“ก่อนอื่นต้องถามความสมัครใจก่อนสิ ก็คุยกันแล้…:”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พอหันไปมองก็พบกับแองเจลิน่ายืนอยู่ข้างๆ หล่อนทำหน้าตาน่ากลัวสุดๆใส่พวกผม
จิตสังหารระดับเดียวกับปีศาจเจ็ดมหาบาปโชยมาจากตัวแองเจลิน่าเลย
“คุยเรื่องอนาคตเร็วเกินไปรึเปล่าจ๊ะวัยรุ่น” แองเจลิน่าพูดต่อ “ก่อนอื่นช่วยๆรีบมาทำธุระตอนนี้ก่อนเถอะนะ”
“นะ นั่นสินะครับ”
เรเซลและอันนาโค้งศรีษะให้ พวกเธอยืนรออยู่หน้าคฤหาสน์ ตอนแรกอยากจะให้มาด้วย แต่ถ้ารู้กาลเทศะก็อย่าพึ่งดีกว่า
“คุยกันไม่เกรงใจคนโสดเลยนะจ๊ะ—น้องรัก พี่เห็นล่ะปวดใจเหลือเกิน ตอนอายุเท่ากันทำไมพี่ไม่มีใครเลยนะ”
“ทำใจครับพี่ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของพี่หรอก ..ไม่เข้าใจคนโสดหรอกครับ”
“….”
ตั้งใจกวนตีนเล่นๆ แต่บรรยากาศที่แองเจลิน่าทำให้เกิดขึ้นมันชวนให้คิดว่าผมหาเรื่องชะมัด
ไม่อยากโดนพี่สาวคนนี้เกลียดเลยครับ ..สุดท้ายผมกับแองเจลิน่าก็ไม่ได้คุยกัน และเธอก็เดินพาผมมาที่ห้องๆหนึ่ง
“ขออนุญาติคะ”
เธอพูดและเปิดเข้าไป พอเดาได้ว่าใครอยู่ในห้อง
พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบเข้ากับพ่อและแม่แท้ๆของผม
คนแรกเป็นชายร่างสูง สูงเกิน 180 ซ.ม.แน่ๆ ซึ่งสูงกว่าผม ไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่ก็มีกล้ามเนื้ออยู่พอตัว สวมเครื่องแบบประจำตัวของขุนนาง จุดเด่นของชายคนนี้คือดวงตาสีแดงที่ดุดันอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลดราแคล์
เป็นชายที่ให้ความรู้สึกเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ภาวะความเป็นผู้นำของเขาเยอะกว่าผมแน่ๆ ผมมั่นใจได้—ชื่อของเขาคือ ‘เอล็กซ์ ดราแคล์’ พ่อแท้ๆของผม
“นั่งลงสิ”
เอล็กซ์ผายมือไปทางโซฟาให้พวกเราสองพี่น้อง
แองเจลิน่าทำสีหน้าเรียบเฉยและลงไปนั่ง ผมก็ด้วย แต่เหมือนว่าแองเจลิน่าจะวางท่าไม่ถูกกับเอล็กซ์พอตัว เป็นเพราะเธอไม่ถูกกับพ่อสักเท่าไหร่ แหงอยู่แล้ว
จะว่าไปรอบตัวผมพวกมีปัญหาทางครอบครัวนี่เยอะจังนะ หนิงก็ดี เคียวยะก็ดี เรย์นี่ไม่รู้ ยูจิก็ไม่รู้เพราะความจำเสื่อมไปแล้ว ที่แน่ๆคนในครอบครัวตรงๆน่าจะตายกันหมดล่ะ ทางผมก็มีเหมือนกัน แต่คนที่มีปัญหาซะส่วนมากจะเป็นแองเจลิน่ากับเอล็กซ์
ต่อจากเอล็กซ์คือแม่ของผม ‘เจมิลี่ ดราแคล์’
หน้าเธอไม่ได้ดุโดยธรรมชาติ เพราะเธอแต่งเข้าจากตระกูลอื่น เธอเป็นสาวสวย หุ่นคล้ายๆแองเจลิน่าแต่หน้าอกโตกว่ามาก มีเลือนผมสีน้ำตาลน้ำผึ้ง ดวงตาไม่ทราบสีเพราะเจ้าหล่อนเหมือนจะหลับตาทุกเวลา สวมชุดขุนนางทั่วๆไปเช่นเดียวกับเอล็กซ์
ว่าตามตรงเธอดูใจดี แต่ในฐานะลูกผมกล้าบอกเลยว่าไม่ใช่ ก็ไม่ถึงกับดุหรอกแต่เดาใจเจ้าตัวไม่ค่อยออกเท่าไหร่
เป็นคนไม่ค่อยแสดงสีหน้า เหมือนเบลลามีล่ะมั้ง
เอล็กซ์บอกให้นั่ง แต่เธอไม่ได้พูดอะไรเลย
แองเจลิน่าเองก็ไม่ชอบแม่เหมือนกัน แต่เพราะไม่ได้ถูกเลยไม่คิดพูดแขวะอะไร
“สวัดดีทั้งสอง ไม่เจอกันนานนะ”
ไม่มีคำสุภาพ ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยอินบทบาทลูกเท่าไหร่ เพราะครอบครัวดยุคเราไม่ได้แสดงความรักกันซึ่งๆหน้าอย่างที่แองเจลิน่าทำกับผม
ส่วนตัว พวกเขาไม่ต่างกับคนรู้จักทั่วๆไปหรอก แค่เป็นคนให้กำเนิดเฉยๆ แต่ไม่มีปัญหาอะไรกันนะ แค่ไม่ได้สนิทเฉยๆ
“โตขึ้นเยอะนะเรเซอร์” เอล็กซ์ทัก
“ก็นะ ต้องขอบคุณพ่อแหละที่ให้ฉันออกเดินทาง”
“ถึงจะให้ออกเดินทาง เพราะเรเซอร์จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ได้ก็เถอะ แต่ก็เป็นผลดีกับเรเซอร์ของฉันล่ะนะ”
เอาอีกแล้ว แองเจลิน่าเริ่มหาเรื่องเอล็กซ์แล้ว แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่าเลย ไม่มีพ่อคนที่ไหนสติดี ให้ลูกเดินทางข้ามทวีปเองตั้งแต่อายุ 14 หรอก ขนาดผู้ใหญ่เกาะกลุ่มกันไปยังมีตายให้เห็นเป็นเรื่องปกติเลย ที่ทำไม่ต่างกับการบอกให้เดินไปตายเลย ถึงรอดมาได้ก็ช่างมัน ไม่ได้ไม่เสียอะไร
แองเจลิน่าเป็นหนึ่งในคนที่คัดค้านการเดินทางผมช่วงแรกน่ะนะ กว่าจะยอมรับว่าผมเอาตัวรอดได้ก็ตั้งปีกว่าๆเลยล่ะ
เอล็กซ์ถอนหายใจ
“พ่อไม่ได้มาเพื่อทะเลาะนะแองเจลิน่า”
“แล้วมาทำไม?”
แองเจลิน่าพูดเสียงแข็ง ทางเอล็กซ์กับเจมิลี่ก็ชินกับท่่าทางของแองเจลิน่าเป็นปกติแล้ว
บอกตามตรงโคตรมาคุ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
แองเจลิน่ามองทั้งสองเป็นศัตรู ผมมองทั้งสองเป็นคนรู้จัก แค่เช็ตติ้งราวๆนี้ก็ดูมาคุจะแย่แล้วแท้ๆ
“ไม่ใช่แค่อาณาจักรฟัฟนิร์ แต่ตัวประสาทเทล่าเทลก็ได้รับความเสียหายหนัก เป็นปกติที่ตระกูลดยุคต้องมาเยี่ยมองค์ราชาอยู่แล้ว”
“..เดี่ยวนะ ประสาทเทล่าเทลเนี่ยนะ? ได้รับความเสียหายหนัก? เป็นไปไม่ได้ ประสาทสุดจะอลังการนั่นเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่แค่ได้รับความเสียหาย ยังหนัก ถึงขั้นลงมาเทียบพื้นเลยล่ะ”
“ประสาทเทล่าเทล ..ล่วงลงพื้น”
แองเจลิน่าน่าซีด ผมรู้เรื่องอยู่แล้ว ข่าวของประสาทเทล่าเทลที่จะออกสู่สายตาประชาชน จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข่าวอะไร เห็นว่าจะช่วยบิดเบือนได้ผมก็คงไม่โดนดุหรอกมั้ง คงวางใจได้เปราะหนึ่ง
เอล็กซ์พยักหน้าเป็นอันยืนยัน
“พ่อก็พึ่งได้ข่าวถึงได้รีบมา ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้ข่าวคราวสินะ”
“ช่วยชี้แจงรายละเอียดด้วยค่ะ”
จากนั้นเอล็กซ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีเวลามานั่งแขวะกันไปมาแล้ว ในฐานะว่าที่ผู้นำตระกูลดยุค มันคือหน้าที่ของแองเจลิน่า
แน่นอนเรื่องที่เล่าทั้งหมดได้รับการบิดเบือนซะยับเลย
อย่างแรก ประสาทเทล่าเทลไม่ได้ถูกบุกโดยเอเธอร์ตามที่ผมคิดว่าอัลเบโด้จะบิดเบือนให้เป็นเขา แต่มันถูกบุกโดย ‘คาลอส’ ราชาอัศวินที่ช่วยปกป้องตัวประสาทยังวินาทีสุดท้ายคนนั้นนั่นแหละ กระทั่งช่วงสุดท้าย เขาคนนั้นก็ยังต้องเป็นแผะรับบาปให้พวกผมอีก
ต่อมา หลังบุกประสาท เอเธอร์ก็เป็นคนมาช่วยประสาทไว้ได้ และการต่อสู้ของทั้งสองทำให้ประสาทเทล่าเทลได้รับความเสียหายไป ซึ่งเป้าหมายของคาลอสคือ
เป็นคนที่น่าสงสารชะมัด ทำเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์ไปตั้งมาก ดูที่ได้ตอบแทนแต่ล่ะอย่างสิ อยากจะร้องจริงๆ ถึงคนก่อเรื่องจะเป็นพวกผมก็เหอะ
ส่วนเป้าหมายของอัลเบโด้โดนบิดเบือนไปเป็น ‘ต้องการขโมยพลังมหามังกรแห่งฟัฟนิร์’
ปัจจุบันนี้ในข่าวบอกว่าคาลอสได้หลบหนีไปแล้ว และทางอาณาจักรก็ปกป้องพลังมหามังกรไว้ได้พอดี โดยที่ได้รับการช่วยเหลือโดยเอเธอร์
ไม่มีเรื่องของพวกผมอยู่เลยสักนิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ
ในขณะที่ผมโล่งอก บ้านดราแคล์ทุกคนก็นั่งตึงเครียดกัน
“คาลอสทรยศ ..ราชาอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นจะทรยศอาณาจักรฟัฟนิร์ คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”
แม่นแล้ว คนที่สุดจะเท่ขนาดนั้นไม่มีทางเป็นคนทรยศได้หรอก ผมในฐานะศัตรูกล้ายืนยันเลย วินาทีที่คาลอสสู้กับเอเธอร์มันยังตราตรึงใจผมอยู่จนถึงตอนนี้ อาจไม่ใช่การสู้ที่สูสีอะไร แต่มันเต็มไปด้วยพลังใจของคาลอสที่ไม่ยอมแพ้เอเธอร์
ยอมทำขนาดนี้ก็เพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์ คนที่รู้จักคาลอสจริงๆไม่มีทางเชื่อกันหรอก
“ฉันถึงได้รีบมาเข้าพบองค์ราชา แต่เห็นว่าอาณาจักรฟัฟนิร์โดนบุกถล่มด้วย จำไม่ผิดเรเซอร์และเธอก็มาที่งานในช่วงนี้พอดี เลยแวะหาหน่อย”
“แวะหาสินะ ทำหน้าที่คุณพ่อได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”
แองเจลิน่าเหมือนตั้งใจพูดประชด
“หมายความว่ายังไง”
“แค่มาหาเพราะผ่านทางเองนี่ค่ะนั่นน่ะ”
เอล็กซ์เงียบไปไม่ได้พูดตอบโต้อะไร
“ผิดด้วยเหรอ?”
“แบบนั้นไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ”
“ยังไงพวกเธอก็เป็นคนตระกูลดราแคล์ จำเป็นต้องยืนยันสถานะความเป็นอยู่”
“แค่หน้าที่สินะค่ะที่ทำ”
เอล็กซ์พยักหน้าให้
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด”
“ไปกันเถอะเรเซอร์”
แองเจลิน่าลุกขึ้น
“ในเมื่อไม่มีธุระสำคัญอะไรแล้ว ก็ขอไปดีกว่าคะ”
“..เหรอ”
เอล็กซ์ยังเรียบเฉย เจมิลี่ก็ด้วย
ไม่มีใครตั้งใจรั้งหรือแก้ตัวอะไร
“เข้าใจแล้ว ยังไงลูกก็รักษาตัวด้วย”
“ค่ะ แล้วไม่อวยพรให้เรเซอร์ด้วยล่ะ”
เอล็กซ์หันมามองหน้าผม
“เรเซอร์ก็ด้วย”
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรสุดจริงใจล่ะกันค่ะ คุณเอล็กซ์”
แองเจลิน่าเดือดสุดๆ เมื่อตะกี้ดูยังไงก็ควรมีแค่เธอที่เดินหนีไปแท้ๆ ไม่ได้สรุปว่าเอล็กซ์ลืมอวยพรให้ผมซะหน่อย ทำไมรีบจังนะ
“แล้วก็แม่ เลิกเป็นไบ้ได้แล้วคะ”
เจมิลี่ได้ยินก็ถอนหายใจ แองเจลิน่าชักสีหน้าใส่
“จำไม่เห็นได้เลยนะ ว่าบ้านเราเลี้ยงให้ลูกเป็นพวกหัวรุนแรงน่ะ แองเจลิน่า”
เจมิลี่เริ่มเปิดปากพูด และเป็นการบ่นแองเจลิน่าด้วย
“ไม่เคยเลี้ยงฉันและเรเซอร์แท้ๆยังทำเป็นพูด”
“มีแค่เรื่องสมัยอดีตจะพูดเหรอค่ะ แองเจลิน่า”
แม่เองก็ใช่ย่อยต่อปากต่อคำกับแองเจลิน่ากลับด้วย แองเจลิน่าเห็นก็ทำหน้าเหมือนหมดศรัทธาและจะเดินหนีไป
ขณะที่เธอกำลังจะเดิน ผมก็—คว้ามือเธอไว้ก่อน
“เดี่ยวสิ”
“ฟ
เธอพยายามจะสะบัดออกแต่ก็สู้แรงไม่ได้
“น่าๆพี่แองเจลิน่า อย่ารีบไปเลย นานๆทีจะได้เจอกัน”
“คุยกันคนพวกนี้ไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”
“คิดนั้นเหรอ พวกเขาก็แค่พ่อแม่งี่เง่าเองนี่พี่ ให้โอกาสคนงี่เง่าหน่อยก็ดี”
แองเจลิน่าได้ยินผมพูดก็หลุดหัวเราะ
“เห็นด้วยเลยล่ะ”
“ใช่ม้า ไอ้พวกนี้มันคุยกับลูกไม่เป็นหรอก คนพวกนี้น่าสงสารจะตายไปเนอะพี่”
“น่าสมเพซด้วย”
“น่าเวทนานัก”
ผมกอดอกพล่ามบ่นอัดหน้าพ่อแม่ทั้งสองตรงๆ แองเจลิน่าก็ด่าพร้อมกับผมด้วยแรงใจเต็มร้อย สปิริตการด่าจัดเต็มมาก
“เห็นแก่พ่อแม่ที่คุยกับลูกไม่เป็นไม่พอยังน่าสมเพซ น่าเวทนาแล้ว จะยอมนั่งคุยด้วยอีกหน่อยก็ได้” ผมหันไปยิ้มให้แองเจลิน่า “พี่เองก็มานั่งด้วยสิ”
“..เห็นแก่เรเซอร์หรอกนะ”
พูดจบแองเจลิน่าก็ลงมานั่งที่เดิม และไม่คิดจะพูดอะไรต่อตามสมควร
อย่างที่บอกไปแองเจลิน่าเกลียดครอบครัวตัวเอง ถึงพวกเขาจะไม่ได้ทำร้ายร่างกายอะไรพวกเรา แต่พวกเขาก็แทบไม่โผล่หน้ามาหา ไม่คิดจะคุยกับพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว ปล่อยเราไว้ในบ้านและคนรับใช้ภายในคฤหาสน์ พวกเขาทำแค่นั้น
ยิ่งผม ถ้าเกิดเป็นเนื้อเรื่องต้นฉบับ ผมจะโดนที่บ้านตัดหางปล่อยวัดของจริงเลยล่ะ เพราะแองเจลิน่าตายไม่มีคนคุมกะลาหัวผม ไอ้ผมก็ดันเกรียนแตก ทำตัวเป็นเด็กเปรตไม่หยุดไม่หย่อน เป็นปกติแหละ แม้ว่าช่วงก่อนจะคลั่งหนัก ผมก็อยู่ในสถานะกึ่งๆโดนตัดหางปล่อยวัดแล้วก็เหอะ
อย่างไรซะ เกี่ยวกับแองเจลิน่า ผมไม่รู้ว่าเธอเริ่มจงเกลียดจงชังครอบครัวตัวเองตั้งแต่ตอนไหน
บางทีอาจเป็นเพราะมีเรื่องในอดีตกับแม่ ไม่สิ ไม่มีทาง ทั้งสองแทบไม่ได้ยุ่งกับพวกเราเลย แล้วทำไมกันนะ ..อาจจะเป็นที่บรรยากาศละมั้ง
เพราะพ่อและแม่มอบความรักให้พวกผมไม่ได้ ผมและแองเจลิน่าเลยมอบความรักให้กันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน มอบสิ่งที่ขาดให้กันและกัน ผมเชื่อว่าพวกเราเป็นพี่สาวและน้องชายที่ยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง
บางที แองเจลิน่าอาจจะแค่ไม่สบอารมณ์ก็ได้ ทำไมพวกเราถึงไม่ได้สิ่งที่เราควรได้ ..อาจคิดอย่างนั้น ไม่สิ เธออาจคิดแค่ว่า—ทำไมผมถึงไม่ได้รับการดูแลที่ควรได้ก็ได้
แองเจลิน่าคือบราค่อน ของแท้เลยล่ะ เพราะเธอต้องใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวมาตลอดสิบปี พอผมได้ลืมตาตื่นและอาศัยอยู่กับเธอในวัยเด็ก เธอก็เหมือนได้สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมคือสิ่งสำคัญที่สุดของแองเจลิน่า เป็นทุกอย่างของเธอ เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว และยอมถึงขนาดขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแทนผม ถึงที่ทำมันจะโอ๋เด็กไปหน่อย แต่เธอก็ทำเพื่อผมทั้งนั้น
ให้เดา แองเจลิน่าเกลียดครอบครัวนี้ ที่มอบความรักให้ผมไม่ได้แน่ๆ
เธอเกลียดพ่อกับแม่เพราะผม สำหรับผมเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจหน่อยๆน่ะนะ
“จะว่าไปพ่อและแม่ชื่ออะไรกันเหรอ?”
รู้อยู่แล้วล่ะ แต่ตามปกติผมแกล้งเนียนเป็นไม่รู้ได้อ่ะนะ
ทั้งเอล็กซ์และเจมิลี่หันไปมองหน้ากัน
“..พ่อ เอล็กซ์ ดราแคล์ ..อืม”
“แม่ เจมิลี่ ดราแคล์ ..”
พูดไม่เก่งกันทั้งคู่
“ฉัน เรเซอร์ ดราแคล์”
ผมแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ อาจดูแปลกไปหน่อยเวลาคุยกับคนในครอบครัว แต่ก็ช่างมันประไร ดีกว่าแองเจลิน่าที่พร้อมบวกอยู่แล้ว
“ยังไงก็ผ่านทางอยู่แล้ว เลยแวะมาเยี่ยมกันสินะ ถ้านั้นจะรายงานสถานการณ์ให้ล่ะกัน อย่างที่เห็นฉันสบายดี แต่วิทยาลัยเวทมนตร์มีแนวโน้มปิดไปเป็นเดือนเลยล่ะ ปัจจุบันก็อาศัยอยู่โรงแรมตามคำแนะนำของพี่แองเจลิน่า แต่ค่าเช่ามันแพงอ่ะนะ ได้ข่าวว่าซื้อคฤหาสน์แล้วด้วยสิ ขออยู่หน่อยได้รึเปล่า ถ้าให้ทุกเช้าจะทำไข่ดาวยามเช้าฝีมือลูกชายให้กินทุกวันเลย”
“ไข่ดาบฝีมือลูกชาย ..”
เจมิลี่พึมพำขึ้นมา
“น่าเสียดาย แต่มาได้พักเดียว พวกเราก็มีงานเจรจาที่ทวีปเนลยอนต่อ”
“แม่ก็ด้วยเหรอ”
“ใช่”
ยุ่งยากชะมัด
“ถ้านั้นขอยึดประสาทนะ ไอ้ฉันก็พึ่งขอหมั้นกับเพื่อนสมัยเด็กไปสองคนน่ะนะ”
“แบบนี้นี่เอง ทำไมแองเจลิน่าไม่มือเร็วเหมือนลูกบ้างกันนะ” เจมิลี่พูดอย่างเหนื่อยใจ
แองเจลิน่าไม่พูด ส่งจิตคุกคามใส่เอาท่าเดียว เจมิลี่เห็นก็ถอนหายใจใส่ ผมหยักไหล่ให้
น่าเสียดาย หลังจบเหตุการณ์ได้พักเดียว เรเซลและอันนาก็ต้องตามไปทำงานกับแองเจลิน่าต่ออีก
“ช่วยไม่ได้หรอก พี่แองเจลิน่าเลยช่วงวัยรุ่นไปแล้ว”
“เดี่ยวสิเรเซอร์ ใครให้มาตัดสินความเป็นไปพี่เอาง่ายๆแบบนี้”
ทั้งผมและแองเจลิน่าต่างรู้ๆกันว่าแค่คุยเล่น การสนทนาของพวกเราจึงมีแต่ความขบขัน ต่างกับพวกเขาสองคนที่มองมา
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ที่โรงเรียนผมมีผู้ชายดีๆเยอะด้วย”
“พี่ชอบคนอายุเยอะกว่าจ๊ะ”
“เรื่องมากไปล่ะ ผู้ชายดีๆที่อายุเยอะแล้วยังโสดอยู่มันหาง่ายๆกันที่ไหน”
“จะบอกว่าพี่ขึ้นคานแน่ๆสินะถ้ายังเอาแต่เลือกน่ะ!?”
“แหงสิพี่! ตั้งขนาดนี้แล้ว ไม่ขึ้นคานผมให้เหยียบหน้าเลย!”
“ไม่ต้องพนันอะไรแล้วล่ะ พี่ขอเหยียบซะตอนนี้เลย!”
แองเจลิน่าจะเหยียบหน้าผมทั้งๆที่ยิ้มอยู่ ผมก็พยายามปัดป้องแบบสุดความสามารถ
“เดี่ยวๆใจเย็นพี่ ใจเย็น ..ท่าน-พี่-อย่า-นะ”
เพราะเจอประโยคเด็ดอย่างคำว่า ‘ท่านพี่’ เข้าไป แองเจลิน่าเลยนิ่งทันทีทันใด และเขินกับตัวเอง
“เรียกพี่แบบนั้นอีกเยอะๆก็ได้นะ”
ความบราค่อนถูกปลุกขึ้นแล้ว
“ครับท่านพี่”
แองเจลิน่าหายโกรธทันใด เธอเอามือน้วยแก้มผมเล่นอย่างมีความสุข
เอล็กซ์และเจมิลี่มองด้วยแววตาที่ซับซ้อน
“สนิทกันจังนะ”
“แหงอยู่แล้ว ฉันกับพี่แองเจลิน่าสนิทกันมากๆเลยล่ะ ตั้งแต่เด็ก”
“เพราะใครที่ไหนไม่รู้ทิ้งลูกตัวเองไว้ พวกเราเลยสนิทกันได้ตั้งขนาดนี้ล่ะค่ะ ต้องขอบคุณคนพวกนั้นด้วย”
ผมและแองเจลิน่าทำเป็นเย้ยพ่อแม่ตัวเอง ทั้งสองได้ยินก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกัน ดูจะโล่งอกด้วยซ้ำ
“..สนิทกันก็ดีแล้วล่ะ”
เอล็กซ์พูดด้วยรอยยิ้มหาดูได้ยากมากๆ ไม่ใช่แค่เอล็กซ์เจมิลี่เองก็ยิ้ม
…ว่าแล้วเชียว
ผิดพลาดไปบ้าง แต่ทั้งสองคนไม่ได้เกลียดพวกเราหรอก เป็นแค่พ่อและแม่ที่เลี้ยงลูกไม่เป็นเท่านั้น
“..จะว่าไป”
แองเจลิน่าโพล่งขึ้น
“ทั้งสองคน ..เป็นยังไงบ้างล่ะ”
แองเจลิน่ายอมลดทิฐิเพื่อคุยกับพ่อและแม่ตัวเอง ระหว่างการสนทนาต่อจากนี้ผมก็ช่วยแทรกบางจุดเพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะกัน
พวกเราคุยกันหลายเรื่องบ้าง
อย่างเรื่องของชินที่ผมอยากได้มาเป็นอัศวิน หรือเรื่องความหลังดีๆระหว่างผมกับแองเจลิน่า เรื่องที่แองเจลิน่าจะโดนลอบสังหาร เรื่องรั้วโรงเรียนของผม เรื่องงานอดิเรกตอนนี้ เรื่องงานของแองเจลิน่าและพวกพ่อ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็พอคุยกันได้ แต่เรื่องที่คุยกันเยอะสุดก็เป็นเรื่องว่าที่ภรรยาของผมกับแองเจลิน่าที่โสดสนิทน่ะแหละ
รู้ตัวอีกที เราก็คุยกันยาวไม่รู้กี่ชั่วโมงแล้ว รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็จะตกดิน
ผมและแองเจลิน่าเห็นเวลาก็ลุกขึ้นขอตัวลา
“รีบไปรึเปล่า”
“ไม่ได้ว่างตลอดหรอกนะค่ะ”
แองเจลิน่างานยุ่งจะตาย ส่วนผมล่ะ?
“ว่างมากๆครับ แต่ขี้เกียจคุยล่ะ”
เอล็กซ์พยักหน้ารับแบบไม่คิดว่าอะไร
“เช่นนั้นถ้ามีอะไรก็ติดต่อผ่านเซบาสเตียนมาได้ ..เดี่ยวก่อนเรเซอร์ พ่อมีเรื่องต้องคุยด้วยก่อน”
“อะไรก็ได้ แต่อย่าไล่ฉันออกจากวิทยาลัยเวทมนตร์เลยนะ”
ผมพนมมือ เอล็กซ์ส่ายหัว
“จริงๆแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนส่งจดหมายมา ..ตระกูลพ่อค้าชื่อดัง ขอดูตัวกับลูกน่ะ”
เอล็กซ์ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
“จะตอบรับหรือไม่ก็แล้วแต่ลูกเลย ยังไงเรื่องทายาททางเราก็หายห่วงได้แล้ว ..แองเจลิน่าทำเอาพ่อหวาดเสียวเลย” เอล็กซ์พูดเสียวแผ่ว
“เด็กคนนี้ไม่สนใจผู้ชายเลยล่ะมั้งค่ะ” เจมิลี่เสริม
“ค่า ค่า เรื่องทายาทปล่อยให้เรเซอร์จัดการแทนฉันเถอะค่ะ”
เอล็กซ์และเจมิลี่พยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน
“บอกไว้ก่อน ฉันไม่ใช่พ่อพันธ์นะเฟ้ย ..จะว่าไปคู่ดูตัวนี่นึกอะไรถึงขอหมั้นกับเรเซอร์จอมก่อเรื่องคนนี้กันนะ”
“พักหลังๆลูกก่อเรื่องน้อยลงแล้วไม่ใช่หรือไง ..ประวัติลูกตอนนี้ ถ้าปั้นดีๆคงเป็นที่นิยมได้ไม่ยาก”
“ขอบคุณสำหรับคำชมล่ะกัน”
ว่าจบผมก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋า
“เรื่องคฤหาสน์ ถ้าจะให้ใช้ก็ส่งกุญแจมาทางเซบาสเตียนให้ทีนะ แล้วก็..มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้”
ผมขยิบตาให้ทั้งสอง
และจากนั้นทั้งผมและแองเจลิน่าก็พากันเดินออกจากห้อง
ภายในห้อง เอล็กซ์และเจมิลี่กำลังนั่งอยู่ด้วยท่วงท่าที่นิ่งเฉย ..เพียงไม่นานทั้งสองก็ลุกขึ้นเฮด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยกันทั้งคู่
“คุยกับลูกได้แล้วล่ะเจมิลี่”
“เช่นกันค่ะ แองเจลิน่าปากร้ายไปหน่อยแต่ก็รักน้องชายดี เรเซอร์ก็อัธยาศัยดี ลูกของพวกเราเติบโตมาได้อย่างสมภาคภูมิมากเลยล่ะค่ะเอล็กซ์”
ดูตลกหน่อยๆเพราะคนหน้านิ่งสองคนมาคุยเรื่องความสำเร็จในชีวิตกัน พร้อมไปกับยืนยกแขนขึ้นฟ้า
คล้ายกำลังทำพิธีประหลาด ถ้าคนภายนอกเห็นเผลอคิดอย่างนี้แน่ๆ
จังหวะนั้นเซบาสเตียนก็เดินเข้ามา พอเห็นทั้งสองก็โค้งศรีษะให้
“คุยกับลูกได้แล้วล่ะเซบาสเตียน” เอล็กซ์พูดอวด
“เรเซอร์บอกว่าฉันมีคุณสมบัติความเป็นแม่ด้วยนะคะ(ด้านขี้บ่น)”
เซบาสเตียนพยักหน้าให้ทั้งสอง
“พวกท่านว่าดี กระผมก็พึงพอใจครับ”
เอล็กซ์ เจมิลี่ พ่อแม่พิลึกพากันพยักหน้ารัวๆ
พวกเขาอาจไม่ใช่พ่อแม่ที่ดี แต่ที่แน่ๆ พวกเขายังรักลูกตัวเองดี นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีกระมัง?
MANGA DISCUSSION