เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 105: ทางแกร่งของพวกสมหวัง
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 105: ทางแกร่งของพวกสมหวัง
< < 86 > >
ขณะนี้ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆราคาแพง และคิดอะไรไปเรื่อย
หนึ่งวันถัดจากช่วยหนิงหรือเกือบๆอาทิตย์จากที่โดนมหามังกรถล่ม ผมก็ได้พักผ่อนซะเต็มที่ และตัวเมืองรวมๆอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ฟื้นฟูเร็วเหมือนโกหก เวลาเพียงไม่นาน สภาพเมืองก็กลับมาสมบูรณ์เหมือนเก่า ยกเว้นสถานที่ที่ต้องใช้วัสดุคุณภาพ อย่างบ้านคนรวจหรือวิทยาเวทมนตร์เรดฮอต อย่างต่ำต้องใช้เวลาเป็นเดือนในการรักษา
รวมถึงหอนักเรียนด้วย
ตอนนี้ชีวิตนักเรียนของผมเลยโดนทำลาย และต้องอยู่ที่โรงแรมชั่วคราวไปก่อน ยังไงซะพวกผมก็เป็นเด็กที่บ้านรวย การเข้าวิทยาลัยเวทมนตร์ได้ก็การันตีฐานะในระดับหนึ่งล่ะ ทำให้เรื่องที่อยู่อาศัยชั่วคราวไม่มีปัญหา อย่างกอรี่รึโซเฟียก็กลับไปอยู่บ้าน ส่วนคนที่ไม่มีบ้านอยู่ที่อาณาจักรฟัฟนิร์ก็อาศัยตามโรงแรม ไม่ก็กลับบ้านกัน กรณีของผมกับเรย์คืออยู่โรงแรมแถวๆโรงเรียนอยู่เอา
และในกรณีของเด็กทุน คณะบริหารของโรงเรียนใจป๋าออกค่าโรงแรมหรูๆให้เด็กทุนอยู่กัน–ยังไงก็มีกันไม่กี่คนอยู่แล้ว ระดับวิทยาลัยเรดฮอตย่อมจ่ายไหว ที่สำคัญถ้าปล่อยให้เด็กทุนกลับบ้านไป สื่อเสียงคงป่นปี้แหงๆ ประมาณว่าไม่ป๋าเอาซะเลย แบบนี้เรียกว่าเด็กทุนได้เรอะ ไรงี้ เพื่อชื่อเสียงแล้วเลยต้องพยุงเด็กทุนอย่างถึงที่สุด
เบลลามีกับยูจิที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ดีจึงมีที่อยู่กัน เรื่องค่าใช้จ่ายในแต่ล่ะวันก็หายห่วงเพราะวิทยาลัยออกให้ เช่นเดียวกับเคียวยะ แค่หมอนี่ปกติมันรวยอยู่แล้วเพราะเป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง เงินที่วิทยาลัยช่วยออกจึงไม่ต่างกับเศษเงิน
ง่ายๆคือหายห่วง ทุกคนมีที่อยู่ดีๆกัน ยกเว้นหนิง ..ตอนแรกว่าจะออกเงินให้หนิงอยู่โรงแรม เรื่องค่าใช้จ่ายก็จะช่วยๆพยุงไป แต่เพียงไม่นาน อัลเบโด้ก็ลงมือซื้อคฤหาสน์ขนาดย่อมในอาณาจักรฟัฟนิร์ให้หนิง รวมถึงค่าใช้จ่ายในวิทยาลัยเรดฮอตทั้งหมดอัลเบโด้ก็รวบยอดจ่าย มีฝากเงินให้คณะอาจารย์ในโรงเรียนเอามาให้หนิงอีก
จำนวนเงิน ถ้าไม่ใช้จ่ายมือเติบ เที่ยวซื้อที่ซื้ออุปกรณ์เวทย์แพงๆไปทั่ว สามารถอยู่ได้เป็นสิบปีเลยล่ะ
เห็นแล้วก็น้ำลายไหล ในใจมีความอิจฉาโผล่มาทันใด แต่ก็ยับยั้งได้ทันน่ะนะ …
เอาล่ะ ด้วยเหตุนี้ชีวิตที่สงบสุขจึงกลับมาอีกครั้ง ผมก็ฝึกฝนตามคำชี้นำของเอเธอร์ และคุยเรื่องต่างๆนานากับเอเธอร์บ้างบางครั้ง ว่าตามตรง เอเธอร์อาจเป็นคนกวนประสาทโดยธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจกวนประสาทแต่ก็กวนประสาทคนอื่นได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก ถ้าไม่ใช่ศัตรูก็ไม่ใช่คนที่มีพิษภัยอะไรน่ะนะ แน่นอนว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเอเธอร์เป็นอันขาด บนโลกนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเอเธอร์หรอก
เว้นแต่เจ้าคนที่ชื่อ ‘ไรเดน อาคาสะ’ อะไรนั่น บ้าชัดๆที่เล่นประมือกับเอเธอร์ทุกครั้งทีมีโอกาสแล้วยังรอดอยู่ได้ ผมล่ะนับถือใจชะมัด เคยถามเอเธอร์เรื่องพี่แกอยู่ และเอเธอร์ก็ตอบกลับมาว่า ‘ไรเดนน่ะเหรอ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งครับ เป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งที่สุดในยุคเลยล่ะครับ ถ้าตั้งใจ เขาสามารถชิงตำแหน่งเทพดาบมาได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าทักษะดาบเพรียวๆไรเดน อาคาสะ จะไม่มีทางเทียบเทพดาบได้ แต่พลังหลายๆปัจจัยและดาบที่เขาถือครองมันทำให้เขาเหนือยิ่งกว่าเทพดาบอีก เขาอาจไม่ใช่ ‘นักดาบ’ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างเทพดาบ แต่เป็น ‘นักรบ’ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีได้ เท่าที่มนุษย์จะไปถึงได้ พลังของเขาอยู่ระดับนั้นเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเรเซอร์ต้องสู้กับไรเดน อาคาสะ ผมขอให้หนีแล้วมาให้ผมช่วยจะดีกว่าครับ’
ไม่ใช่แค่เอเธอร์ เจ้าคนที่ชื่อไรเดน ผมก็ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยเหมือนกัน เอเธอร์พูดตั้งขนาดนี้มีแต่ต้องเชื่อนั่นแหละ
พอคิดถึงความแข็งแกร่งของเอเธอร์หรือว่าไรเดนนั่น ผมก็ชักปวดหัวขึ้นมา ทำเอานอนไม่หลับเลยล่ะ เพราะวันหนึ่งอาจจะต้องสู้กันก็ได้ คราวของเอเธอร์ก็ตั้งใจจะไม่สู้แต่สุดท้ายก็โดนลากมาสู้ ไรเดน อาคาสะ นั่นก็เหมือนกัน สักวันอาจได้เจอในฐานะศัตรูก็เป็นได้ แม้ผมจะไม่ตั้งใจตามที
ลำพังแค่ผมมีตอนนี้ไม่มากพอจะสู้ไหว
..ยูนา
‘มีอะไรหรือคะ’
มีวิธีที่ทำให้ฉันเก่งกว่านี้รึเปล่านะ อย่างน้อยๆก็ขอเท่าเธอ ว่าตามตรง มันเริ่มตันๆแล้วน่ะ
ใช่ ตั้งแต่จบการเดินทาง ความสามารถของผมก็ไม่ได้กระเตื้อนจากเก่าเลย ต่อให้ใช้ไผ่ตาย มากสุดก็ได้แค่สู้กับมหามังกรฟัฟนิร์ได้ ซึ่งมีตัวตนที่เก่งกว่าฟัฟนิร์แน่ๆแล้วคือ ไรเดน อาคาสะ และเอเธอร์
ยังมีคนที่คิดว่าสู้กับฟัฟนิร์ได้อย่าง คาลอสหรือผู้กล้ารุ่นที่ 100 อีก
คนที่แข็งแกร่งทัดเทียมผมมีอยู่ คนที่เหนือกว่าก็มี แต่ผมไม่สามารถเก่งกว่านี้ได้แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลุ้มใจ
อยากจะแข็งแกร่งขึ้น ตั้งใจอย่างนี้—-
‘ไม่มีทางมาถึงฉันได้หรอกคะ’
ซะอย่างนั้น ผมโดนยูนาหักดิบซะโหดเลยแฮะ
ไม่ปราณีเลยนะ
‘ก็เป็นความจริงนี่ค่ะ มาสเตอร์ในฐานะผู้ใช้ตัดมิติมาถึงขีดสุดแล้วคะ’
แล้วทำอีท่าไหนสมัยก่อนหล่อนถึงแกร่งเข้าขั้นสัตว์ประหลาดได้ฟร้ะ?
‘ฉันมีดาบขี้โกงคะ แล้วก็มีทักษะดาบระดับที่ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบัน ฉันคงแย่งตำแหน่งเทพดาบมาได้แน่ๆ’
ขนาดนั้นเลยสินะ ..กับเอเธอร์ ถ้าสู้กันสมัยมีชีวิต เธอจะชนะรึเปล่า
‘ที่แน่ๆโอกาสที่ฉันจะฆ่าเอเธอร์ได้มันมากกว่ามาสเตอร์โข ความสามารถของชายคนนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์มากจึงไม่สามารถยืนยันได้’
พลังของเอเธอร์ยังเป็นปริศนาอีกมาก แต่ถึงยังไง ผมก็จะเชื่อว่ายูนาไม่มีทางด้อยกว่าเอเธอร์หรอก ไม่สิ ผมอยากคิดว่ายูนาแกร่งกว่าเอเธอร์ด้วยซ้ำ เพราะเธอคือคนที่ผมเคราพรักล่ะนะ ในส่วนเล็กๆผมเรียกเธอว่าอาจารย์ได้ด้วยซ้ำ แบบอาจารย์ยูนาไรงี้
‘…’
ยูนาโดนชมตรงๆก็เงียบทันที
คงจะเขินล่ะมั้ง
‘ไม่ได้เขินค่ะ’
ผมแสยะยิ้ม
“แต่ฉันไม่เหมือนกับเธอ ร่างกายฉันไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ดาบ มากสุดก็ได้แค่ขั้นสูงไม่มีทางไปไกลกว่านี้ได้แล้ว แต่..ฉันน่ะถนัดเวทมนตร์ ทางเก่งมันต้องมีอีกแน่ๆ”
‘ถ้าจะเดินตามรอยฉันเลย มาสเตอร์ควรมีอาวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้ค่ะ แล้วก็พัฒนาเวทมนตร์ไปให้สุดทางเลยก็ดี เพราะมาสเตอร์เอาแต่สนใจความสามารถรอบด้าน ทำให้พลาดโอกาสพัฒนาทักษะเวทมนตร์ไปหลายต่อหลายครั้ง’
เหมือนกับยูนา ผมต้องมีอาวุธที่ทรงพลัง และต้องมีทักษะเวทมนตร์ที่ไม่เป็นสองรองใคร ถ้าได้อย่างนั้นคงไปถึงระดับยูนาได้แหละ ด้านการต่อสู้ระยะประชิดอาจไม่ได้สูงมาก แต่ถ้าการต่อสู้ระยะไกลรึความเสียหายที่ทำได้ ผมคงเหนือกว่ายูนาได้เยอะเลย
ตัดมิติเป็นพลังสารพัดประโยชน์ ยูนาใช้ในการบุกเป็นหลัก แต่ผมไม่ใช่ยูนา ผมสามารถใช้ในการตั้งรับก็ได้
‘แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอกคะ การมีอาวุธที่ทรงพลังได้น่ะ มันต้องอาศัยโชค ..ถ้าพูดถึงคนที่ถนัดคล้ายมาสเตอร์อย่างราชาจอมเวทย์ในยุคนี้ เขาเป็นผู้ถือครองคทามรณะ ‘เซปเตอร์เดธ’ คทาที่สามารถร่ายเวทย์พร้อมกันได้สิบบท และอานุภาพแรงขึ้นสิบเท่า’
ผมพอรู้จักบ้างผ่านๆ ในฐานะนักเวทย์ไม่มีทางที่ผมจะไม่รู้จักอาวุธคู่กายของราชาจอมเวทย์อย่าง ‘เซปเตอร์เดธ’ คทาที่เรียกได้ว่าโกงสุดบนโลกใบนี้ ไม่มีคทาใดที่วัดพลังกับคทานี้ได้
มีคำกล่าวไว้ว่า— ‘เซปเตอร์เดธเป็นฝันกลางวันของนักเวทย์ทุกคน’
จำไม่ผิด ตัวคทาเกิดขึ้นได้จากการที่ ‘แซ็ค’ ช่างตีเหล็กเผ่าเอลฟ์ในช่วงสงครามผู้กล้าได้นำเอา 9 คทาของ ‘คานเทีย’ ช่างตีเหล็กในตำนานช่วงสมัยสงครามชิงอำนาจมาผสมกัน และมอบเป็นอาวุธให้กับ ‘ราชาแห่งเกรล’ แต่ผ่านไปผ่านมา คทาดันตกเป็นของคนสำคัญในเครืออาณาจักรฟัฟนิร์อย่าง ‘ราชาจอมเวทย์’ เสียอย่างนั้น
ไม่รู้รายละเอียด แต่ประวัติศาสตร์บอกว่าช่วงสงครามกับจอมมารในยุคผู้กล้า คทากลายเป็นของราชาจอมเวทย์เพราะเวลานั้นไม่มีใครใช้คทาได้เหมาะไปกว่าเขา และหลังจบศึก ตามเงื่อนไขยืมต้องขืนให้อาณาจักรเกรล แต่เจ้าตัวดันยึดเซปเตอร์เดธเป็นของตัวเองแบบเกรียนๆและหนีหายตายจากไปเลย รู้ตัวอีกทีคทาก็ส่งต่อให้คนอื่น ซึ่งคนคนนั้นก็ขึ้นมาเป็นราชาจอมเวทย์แห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ เป็นที่มาที่เซปเตอร์เดธกลายเป็นของอาณาจักรฟัฟนิร์ได้ ง่ายๆคือมีไอ้เกรียนขโมยเขามาน่ะแหละ
จริงๆตัวคทาอาจไม่ได้ขลังอะไรมาก แต่มันดูขลังเพราะผู้ครอบครองมันในทุกๆรุ่น
แรงขึ้นสิบเท่า ร่ายได้พร้อมกับสิบบท พลังการโจมตียกระดับขึ้นสิบเท่า เป็นของที่ขี้โกงไม่แพ้เกราะอิจิสของราชาอัศวินเลย หากแต่เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ต้องมือถังระดับหนึ่ง ต่อให้มีมานามากพอจะใช้มันได้ยาวๆอย่างผม เพราะการทำได้ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ทัน ถ้าผู้ใช้ไม่เก่งก็ไม่มีทางจะใช้มันได้ดีเทียบเท่าราชาจอมเวทย์หรอก
แน่นอนผมมั่นใจในทักษะของตัวเอง ผมว่าถ้าตัวเองได้ถือเซปเตอร์เดธมันต้องออกมาดีแน่ๆ ผมเป็นผู้คู่ควรล่ะ เพราะนั้นถ้าจะให้ก็ขอน้า~ ราชาจอมเวทย์ช่วยเอามาให้ผมทีนะ ขอลองสักวันก็ยังดี อยากใช้มันดูสักครั้งจัง~ คทาที่ทรงพลังที่สุดบนโลก เซปเตอร์เดธนี่น่ะ~
ยูนาพูดต่อ
‘..ไม่ก็คทาของจอมเวทย์ชื่อดังในยุคของฉันอย่าง ‘การาวิเทีย’ คทาที่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงรอบๆได้ และทำให้ผู้ใช้บินได้ ปัจจุบันนี้ไม่ทราบสถานะ เพราะฉะนั้นก็พอคุ้มค่ากับการตามหา’
โลกนี้มีแต่ของหลุดโลกทั้งนั้นเลยแฮะ
‘อุปกรณ์พวกนี้มีแค่ชิ้นเดียวบนโลกเท่านั้นค่ะ แล้วอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ต่อให้นับรวมดาบหรือเกราะมาด้วย ก็ไม่มีทางเกินห้าสิบชิ้นหรอกค่ะ เท่าที่มาสเตอร์เคยเจอ ของระดับนี้มีแค่ เกราะอิจิส เท่านั้นเองนี่คะ’
นั่นสินะ ว่าแต่หล่อนเอาความรู้จากไหนมาเยอะแยะเนี่ย
‘ตอนมาสเตอร์หลับก็นั่งอ่านหนังสือเอาค่ะ’
ขยันจังนะ
‘ไม่เท่ามาสเตอร์หรอก’
ก็พูดไป
“แต่คทาพวกนั้นมันเกินเอื้อมไปหน่อย ต้องโชคดีจริงๆถึงจะได้มาเท่านั้นแหละ เพราะนั้นก็ได้แต่ฝันหวาน สู้ไปหาคทาที่พอจะจับต้องได้ดีกว่า ..แต่จริงๆลำพังถุงมือที่มีก็ไม่ต้องมีคทาแล้วก็ได้”
‘ถ้าในอนาคตมาสเตอร์ได้คทาระดับเซปเตอร์เดธมา ถุงมือของมาสเตอร์ได้ใช้แน่ๆค่ะ’
ระหว่างใช้เวทย์มันมีผลกับมือและต้องคุมแรงด้วยสินะ เพราะเป็นของแรง ต่อให้เก่งมาจากไหนแต่ร่างกายมนุษย์ก็ถือคทาชั้นเทพทั้งหลายไม่ไหวหรอก ขืนดันทุรังใช้มีแต่จะแขนหักแขนขาดแบบง่ายๆ จึงต้องมีตัวช่วยด้วย
พอเป็นแบบนั้น ถ้าคนที่มีมานาน้อยไม่สามารถส่งมานาให้ถุงมือได้เรื่อยๆ ใช้แปปๆมานาก็หมดอีก อย่างเซปเตอร์เดธนี่ถึงจะร่ายพร้อมกันได้เป็นสิบบท แต่มานาที่ต้องจ่ายก็เท่าเดิมในมาตรฐานของคทา จะลดค่าใช้จ่ายเวทมนตร์ไปครึ่งหนึ่ง แต่ใช้เวทย์ทีเดียวสิบรอบนี่กินมานามากๆ เหมือนของที่มีไว้ให้คนมานาเยอะใช้เท่านั้น เป็นของสำหรับพวกมีพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดล่ะ
เทียบแล้ว ดาบโกงๆนี่มีความเท่าเทียมสุดล่ะ เพราะไม่มีผลเสียกับคนใช้ ถ้าไม่ใช่ตระกูลดาบมารน่ะนะ ต่างกับคทาที่มีผลเสียกับคนที่ไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถไม่พอใช้ ไม่ว่าจะคทาโกงตระกูลไหน ถ้าเก่งไม่พอ ของไม่พร้อม ก็ถือคทาชั้นเวิร์ลคลาสไม่ได้
อย่างไรก็ช่าง ผมมีคุณสมบัติพอจะจับคทาเทพๆได้ ผมมีมานาพอจะใช้มันสู้แบบไม่หยุดพร้อมกับตัดมิติไปด้วยเป็นชั่วโมง รู้แค่ก็พอแล้วล่ะ
‘ค่ะ ถ้าเป็นคทาดีทั่วๆไปมาสเตอร์ใช้แค่ถุงมือเวทย์ก็พอแล้ว แต่ถ้าได้คทาชั้นสูงๆมา มันจะใช้คู่กันได้คะ’
ตามนั้นล่ะกัน
ก่อนอื่น ผมต้องพัฒนาเวทมนตร์ตัวเอง เรื่องไสยศาสตร์หรือเล่นแร่แปรธาตุเอาแค่พอรู้พอ ไม่ต้องเก่งกว่านี้หรอก เพราะไม่ได้มีพรสวรรค์ทางนี้ และถ้าเป็นไปได้ผมต้องหาอาวุธใหม่มาใช้คู่กับถุงมือเวทย์
เอาล่ะฝันหวานวันนี้จบแล้ว
ปั้งๆ ปั้งๆ ปั้งๆ !!!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเรย์ที่แหกปากโวยวายแต่เช้า
“อยู่รึเปล่าพวก!!!!?”
ไม่ทันที่จะบอกให้เขาเรย์ก็ถีบประตูจนเข้ามาได้
“ไอ้บ้าใครสั่งใครสอนให้ทำอย่างนั้น!”
“ชะ ช่วยตัวเองอยู่สินะ โทษทีล่ะกันพวก ไม่รบกวนแล้ว”
“ไม่ได้ทำโว้ย!”
พูดอย่างนั้นจบเรย์ก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางตื่นเต้น
“..แล้วมีอะไรล่ะ”
“มีเรื่อง..มีเรื่องอยากปรึกษาหน่อยน่ะ” เรย์บิดตัวไปมาอย่างเขินอาย
ไม่ไปถามยูจิล่ะ
“ยูจิน่าจะปรึกษาได้ดีกว่าฉันนะ”
“ถ้ายูจิล่ะก็อยู่ข้างหลังนี่แหละ”
ข้างหลังเรย์มียูจิที่โบกมือให้ผมและกอรี่ที่ยืนเกาหัว
“ไอ้ฉันก็ไปเคาะเรียกเคียวยะแล้วนะ แต่ไม่ยอมออกสักทีเลยเตะประตูเข้าให้! ล่ะโดนมันพุ่งมาต่อยไม่หยุดซะนั้น มีเตะฉันซ้ำด้วยนะ ไม่รู้โกรธใครมา”
“สมควรแล้วล่ะ ว่าแต่ดูจะจริงจัง..ไม่สิ ดูจะสำคัญมากเลยนะนั่น”
เรย์ตื่นเต้นสุดๆ ไม่ได้ออกไปเชิงจริงจังเหมือนตอนสู้กับผม แต่ดูก็รู้ว่าสำคัญไม่แพ้กันเลย
“ตามมาก่อนเถอะ เดี่ยวเล่าให้ฟัง”
สุดท้ายผมก็เออออตามเรย์ เพราะรู้ไว้ก่อนก็ดีกว่า ที่สำคัญยังช่วยผมให้ออกจากมโนฝันหวานที่จะได้ถือคทาดีๆไว้ด้วย
สุดท้ายเรย์ก็ลากมาตรงพุ่มหญ้า และเอานิ้วชี้แตะปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้เงียบๆ
“ฟังนะ เงียบๆ คือเห็นผู้หญิงคนนั้นมั้ย คนนั้นน่ะ ที่กำลังรดน้ำอยู่”
“เห็นครับ เป็นคนที่ดูขยันมากเลยนะครับ”
“ดูมือก็รู้ได้ถึงความหนักแน่นในการรดน้ำตกไม้แล้วล่ะ เธอคือยอดฝีมือในการรดน้ำต้นไม้ เป็นโปร์ล่ะ!”
“อ่า เห็นชัดแจ๋วเลย ก็ว่าใคร”
คนคุ้นหน้าตั้งแต่ในนิยายอีกล่ะ
“คือว่า ก็พูดยากอ่ะนะ”
เข้าใจ เข้าใจ วัยรุ่นนี่ดีจังนะ
เรย์ตัวบิดไปมาเป็นผ้าขี้ริ้ว ..
“ฟังนะ”
ทำหน้าแบบสาวน้อยในวัยแรกแย้มด้วยล่ะ แหม่
“ฉันเหมือนจะตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้วล่ะ
…เธอคือคนที่เรย์แอบชอบในนิยายล่ะ ชื่อ ‘ซินตี้’ เป็นสาวสวยใส่แว่นที่ขี้อายเข้าขั้นน่าวิตก แต่จะดูดี๊ด๊าเมื่ออยู่กับยูจิ เหมือนเปลี่ยนคาแรคเตอร์แบบสับราง เป็นรุ่นพี่ปีสามของวิทยาลัยเรดฮอต อยู่ชมรมรดน้ำต้นไม้
ในเนื้อเรื่องไม่ว่าเรย์จะรักเธอมากแค่ไหน เธอก็ไม่เหลียวมองเรย์แม้แต่นิดเดียว เรียกว่ากล้าใช้เรย์เป็นสะพากหายูจิเลยล่ะ หลังๆเรย์ก็เข้าใจว่าซินตี้มองตัวเองเป็นแค่สะพาน ตัวเองก็ยังยอมเป็นสะพาน เพราะอยากให้ซินตี้มีความสุข
เป็นตัวละครที่ผมไม่ชอบสุดในเรื่องเลย ต่อให้มีด้านดีเพิ่มมาแค่ไหนก็ชอบไม่ลง เพราะไม่ใช่แค่ไม่แลเรย์ แม้แต่ตอนที่เรย์เกือบตาย เธอก็เอาแต่สนยูจิที่เจ็บเล็กน้อยกว่าเรย์ที่ปางตายมาก จนในที่สุดเรย์ก็ตายโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆเลย ทั้งๆที่ถ้าเห็นสภาพเรย์ก่อนก็พอพาไปรักษาได้ทัน เพราะหล่อนเอาแต่สนชายที่ตัวเองรัก ทั้งๆที่ยูจิเอาตัวรอดเองได้ เธอน่าจะรู้แล้วมาทำเป็นสะอึดสะอื้นหลังเรย์ตาย ตอนแรกไม่สนใจเรย์ที่พึ่งสู้ถ่วงเวลากับจอมมารให้แท้ๆ
แต่เดิมไม่ใช่ตัวละครที่สำคัญอะไร ความสำคัญของเธอมีได้เพราะเรย์ล้วนๆ ..ผมรู้ว่าผมอาจจะอคติไป แต่ก็นะ ไม่ชอบเลยแฮะยัยนี่
กับคนแบบนี้ ผมอยากให้เรย์นกแล้วไปหาคนใหม่จะดีกว่า ถ้ายูจิจบฮาเร็มแบบในนิยายก็เอาหล่อนไปด้วยล่ะกันขอเถอะ
ผมเชียร์ให้ไปลูนี้น่ะนะ เพราะนั้นจะไม่สนับสนุนความรักเรย์ใดๆทั้งนั้น ขอโทษนะเพื่อน อย่างน้อยๆก็จะไม่ขวางทางรักล่ะกัน ยังไงเธอก็สำคัญกับเรย์มากๆ ในเนื้อเรื่องต้นฉบับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เรย์ที่พี่สาวตายเลยล่ะ เป็นหนึ่งในด้านดีๆของเธอ แต่ก็นะ ..
“ไม่เรียกโซเฟียมาด้วยรึ เธอน่าจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีได้นะ” กอรี่พูด
“คุณหนิงกับคุณไอริสก็ด้วยครับ” ยูจิแนะ
ในที่นี้ไม่มีใครพูดถึงเบลลามีเลย ..เบลลามีก็ปรึกษาได้นาเฟ้ย
“นี่เป็นเรื่องของลูกผู้ชายนะเห้ย ..ถ้าโดนรู้เข้ามันน่าอายนี่”
“นั่นสินะ เพศเดียวกันกับเพศตรงข้าม ความสนิทมันต่างกัน”
เรย์พยักหน้าให้
“คือฉันอยากปรึกษาน่ะ ฉันว่าจะสารภาพรักกับเธอ”
“เจอกันมานานแล้วสินะครับ”
“พึ่งเจอเมื่อวาน ตอนนี้กำลังเปี่ยมด้วยความรักล่ะ”
..นกแหงๆ
ยูจิกับกอรี่พากันหน้าเหวอ
“เอ่อคือ..”
“เร็วไปมั้ง”
“เร็วอะไร ถ้ามัวแต่ช้าก็มีแต่จะเสียโอกาสไม่ใช่เรอะ!? ความรักเป็นเรื่องของเวลา ถ้าช้าก็เท่ากับแพ้ เหมือนวิชาดาบไงล่ะ!”
เหมือนก็บ้าแล้ว เรื่องของเวลาไม่ใช่ว่าเร็วกว่าก็จะได้ แต่มันคือเวลาที่จะใช้พัฒนาความสัมพันธ์ต่างหากเล่า แต่ก็ช่างเถอะ ผมยืนยันแล้วว่าจะไม่ช่วย และจะไม่ขวาง เลยขอนั่งเงียบไม่พูดอะไรล่ะกัน
“แต่ว่า”
“พอเถอะยูจิ ต่อให้เป็นนาย เพื่อนเลิฟของฉัน คนที่สำคัญของฉัน ก็ห้ามฉันไว้ไม่ได้หรอก!!”
“แล้วจะมาให้ปรึกษาทำบ้าไรว่ะ!!?”
“อยู่เป็นสักขีพยานให้ฉันล่ะกัน!!”
“เดี่ยวก่อนครับ!!”
เรย์พุ่งออกไปแล้ว ไม่มีความลังเลเลย ยูจิที่เป็นห่วงก็พยายามดึงปลายเสื้อรังไว้ ยูจิเลยโผล่ออกมาจากพุ่มหญ้าด้วยแบบช่วยไม่ได้
ผมนั่งเงียบ มองจากข้างหลังในจุดเดียวกับกอรี่ด้วยสีหน้าเอือมๆ
ซินตี้เห็นเรย์โผล่มาก็ตกใจ
“คะ คะ คนเมื่อวาน”
ดูวิตกสุดๆ ..เรย์สูดลมหายใจเข้าปาก กำลังจะพูดออกไปแล้ว
“คือว่า!!”
ซินตี้สังเกตุเห็นยูจิ และหน้าแดงก่ำ
“ช่วยคบกับผมด้วยนะคร้าบบบบ!!”
“ขอโทษค่ะ ไม่ใช่สเป็ค”
หล่อนดูดี๊ด๊าขึ้นทันตา และวิ่งผ่านเรย์ไปนั่งยองข้างๆยูจิที่โผล่มาในท่าคลานอยู่
“เป็นไงบ้างเหรอยูจิ?”
ยูจิทำหน้างงๆ ..คงนั้นแหละ
“คุณเป็น..ใครเหรอครับ”
ยูจิไม่รู้จักซินตี้ แต่ซินตี้รู้จักยูจิ
ความรักของซินตี้เริ่มจากที่ซินตี้เห็นยูจิในวันปฐมนิเทศช่วยคุณยายถือของ เธอตกหลุมรักยูจิง่ายๆอย่างนั้นเลยล่ะ เหมือนรักแรกพบ หน้าตาและจังหวะ ลงเป๊ะหมด เลยปิ๊งเข้าให้ แบบชอบเลยค่า ไรงี้
ง่ายๆแค่นั้นแหละ ยูจิแค่ช่วยคุณยายหล่อนก็หลงเข้าขั้นคลั่งแล้ว แต่เรย์ทำให้ทุกอย่างก็ไม่เหลียว เรย์ก็ใช่ว่าจะหน้าตาแย่ วัดตามมาตรฐานโลก เรย์หน้าตาดีกว่ายูจิอีก แต่คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่
ซินตี้ถึงกับเงียบไป เธอค่อยๆยิ้มให้ยูจิ
“เหรอ ..น่าเสียดายนะ ฉันเห็นยูจิตลอดแท้ๆ”
ยัยนี่มีพฤติกรรมเป็นสตอกเกอร์หน่อยๆด้วย ชอบตามติดยูจิประจำเมื่อมีโอกาส ค่อนข้างน่ากลัว ..
เรย์ยืนช็อก ช็อกสุดๆ หน้าเหมือนอยู่วันสิ้นโลก สภาพกลายเป็นศพ
เหมือนว่าพยายามจะพูดอะไรด้วย
“คะ คือ”
“ขอโทษนะค่ะ เราน่าจะเข้ากันไม่ได้”
ไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ตอบอย่างนั้นแล้ว
“ยังไงก็ลองคุยก่อน บะ แบบเพื่อน”
“ฉันไม่ชอบผู้ชายขี้ตื้อค่ะ แล้วคุณหวังจะคบกับฉัน คุยแบบเพื่อนแบบนั้นมันใช่เพื่อนที่ไหน”
สาวขี้อายกลายเป็นสาวสุดตรงไปตรงมาเมื่ออยู่กับยูจิ
..อา เรย์เอ่ย ตัดใจซะเถอะ
เรย์ทำท่าจะร้องไห้แล้ว กอรี่เดินไปตบไหล่เรย์
“เข้าใจ ฉันเข้าใจ”
“ไม่ ความเจ็บปวดของฉัน นายไม่เข้าใจหรอก!”
“มีเมดคนหนึ่งที่ฉันชอบ พวกเราเป็นเพื่อนคุยเล่นกันตลอด เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันอยากเป็นคนดีกว่าเดิม ฉันตกหลุมรักเธอมาตลอดหลายปี แม้ว่าเธอจะรักเจ้านายตัวเองแต่ฉันก็อยากพยายามให้เธอมารักฉันให้ได้ จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอก็กลับมา และมาอวดให้ฟังว่าหลังนายท่านเธอเรียนจบ เธอจะแต่งงานกับนายท่านพร้อมกับเมดที่สนิทด้วยอีกคน ..ฉันนกแล้วโดนมาอวดว่าพวกเขากำลังจะได้แต่งงานกันล่ะ”
เรย์กลั้นน้ำตาไม่ไหว ฟังถึงตรงนี้แล้วก็ปล่อยโฮ ต่างกับกอรี่ที่ประสบพบเจอกับตัว กอรี่ยังทำหน้านิ่งอยู่
“หนักกว่าตูอีก!”
“ถ้าผูกก็มีแต่เจ็บ เพราะนั้นปล่อยวางตั้งแต่เนิ่นๆเถอะ”
ผมเดินไปจับไหล่เรย์ด้วยคน
“ความรักก็แบบนี้แหละ”
“ไอ้คนสมหวังไม่เข้าใจหรอก!”
“พวกสมหวัง!!”
ทั้งกอรี่และเรย์แว้นกัดใส่ผม
อะไรล่ะนั่น?
ผมไม่มีทางเลือกนอกจากถอยหลังหนี เหมือนเป็นคนนอกในวงนก
“..เอาเถอะ”
ผมหันไปมองซินตี้ที่ชวนยูจิคุยแบบร่าเริง ขัดกับยูจิที่รู้สึกลำบากใจ ..
“ในท้ายนี้ ความสัมพันธ์รักสามเศร้าเราสามคนของพวกเขาก็ดำเนินต่อไป ..”
“คือว่า”
ผมพึ่งรู้สึกตัวขณะที่พูดอะไรน่าอายไป ผมรีบทำเก็กแล้วหันไปมองข้างๆและใจฝ่อขึ้นมาทันใด
โซเฟียในชุดไปรเวทจืดๆ ผมเซอหน่อย สภาพไม่พร้อมออกข้างนอกมากแต่เพราะเธอสวยเลยไม่ได้ดูไม่ดีอะไร เธอโผล่มาข้างๆผมและใต้ตาแดงซ้ำเหมือนร้องไห้มาหนักมากมา
พอทราบสาเหตุโดยสังเขปอยู่
“วันนี้ ..มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อยน่ะ..”
พูดได้ไม่ทันไรโซเฟียก็ร้องไห้อีกรอบ ..ผมยืนหน้าซีด และรู้ตัวอีกทีก็โดนเรย์ต่อยเบ้าหน้าเข้าให้
คำว่า ‘ไอ้พวกสมหวัง’ และ ‘ที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้’ เวียนเข้ามาในหัวผมไม่หยุด ..ส่วนผมก็สติหลุดเพราะเจอโซเฟียร้องไห้ต่อหน้าเข้าไป
…อา..เรานี่มันบาปหนาเหลือเกิน
ทำให้โซเฟียร้องไห้อีกแล้วล่ะ ผมนี่เป็นพวกสมหวังที่สมบูรณ์แบบชะมัด (ประชด)