< < 85 > >
จบไปอีกหนึ่งเรื่อง ปัญหาทุกอย่างในคราวนี้เคลียร์ได้หมดโดยสมบูรณ์แล้ว
ผมลงไปกองกับพื้น เช่นเดียวกับเรย์ที่ผู้แสนจืดจางจนไม่มีใครจำได้
“พวกแกมันไร้หัวใจ”
เรย์เอาแต่บ่นอุบอิบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ซึ่งในที่นี้ไม่มีใครคิดจะต่อปากต่อคำกับเรย์เลย เพราะ…นั่นแหละ อืม
รู้สึกผิดชะมัด
“นั้นก็กลับกันเถอะ ยังต้องเดินอีกไกลเลย”
ผมลุกขึ้นมาเยียดตัวเหมือนคลายเมื้อย
“นั่นสิเนอะ”
เรย์ลุกขึ้นตามๆมา
จำเป็นต้องเดินกลับไปขึ้นรถม้าสายหนึ่งเพื่อเข้าตัวอาณาจักรฟัฟนิร์ ใช้เวลาอย่างน้อยตั้งสองชั่วโมงกว่าผมจะได้นอนพักผ่อน
เหนื่อยกับการต่อสู้ไม่พอยังต้องมาเหนื่อยกับการเดินทางอีก ชีวิตนี่ยิ่งยากชะมัด
ขณะที่ทำใจไว้นั้นหนิงก็ยกมือขึ้น
“คือฉันมีที่ที่อยากไปอยู่น่ะ”
“ไว้พรุ่งนี้ได้รึเปล่าล่ะ”
“เดี่ยวฉันไปคนเดียวเอง ว่าจะช่วยส่งพวกนายกลับอาณาจักรก่อนด้วย”
…อ๊ะ แบบนี้นี่เอง
“เอาสิ ช่วยทีนะ”
“อือ ..ฮึบ”
หนิงเปล่งเสียงออกแรงหน่อยเดียวร่างก็ถูกปกคลุมด้วยเพลิงสีทอง—-โผล่มาอีกทีในร่างมังกรเทียบเท่าไวเวิร์น ตัวค่อนข้างเล็กในเผ่าพันธ์นั่นแหละ
จริงๆควรตัวใหญ่กว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า แต่หนิงสามารถย่อขนาดตัวได้
จากเหตุการณ์คราวนี้ หนิงน่าจะใช้พลังได้โดยไม่มีผลค้างเขียงแล้วล่ะ กลายเป็นว่าพวกเรามีกำลังรบสุดแกร่งเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ถ้าเนื้อเรื่องเดินตามในนิยาย ลำพังแค่หนิงและผม ก็เก่งพอจะพาผ่านอุปสรรคทั้งปีไปได้ง่ายๆ ระหว่างนั้นก็ขุนคนอื่นให้เก่งขึ้นตามๆมา
ถ้าน่ะนะ ถ้าเป็นไปตามนิยาย ..
“..มะ มะ มังกร!!!!” เรย์ร้องดั่ง
“ดะ ดูองอาจดีนี่” เคียวยะกอดอกพูด
เรย์ตกใจจนลงไปกองกับพื้น แม้แต่เคียวก็ขาสั่น
มีผม ยูจิ เบลลามี ที่มีต้านทานสถานะตื่นกลัวจากวิญญาณระดับเทพในตัวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร
แน่นอนมีเอเธอร์อยู่ในกลุ่มที่ไม่มีใครกลัวด้วย
‘จะกลัวอะไรนักหนาเล่า รีบๆขึ้นมาซะ อยากกลับไปพักผ่อนกันไม่ใช่รึไง?’
เรย์กับเคียวยะจ้องหน้ากันก่อนหันกลับมาพยักหน้าให้หนิง
“ “ตามนั้น” ”
ทั้งสองกลัวหนิงโดยธรรมชาติเพราะคลื่นจิตของมหามังกร ซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ผมให้เกียรติคนที่กลัวที่สุดขึ้นไปก่อนที่จะตามด้วยคนที่ไม่กลัว
“เกร็ดสวยมาก”
เบลลามีพึมพำเบาหวิวด้วยแววที่เป็นประกาย
“อยากได้สินะ เดี่ยวแกะมาให้นะ”
“อือ ขอสักแผงนะ”
ตกลงด้วยเว้ย!
‘เดี่ยวเถอะ!!’
ทุกคนหัวเราะอย่างพร้องเพรียง ยกเว้นเบลลามีที่ทำแค่ยิ้มแบบจริงใจ ต่างกับเอเธอร์ที่ยิ้มเหมือนกันแต่ดูไม่จริงใจเอาซะเลย
ตามปกติเบลลามีควรยิ้มไม่ต่างกับเอเธอร์นั่นแหละ ..ตามปกติน่ะนะ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อทุกคนขึ้นมาบนหลังหนิงกันหมด หนิงก็ค่อยๆเริ่มพัดปีกลอยขึ้นฟ้า และออกบินด้วยความเร็วสูง
แรกเริ่มน่าหวาดเสียวนิดหน่อย แต่พลังของมหามังกรที่หนิงมีทำให้คนที่อยู่บนหลังไม่ปลิวไปตามสายลม ประมาณว่ามีบาเรียอยู่น่ะแหละ
ระหว่างการเดินทาง พวกเราก็คุยเล่นกันไปเรื่อย
ผมเหนื่อยที่สุดเลยไม่ได้นั่งๆมองๆแบบตื่นเต้นเหมือนทุกคน ทำเพียงแค่นั่งมองท้องฟ้าที่แจ่มใสในวันนี้ ..ในขณะที่ข้างๆมีเบลลามีมานั่งอยู่ด้วย
ไม่ใช่แค่ได้ชมวิวทิวทัศน์ ผมยังได้นั่งข้างเบลลามีระหว่างที่ชมวิวไปอีก ผมคือชายที่โชคดีเหลือเกิน
“ลำบากหน่อยนะเรเซอร์”
เบลลามีโพล่งขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“นั่นสินะ เหนื่อยโคตรๆเลย วันก่อนก็ต้องสู้กับมหามังกร มาวันนี้ก็สู้กับมหามังกรรอบสองไม่พอ ยังต้องช่วยหยุดยั้งไม่ให้หนิงระเบิดตัวเองอีก ..ปัญหาเกินกว่าที่ฉันคนเดียวจะทำไหว”
“ถ้าเป็นเรเซอร์ต้องไหวแน่ๆ”
เธอพูดจากใจจริง ไม่ได้มีอะไรเสแสร้งหรือพูดเพื่อมารยาท เพราะเบลลามีไม่ใช่คนมีมารยาท ฮาๆ เพราะฉะนั้นวางใจได้เลย ทุกคำพูดของเธอนั้นเต็มไปด้วยใจจริง
“มีแค่ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ..เป็นเพราะมีเอเธอร์คอยยื้อคาลอสไว้ มีเรย์ช่วยถ่วงเวลา มีเบลลามีที่เตรียมตัวรักษาทุกคนตลอด มีเคียวยะที่ช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ให้อย่างละเอียด มียูจิช่วยหยุดหนิงในจังหวะสุดท้าย ..ถ้ามีแค่ฉันคนเดียว ทุกอย่างมันจะมากเกินไปจนแบกไม่ไหว”
ว่าก็ว่าเถอะ เดี่ยวหาว่าผมอวยเบลลามีอีก แต่ถ้าไม่ใช่เบลลามีที่มาพูดเตือนสติผมให้ ผมอาจจะยังดุทุรังพยายามอยู่คนเดียวต่อ
ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง ผมคงจะนอนตายคาประสาทเทล่าเทลไปแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เพราะผมไม่ใช่ยอดมนุษย์แบบเอเธอร์รึเป็นพระเอกที่มีพลอตอาร์มเมอร์แบบยูจิ ผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
พรสวรรค์ที่มีก็อยู่ในขอบเขตุของมนุษย์ มากสุดก็ได้แค่ขี้เท้าเอเธอร์ ถ้าไม่มียูนาผมก็ไม่มีทางมาไกลขนาดนี้หรอก
พอคิดอย่างนั้นแล้วผมก็จะโดนยูนาบ่น แล้วบอกว่า มาสเตอร์คือผู้ครอบครองฉันคะ ฉันเป็นของมาสเตอร์ เป็นพลังของมาสเตอร์คะ แล้วด่าผมเสาะๆเผื่อส่วนของแม่ผมเป็นสิบปีให้ด้วย
‘….’
เหมือนดักคอยูนาได้ รู้สึกสะใจพิลึก แต่ช่างมันประไร
“ถ้าไม่มีทุกคน ฉันมาไม่ได้ขนาดนี้หรอก ..ขอบคุณนะ”
ผมยิ้มให้เบลลามีและพูดออกมาจากใจจริง
เบลลามีมองหน้าผม จู่ๆก็หน้าแดงและเบือนหน้าหนีไป
“เราไม่ได้ช่วยเรเซอร์ตรงๆสักหน่อย”
“แค่ช่วยรักษาเรย์ก็เป็นบุญกับฉันมากแล้วล่ะ นี่ยังไม่รวมตอนที่ช่วยฉันตอนสู้กับเอเธอร์อีกนะ เรียกว่าติดหนี้บุญคุณเบลลามีเข้าให้แล้วยังได้เลย” ผมขยิบตาให้
มันตั้งแต่โลกเก่าแล้วล่ะ เรื่องที่ผมติดหนี้ชีวิตเธอคนนี้น่ะ ถ้าไม่มีเธอ ผมคงจะจมปลักอยู่กับชีวิตที่ผมไม่ต้องการ เพราะฉะนั้น..ตลอดมา..ผม..อยากทดแทนบุญคุณให้เธอ โดยการสร้างโลกที่เธอจะมีความสุขกับคนรักได้จนตาย
ถึงตอนนี้จะเปลี่ยนไปหลายส่วน อาทิเช่นเรื่องคนรักที่เปลี่ยนไป แต่เป้าหมายหลักๆก็คือการทำให้เบลลามีมีความสุข ไม่ว่ายังไงผมก็จะทำให้เธอมีความสุขให้ได้ ..ถ้าเธอและว่าที่ภรรยาของผมอีกสองคนยินยอม ผมก็พร้อมจะแต่งงานกับเธอ
แน่นอนว่าต้องยินยอมล่ะนะ ต่อให้เธอไม่อยากแต่งกับผม ผมก็จะพยายามทำให้เธอมีความสุขอยู่ดี
“ทางเราก็เหมือนกันแหละ ..ถ้าเรเซอร์ติดหนี้บุญคุณกับเรา เราก็จะติดหนี้บุญคุณกับเรเซอร์ด้วย”
“ไม่เห็นต้อ..”
ผมหยุดพูดไปเมื่อเห็นเบลลามีส่ายหัวให้
“อือ ..ก็เรเซอร์เป็นคนที่ทำให้เรารู้นี่ ว่าโลกที่หลากสีน่ะมันไม่ได้น่ากลัวเลย—เรเซอร์ทำให้เราหลงรักโลกที่มีสีสันต์ใบนี้ นั่นทำให้เรามีความสุขมากๆเลยนะ”
..โลกที่หลากกสีสินะ เหมือนเคยคุยเรื่องนี้กับเบลลามีเมื่อหลายเดือนก่อน ..
“พอกลับถึงเมืองแล้ว เราอยากจะอ่านหนังสือเล่มใหม่ แล้วก็กินไอศครีมร้านที่เปิดใหม่ ทั้งๆที่ปกติเรามักจะอยากอ่านหนังสือเล่มใหม่อย่างเดียว ไม่ได้อยากกินหรือทำอะไรเลย หลังจากเจอกับเรเซอร์และทุกคน เราเลยเริ่มมีอย่างอื่นเพิ่มมาในชีวิต”
“งงๆแฮะ ยังไงล่ะนั่น”
“หลังอ่านหนังสือเสร็จ เราก็จะมาคุยกับเรเซอร์ และเคียวยะ ..เราพอใจกับชีวิตที่มีเรเซอร์มากๆ เพราะนั้น เรเซอร์จึงเป็นผู้มีพระคุณของเราเหมือนกัน”
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็…นั่นสินะ
“เหมือนกันหมดแหละ”
“เห้ย คุยอะไรกันสองคน”
เคียวยะเข้าร่วมวงสนทนา ทำท่ากอดอกเข้มขรึมเชียว
“จะกีดกันฉันออกรึ”
“พูดบ้าๆ” ผมตบไหล่เคียวยะ
“ไม่มีทางที่จะทิ้งเคียวยะของพวกเราหรอก” เบลลามีพูดโดยที่ไม่สามารถเดาใจจริงได้
เคียวยะได้ยินก็ทำเป็นเชิดหน้าใส่
“หึ”
เคียวยะนั่งล้อมวง เป็นสามเหลี่ยม-สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา?
“เคียวยะ เมื่อไหร่จะออกหนังสือเล่มใหม่เหรอ”
“อุตส่าห์เลิกติดต่อกับ บ.ก. ไปแล้ว ดันโดนเธอทวนแทนอีก หึ โดนไอ้ บ.ก. นั่นจากมารึไงหะ”
“จะไม่ออกหนังสือเล่มต่อไปแล้ว?”
“ไว้ไม่มีตังค์ล่ะกัน สำหรับตอนนี้นอนกินค่าลิขสิทธิ์ได้เป็นสิบปี”
“น่าเสียดาย หนังสือของเคียวยะสนุกทุกเล่มเลยนะ อยากอ่านอีก”
เคียวยะนั่งนิ่งไปสามวิ
“หาเงินมาตุนไว้เพิ่มก็ดี”
“คิดมาตั้งนานแล้ว แกเนี่ย บ้ายอไปรึเปล่า”
“หนวกหู”
ผมหัวเราะลั่นกับการตอบสนองของเคียวยะ เบลลามีไม่แสดงสีหน้าใดๆ ส่วนเคียวยะทำคิ้วขมวดใส่
“สักวันจะโดนผู้หญิงหลอกเอานา บ้ายออย่างนี้อะ”
“ฉันไม่สนใจผู้หญิง”
ผมทำท่าจะชี้นิ้วใส่ตัวเอง แต่เคียวยะก็พูดดักไว้ก่อน
“ผู้ชายก็ไม่สน”
“อะไรกัน ทีเบลลามีหรือฉันขอนี่ก็ให้ทุกอย่าง แกเนี่ยซึนจริงนะ ซึนๆเคียวยะเอ้ย”
“อือ ตอนแรกก็ไม่อยากเขียนหนังสือ แต่พอเราขอ ก็ให้ง่ายๆเลย”
เคียวยะกัดฟันกราม กวาดสายตาอาฆาตใส่พวกผม แน่นอนว่าผมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะเคียวยะมันเป็นแบบนี้ตลอด
“ไม่เกี่ยวกับเพศสภาพ สำหรับฉัน พวกแกน่ะ …หึ”
จู่ๆก็หยุดพูดไป
“หึอะไรฟร้ะ พูดให้จบสิ”
“ใช่ เราอยากฟังใจจริงนะ”
เคียวยะปิดปากไม่พูดอะไรต่อแล้ว ซึ่งก็รู้ๆกันดีน่ะนะ
ผมมองเบลลามีและเคียวยะ ..บนโลกนี้ ผมมีทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดไม่ผิดแน่
กับเบลลามีอาจไม่ใช่ เพราะมันก้ำกึ่งระหว่างเพื่อนกับคนรัก อืม พูดตรงๆคือไปได้ทั้งสองลูแหละ แต่เคียวน่ะเป็นเพื่อนสนิทของแท้เลย ความสัมพันธ์ของผมและเคียวยะไม่ต่างกับยูจิและเรย์เท่าไหร่
ความสัมพันธ์เช่นนี้ รวมๆแล้วน่าพอใจมาก
ผมยิ้มมุมปาก มองทั้งสองคุยกัน
อนาคตกำลังไปได้ดี ผม..ไม่สิ ทุกคนต้องผ่านไปได้แน่ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้แน่นอน
ผมเชื่ออย่างนั้น
****
“เจอกันเด้อ” เรเซอร์พูด
“ไปดีมาดี” เบลลามีพูด
“หึ” เคียวยะสบถ
“ระวังตัวด้วยนาาาา!” เรย์พูด
“โชคดีนะครับ!” ยูจิพูด
“…” เอเธอร์ไม่ได้พูดอะไร
ทุกคนพากันโบกมือให้ฉันก่อนที่ฉันจะขอปลีกตัวออก เมื่อส่งทุกคนถึงที่อาณาจักรฟัฟนิร์แล้ว ฉันก็ออกบินไปที่ที่หนึ่งที่อยากจะไป
ฉันบินฝ่าอากาศด้วยความรวดเร็ว
ตัวฉันกำลังบินอยู่ เป็นความรู้สึกที่แปลก แต่ไม่ได้รังเกียจอะไรเลยสักนิด เหมือนกับสัญชาตญาณด้วยซ้ำ
ฉันบินตามสัญชาตญาณมหามังกร
เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย ฉันเข้าไปแอบในป่าและกลับร่างเป็นมนุษย์
สภาพชุด หน้าหรือผมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันจึงเดินออกจากป่าและอ่านจดหมายที่คาลอสให้มาทวนอีกครั้ง
ในจดหมายมันไม่ใช่จดหมายที่ใครสักคนส่งให้ แต่เป็นจดหมายบอกสถานที่ที่หนึ่ง ..แน่นอน เป็นที่ที่ฉันอยากไปที่สุดในตอนนี้ จึงขอตัวมาแทนที่จะนั่งๆนอนๆเล่นกับทุกคนต่อ
“..ทางนี้สินะ”
ฉันตรงไปตามที่จดหมายแนะนำ ซึ่งเป็นตัวเมืองเล็กๆที่มีครอบครัวอยู่ไม่น่าเกินยี่สิบหลัง ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่าง เป็นพื้นที่ชนบทของแท้
..แต่มันเป็นสถานที่ ..ที่ฉันต้องมาให้ได้
ตรงไป ตรงไป ตรงไป เพราะไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร เรียกว่าเป็นเพียงหมู่บ้านยังได้ฉันจึงเดินนิดเดียวก็ถึงที่หมาย ซึ่งอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว
มันคือ ‘หลุมศพ’ ขนาดเล็ก ทำจากไม้และตะปูเหล็ก ไม่ได้ดูหรูหราอะไร เป็นป้ายทุนต่ำที่เอาของข้างทางมาประกอบกันก็ได้
ถ้าหากบนป้ายไม่ได้เขียนชื่อ ‘แอน’ เอาไว้ ฉันคงไม่มา
ใช่แล้ว นี่คือหลุมศพของแอน ผู้เปรียบได้ดั่งแม่ของฉัน
“..ก่อนอื่นก็..อ่า”
ลืมเตรียมดอกไม้มาเลย สงสัยรีบเกิน
“คือ–ไม่ได้เจอกันนานนะ ..อือ ฉันสบายดี มากๆเลย ตอนนี้เหมือนจะได้ชีวิตที่เป็นอิสระมาแล้วด้วย จากนี้ก็จะมีความสุขให้มากๆ ..คือ..ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันน่ะ เพราะถึงพูดไปแอนก็คงไม่ได้ยิน”
ไม่ต่างกับพูดคนเดียว มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัดเท่าไหร่ ..
“เอาเป็นว่า เอ่อ ..รักนะคะ”
ฉันโค้งศรีษะให้หลุมศพ ค้างไว้หลายสิบวิจึงกลับมายืนตามปกติ
“ถ้าได้ยินก็วางใจได้เลยนะ ..ฉันมีความสุขอยู่ล่ะ หายห่วงนะ”
ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าแอนตอบได้ พวกเราคงได้คุยกันเป็นชั่วโมง
น่าเสียดายนิดหน่อย
ขณะที่ฉันจะหันหลังกลับนั้นเองแอนก็โผล่มา
แอนเหมือนเดิมทุกอย่าง เธอเดินมาอยู่ตรงหน้าฉัน สบตากับฉันและยิ้มให้..
“..แอน”
แอนเอียงหัว ท่าทางดูสงสัยเอามากๆ
คำพูดต่อไปของเธอ ทำให้ใจฉันแทบสลาย
“ใครเหรอคะ?”
ทว่า
“เป็นคนรู้จักของแม่ฉันรึเปล่าคะ?”
เหมือนว่าเธอจะไม่ใช่แอน แต่เป็นลูกแท้ๆของเธอ หน้าอย่างกับถอดแบบมา ทำเอาเข้าใจผิดหมดเลย เผลอคิดไปว่าแอนอาจมีพลังเหนือมนุษย์ ฟื้นฟูตัวเองเหมือนหลายๆคนก็ได้
เผลอคิดเป็นตุเป็นตะเลยล่ะ ว่าแอนอาจจะยังไม่ตาย ที่แท้ก็เป็นลูกของแอนต่างหาก
แอนเคยบอกว่ามีลูกรึเปล่านะ นานแล้วด้วย จำไม่ค่อยได้เลย
ฉันจ้องหน้าลูกของแอนไม่วางตา อายุน่าจะน้อยกว่าพอตัว อายุตอนนี้ไม่น่าเกินสิบป้าปี หรือก็คืออายุน้อยกว่าฉัน
ที่แน่ๆเป็นคนที่ดูใจดีเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย
“เอ่อคือ..”
คงจ้องมากไปหน่อย
“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนรู้จักของแม่เธอน่ะ ..ชื่อหนิงนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ไม่คิดเลยว่าคนรู้จักของแม่จะสวยขนาดนี้”
สวยสินะ ฉันสวย อืม ก็จริงนะ แต่พออยู่กับยูจิแล้วรู้สึกความสวยตัวเองมันไร้ค่าชอบกล
“ไม่หรอก”
“ไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้ค่ะ ฮิฮิ”
เธอหัวเราะ เหมือนกับแอนมากๆ ..
“ว่าแต่คุณกับแม่มีความสัมพันธ์กันยังไงหรือคะ” เธอยิ้ม “คือแม่ฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้น่ะคะ เลยสนใจนิดหน่อย”
..ความสัมพันธ์กับแอน
ไม่ต่างกับเธอเท่าไหร่หรอก–
“–ฉันเป็นลูกของแอนน่ะ”
ลูกสาวของแอนเงียบไปห้าวิก่อนจะอ้าปากกว้างด้วยท่าทีตื่นตระหนก—
“พ่ออออออออออ!!!!! ไปแอบทำลูกไว้แล้วทิ้งเหรอคาาาาาาาาา!!!!!?”
ซะ..ซะนั้น
จากนั้นก็ปรับความเข้าใจแล้วคุยเล่นกับครอบครัวของแอนจนดึกดื่น จากนี้ก็ว่าจะมาเยี่ยมบ้าง อย่างน้อยเดือนล่ะครั้ง
****
ณ อาณาจักรเนลยอน ใจกลางเมืองมีคนพิลึกสองคนกำลังก่อเหตุทะเลาะวิวาท
มหามังกรวารี ‘เนลยอน’ กำลังลากมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งนาม ‘วิน’ ไปตามพื้นด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ปล่อยนะ!!!”
“หุบปากไปไอ้ลิง บอกให้ไปทำงานไงเล่า”
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ มะรืนฉันพึ่งกลับมาจากป่ามหาภูตเอง มาตอนนี้ก็บอกให้ไปที่ไหนอีกก็ไม่รู้ ใช้งานกันหนักไปแล้ว ไม่ไปเองซะเลยล่ะ เก่งนักนี่!”
เนลยอนโยนวินไปชนกับกำแพงบ้านคนแถวนั้น แน่นอนวินไม่ได้รับความเสียหายใดๆแต่ก็เป็นการกระทำที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
วินไม่ได้เจ็บแต่ก็ทำเป็นอวดครวญกลิ้งไปมาตามสไตล์สาวซ่าพูดมาก
“ทำงานซะ”
“ไม่เอา!”
“จะทำไม่ทำ คิดดีๆ”
เนลยอนพูดขู่ เนลยอนมีเรื่องให้ขู่วินเป็นรอยๆเรื่อง วินเลยรู้สึกเจ็บใจขึ้นมา
“เชอะ! ก็ได้ๆ แล้วเนื้อหางานล่ะ หวังว่าจะไม่ไปที่ที่ไกลอีกนา ฉันเองก็มีอาการโฮมซิกเหมือนกันนะ คิดถึงบ้านมากๆเลยนา สงสารกันหน่อยก็ดี”
ทั้งหมดที่พูดมา เนลยอนหาได้สนไม่ เขาลงมือสั่งแบบไร้ความปราณี
“จงไปอาณาจักรฟัฟนิร์ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือครองยูนาซะ”
วินเบ้ปากทำหน้าเหมือน ‘ว่าแล้วเชียว’
MANGA DISCUSSION