เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 102: ความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 102: ความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก
< < 83 > >
“พอที…”
“ระเบิดทุกคนที่นี่ทิ้งซะ”
สิ้นสุดคำสั่งของราชาอัลเบโด้ ..โลกก็ได้เข้าสู่ความแตกตื่น
ราวกับจุดแรกเริ่มของยุคมังกรธาตุ มานาบนโลกใบนี้ได้กระจุกไปอยู่ที่ที่หนึ่งเป็นจำนวนมาก และกำลังจะระเบิดตามที่อัลเบโด้สั่ง
รัศมีไม่ใช่แค่อาณาจักรฟัฟนิร์ บางทีอาจไกลยิ่งกว่านั้น อาจจะกระทบเมืองรอบๆหลายเมืองได้
กล่าวได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือคลื่นมานาทำลายล้างที่รุนแรงที่สุดบนประวัติศาสตร์โลก
ตัวตนเดียวที่ทำเช่นนี้ได้มีเพียงมหามังกรเท่านั้น
****
ไกลออกไป
เทพดาบผู้เป็นอาจารย์ และดาบมังกรเหล็กผู้เป็นศิษย์ได้มองไปทิศทางเดียวกับคลื่นพลัง
ปีศาจเจ็ดมหาบาปทุกตนพากันหยุดเดินและจับจ้องไปที่ๆเดี่ยวกัน
เหล่ามหามังกรพากันจับจ้องปรากฏการณ์ และลำลึกถึงเรื่องในอดีต
ผู้กล้ารุ่นที่ 100 ได้ยืนอยู่บนกองศพและมองมาทางก้อนมานาอย่างหวาดกลัว
ราชาดาบมารถึงกับต้องหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
เซียนแห่งอาณาจักรเกรลรีบหยิบหนังสือมาจดอะไรบางอย่าง
อาชญากรของโลก ‘เรน’ ได้หัวเราะมาอย่างบ้าคลั่งกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น
บุคคลสำคัญของโลกต่างรับรู้ได้ถึงมานาจำนวนมหาศาล และมีท่าทางที่แตกตต่างกันออกไป บ้างก็เตรียมตัวออกรบ บ้างก็เตรียมอุปกรณ์วิเศษที่ใช้หยุดยั้งมหามังกร
แน่นอนผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเอเธอร์รึคาลอสย่อมรู้ดีกว่าใคร
คาลอสในสภาพชุ่มเลือดยืนอยู่บนผืนหญ้า มองไปบนประสาทลอยฟ้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“ทำบ้าอะไรกัน ..อัลเบโด้..!”
คาลอสสบถออกมา และหันเหความสนใจทั้งหมดให้ปรากฏการณ์ทางมานาที่อัศจรรย์
“เล่นเมินผมเลยเหรอครับ ไม่เอาสิ”
“เอเธอร์ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ใช่แค่พวกฉัน แกเองก็ไม่น่ารอดด้วยเหมือนกัน”
“เรื่องนั้นใครสนกันล่ะ”
“โรคจิตเอ้ย!!”
ว่าแล้วเอเธอร์ก็เตะคาลอส ทางคาลอสป้องกันไว้ได้ง่ายๆและสวนกลับ
ตู้ม!!! เสียงปะทะดังสนั่นเหมือนมีอะไรระเบิด
ทั้งสองปะทะกันซ้ำไปมาเป็นสิบๆรอบในไม่กี่วิ
สิ้นสุดการปะทะเป็นชุดด้วยการที่คาลอสไอเป็นเลือดจนเสียจังหวะเอง เพราะฝืนร่างกายมามากแล้ว
เอเธอร์อาศัยจังหวะนั้นพุ่งตัวมาจะกระซากหัวใจทิ้งเสีย แต่คาลอสก็พลิกตัวหลบและใช้ดาบฟาดเข้ากลางหน้าทองจนเกิดรอยแผลขนาดใหญ่
“–โอ๊ะ” เอเธอร์ยิ้มทั้งๆที่โดนฟาด
คาลอสงัดเอเธอร์ขึ้นฟ้าและเหวี่ยงลงพื้น
ตู้ม!!!
เอเธอร์โดนกดไว้กับพื้น คาลอสใช้ดาบดึงและแทงลงไปรัวๆ
ทำซ้ำไปได้สามรอบก็โดนเอเธอร์ใช้มือเปล่าหยุดดาบได้
“แรงดีจังเลยนะ”
คาลอสไม่ตอบกลับ เขางัดร่างเอเธอร์ขึ้นฟ้าอีกทำให้พบว่าเอเธอร์โดนแทงจนทะลุท้อง
“ตายซ———–อึก!!!!”
จังหวะที่ลอยขึ้นฟ้าเอเธอร์ก็ดึงตัวเองออกจากดาบ โดยการเหวี่ยงร่างตัวเองออกข้างจนร่างทางซ้ายแหวะออกอย่างน่าสยดสยอง ทว่าเอเธอร์ยังเคลื่อนไหวได้และไม่มีท่าทีเจ็บแต่อย่างไร
“ฮ่า!”
เอเธอร์ส่งเสียงเรียกกำลังใจ พร้อมกับมือขวาที่พุ่งแล่นผ่านเกราะคาลอสไป——
“…อา..” คาลอสพึมพำ มีเลือดไหลทางจมูกและทะลักออกทางปาก “บัดซบ”
เอเธอร์ดึงมือออกจากเกราะ ปรากฏให้เห็นหัวใจที่อยู่บนฝ่ามือ และมันกำลังเต้นอยู่
ดวงตาของคาลอสเริ่มพล่ามัว เขาลงไปคลุกกับพื้นอย่างหมดทางสู้ ขณะที่ทางเอเธอร์ก็ร่างแหวะเละยังยืนเหมือนปกติ
จะบอกว่าทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บก็ได้อยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะทำให้เอเธอร์เป็นแผลไม่ได้เลยสักจุดก็ตาม
“..ไม่ไหวสินะ”
“ยื้อผมได้ขนาดนี้ก็ยอดแล้วครับ ขอชื่นชม”
“ยัง..!”
คาลอสลุกขึ้น ใช้ไหล่ขวากระแทกส่วนที่ยังไม่แหวะของเอเธอร์ เพราะส่วนที่แหวะไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้แล้ว——เอเธอร์ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งที่คาลอสกำลังทำ
“ให้ได้แบบนี้สิ—อุ้ก!!!!”
คาลอสใช้ไหล่ขวาส่งเอเธอร์ลงไปกองกับพื้น ด้วยแรงที่มหาศาลทำให้เอเธอร์กระเด็งขึ้นฟ้า—คาลอสพุ่งใส่เอเธอร์ต่อ ลากเอเธอร์ถไลไปตามพื้นดิน ด้วยแรงที่มหาศาลทำให้เกิดรอยหลมยาวไปเป็นร้อยเมตร
เอเธอร์ตอบโต้ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้คาลอสลากตัวเองไปเหมือนโดนกระทิงควิกใส่
“อึยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
สิ้นสุดแรงสุดท้าย คาลอสงัดร่างเอเธอร์ขึ้นฟ้าและเหวี่ยงลงพื้น
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!
เอเธอร์นอนนิ่งกับพื้น สภาพร่างกายเละกว่าเก่า ซึ่งแต่เดิมสภาพก็ควรตายๆไปแล้วด้วย
กล่าวคือเอเธอร์อยู่ในสภาพที่คล้ายคนตาย
“..น่าประทับใจมากครับ สมกับเป็นราชาอัศวิน ..หึ หึ”
ทว่าเอเธอร์ยังกล่าวชมได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางคาลอสที่หมดเรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์ได้แต่ยืนนิ่ง เพราะขยับร่างกายกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เอเธอร์ลุกขึ้นยืน ควักหัวใจออกมาจากข้างหลัง ซึ่งนั่นเป็นหัวใจของคาลอส มันยังเต้นอยู่ด้วย
“..สัตว์ประหลาดเอ้ย”
“อย่าได้โกรธผมเลยนะคาลอส”
เอเธอร์หยิบขวดกระจกสีทองขึ้นมา เปิดมันออกและลากลงตัว
ร่างของเอเธอร์เลือนแสงแวววับ ก่อนที่ร่างกายจะกลับมาแข็งแรงเหมือนก่อนต่อสู้
แม้แต่ชุดสูทสีขาวเองก็มีสภาพดีเยี่ยมไปด้วย
คาลอสเบิกตาโพงกว้าง
“..ยานั่นมันอะไร”
“คนสมัยก่อนเรียกมันว่า ‘โพชั่น’ ครับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่หายสาบสูญ เพราะปัจจุบันไม่มีวัตถุดิบให้ทำ แล้วก็เป็นพลังที่เกินสามัญสำนึก..ผมมีอยู่สามอัน แต่ดันพลาดท่าให้คาลอสเข้า จึงต้องเอาออกมาใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ล่ะ แหม่ ประมาทไปซะได้ตัวผม”
คาลอสยืนอึ้ง
“ผมคงต้องใช้ชีวิตแบบระวังสักหน่อยแล้วล่ะ ..แล้วทางคาลอสสู้ต่อไหวรึเปล่าล่ะครับ?”
ตลอดการต่อสู้เอเธอร์ไม่ได้เอาจริง แค่เผลอพลาดให้คาลอสจังหวะเดียวจนเกือบตายเท่านั้น ..คาลอสถึงกับขนลุก
ตัวเองทุ่มสุดตัว ทำได้แค่เกือบชนะเอเธอร์ตอนไม่เอาจริง
คาลอสถอนหายใจเฮือกใหญ่ และตบชุดเกราะอิจิสหนึ่งที
“ไหวสิ ..”
เกราะอิจิสเลือนแสงวับหนึ่งจังหวะ ร่างของคาลอสร้อนละอุขึ้นมา ไม่นานไอความร้อนก็หายไป
“ผู้สวมใส่เกราะอิจิสไม่มีวันตาย ..เป็นเพราะอย่างนี้เองสินะครับ”
เอเธอร์ใช้ดวงตามหาปราชญ์วิเคราะห์ด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่แค่ไม่สามารถถูกทำลายได้ มันยังป้องกันไม่ให้ผู้สวมใส่ตายด้วย การจะชนะได้จำเป็นต้องลากผู้สวมใส่ออกจากเกราะอิจิสเท่านั้น แต่ว่านะ ไม่ว่าทางไหน ถ้าเกิดคาลอสในสภาพไร้หัวใจออกจากเกราะอิจิส คาลอสก็ได้ตายอยู่ดี แหม่ เหมือนว่าผมจะผิดสัญญาที่ว่าจะไม่ฆ่าใครซะแล้วสิครับ ..ต่อจากนี้ผมแค่หาวิธีลากคาลอสออกมาจากเกราะให้ได้ก็เป็นอันจบสินะ” เอเธอร์หัวเราะเบาหวิว “ถ้านั้นก็มาต่อกันเถอะครับ สู้กันจนกว่าโลกนี้จะแตกเลยดีรึเปล่านะ”
ก้อนมานาปริศนากำลังกางตัวออก อีกไม่นานได้เกิดการระเบิดขึ้นแน่
คาลอสได้แต่กัดฟันไว้แน่นด้วยความที่ตัวเองไม่มีพลังพอจะชนะเอเธอร์อย่างเด็ดขาด ทำให้อีกไม่นาน อาณาจักรฟัฟนิร์แห่งนี้จะถูกลบออกจากแผนที่
****
ผม ..ไม่ใช่แค่ผม ทุกคนบนประสาทลอยฟ้า ได้แต่ยืนอึ้งกับคำสั่งของอัลเบโด้
มีเพียงหนิงที่หันไปพยักหน้าให้อัลเบโด้และควักหัวใจตัวเองออกมา ..ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจดังสนั่นตามโถงทางเดิน
มันเลือนแสง แสงจ้าขึ้นเรื่อยๆคล้ายกำลังจะระเบิด
จำนวนมานาที่มหาศาลไหลเข้ามา ผมแทบจะอ้วกเพราะอยู่ใกล้ที่สุดและสัมผัสปฏิกิริยามานาได้ดีกว่าทุกคนเพราะเป็นนักเวทย์ชั้นเลิศ
ยังดีที่ผมพอจะกั้นร่างกายไว้ได้ กลับกัน ตอนนี้ผมเดือดได้ที่ ไม่สามารถยั้งอารมณ์โกรธไว้ได้
“ไอ้…ไอ้เวรนี่!!!!”
ผมพุ่งไปหาอัลเบโด้ด้วยท่าทางเดือดดาล อัลเบโด้ที่สภาพเหมือนกับศพทั้งๆที่ร่างกายปกติดีก็ลุกขึ้นยืนทำท่าจะสู้ แต่ก็ถูกผมกระซากคอเสื้อจนลอยขึ้นฟ้าก่อน
“ทำบ้าอะไรของแกว–!!!”
“ปล่อยนะ!”
อัลเบิร์ตลูกชายแสนดีพุ่งมาผลักผม แต่แรงสู้ไม่ได้ทำให้ตัวผมไม่กระดิกเลยสักนิด ..ทางมิร่าตอนนี้ก็ถึงกับเข่าทรุดลุกยืนไม่ไหว ส่งสายตาสิ้นหวังมาทางพวกผม
..ทางอัลเบโด้ที่เป็นพ่อของเจ้าพวกนี้ไม่ได้สนลูกตัวเองสักนิด
“รีบสั่งให้หนิงหยุดซะ”
“..”
“บอกให้สั่งไง”
“ทำไม่ได้หรอก ..หึ..ฮา..ฮา..ทำไม่ได้แล้ว”
อัลเบโด้พูดด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง หัวเราะอย่างเสแสร้ง
เป็นใบหน้าของคนที่อยากตาย
“ต่อจากนี้ไม่มีใครหยุดการระเบิดของมหามังกรได้อีกแล้ว มานากำลังรวมกัน มันสายเกินไปตั้งแต่ที่หัวใจของเจ้าหญิงมังกรมันเลืองแสงแล้ว ..ต่อจากนี้…ฉันกำลังจะตาย พร้อมไปกับทุกสิ่งที่อยู่บนบ่าของฉัน—มันคือการรับผิดชอบยังไงล่ะ ฉันจะรับผิดชอบที่ทำให้อาณาจักรนี้มันโสโครกได้ขนาดนี้เอง” อัลเบโด้พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “จบกันแค่นี้แหละ ..ได้เวลาจบทุกอย่างแล้ว..”
“ถ้าจะตายก็ตายไปคนเดียวเถอะ”
ผมโยนอัลเบโด้ทิ้งเหมือนโยนขยะ—พร้อมกันนั้นสัญญาณเรียกของเคียวยะก็ดังขึ้น
‘เรเซอร์รีบหนีเร็ว!!! ถ้าตอนนี้ยังทันอยู่’
ถ้าพวกเราหนีแบบสุดตัว ทุ่มทุกมานาที่มี คงจะพอพ้นระยะได้แบบสิวเสียด แต่..หนิงล่ะ?
การระเบิดตัวเองไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย หนิงกำลังจะตายจริงๆหลังคำสั่งของอัลเบโด้ พร้อมไปกับอาณาจักรฟัฟนิร์
..ที่อาณาจักรฟัฟนิร์ ผมมีพี่สาวอยู่ มีว่าที่ภรรยาอยู่สองคน มีเพื่อนสนิทอีกสองคน แล้วก็เพื่อนนอกโรงเรียนอีกคนสองคน มีคนรู้จักมากมาย มีร้านอาหารร้านโปรดอยู่ด้วย
ทุกอย่างกำลังจะถูกลบหายไป มีแค่พวกผมกลุ่มเดี่ยวที่รอดเท่านั้น
แบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก
“เคียวยะวิเคราะห์ปริมาณมานาที”
‘คิดจะทำอะไร’
“ฉันจะหยุดมันเอง”
ต่อจากนี้ผมควรโดนด่า ทว่า
‘..เข้าใจแล้ว’
ไม่คิดว่าเคียวยะจะเชื่อกันง่ายขนาดนี้ น่าชื่นใจชะมัด
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปมองยูจิที่ยืนหน้าซีด
“เห้ย ตั้งสติหน่อยพวก”
ผมตบหลังยูจิเบาๆ แต่ยูจิกลับสะดุ้งเฮือกเหมือนคนกลัวการเข้าสังคมเวลาโดนคนแปลกหน้าทัก
“..ไหวรึเปล่า”
“วะ ไหวครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
“อ่า ต่อจากนี้แหละของจริง อย่าพึ่งหมดสภาพไปก่อนล่ะ”
ผมยิ้มให้ยูจิ ยูจิเห็นก็ยิ้มรับ
ทางมิร่าที่เห็นพวกผมกำลังจะเริ่มทำอะไรแปลกๆก็ส่งเสียงทัก
“ดะ เดี่ยวสิ คิดจะทำอะไรกันน่ะ”
“หยุดหนิงไง”
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ แม้แต่ท่านพ่อยังทำไม่ได้ แล้วพวกนายจะทำได้ยังไงกัน!?”
ผมหยักไหล่และยิ้มกวนๆให้ยัยน้องเล็ก
“คิดว่าพวกฉันเป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากันรึไงหะ ที่อยู่มาพูดพล่อยๆน่ะมันเธอต่างหากเล่า” ผมชี้นิ้วโป้งเข้าหาตัวเองอย่างอวดดี ที่ทำเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง การบัฟยังไงล่ะ! “ที่อยู่ตรงหน้าหล่อนคือผู้ครอบครองวิญญาณระดับเทพ ที่เป็นตัวการหลักในการโค่นมหามังกรเชียวนะ”
มิร่าและอัลเบิร์ตพากันตกใจร้องลั่น ทางอัลเบโด้ไม่ได้ทุกข์หรือยินดีกับอะไรอยู่แล้วจึงนั่งมองผมอย่างเฉยชา
“ผู้ครอบครอง ..วีรสตรียูนาสินะ ไม่ใช่แค่เด็กนี่..แกเองก็ด้วยเรอะ”
“ในที่นี้มีผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพถึงสองคน คิดเหรอว่ามหามังกรตัวเดียวทางนี้จะเอาไม่อยู่น่ะ”
ถ้าเอาอยู่จริงๆตูไม่มายืนพล่ามบัฟตัวเองหรอกเว้ยเห้ย!!
ผมยิ้มทั้งๆที่เหงื่อตก ในที่นี้เหมือนจะมีแค่อัลเบโด้ที่ดูออก แต่เขาก็ไม่ได้พูดแซะอะไร
“..จะทำอะไรก็ทำไป..ยังไงซะก็ไม่ไหวหรอก”
นั่นสินะ ว่าตามตรงก็อย่างที่อัลเบโด้พูดเลย
ถ้าเป็นการระเบิดตัวของมหามังกร ต่อให้วิญญาณระดับเทพก็เอาไม่อยู่ ถึงพวกเขาจะเอาชนะมหามังกรได้ในการดวลตัวต่อตัวแน่ๆ แต่การหยุดยั้งพลังของมหามังกร เป็นเรื่องที่เกินมือไปมาก
..แต่ว่ามันมีวิธีอยู่ และผมไหวแน่ๆ
ผมจะขอเชื่ออย่างนั้น
ผมมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้ไปในทางที่ดีขึ้น จะให้มันจบได้ที่ไหน
“.. [ตัดมิติ]-[ถลายขีดจำกัด]”
ร่างของผมถูกตัดมิติ และเลือนแสงขึ้นมา
ช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดของผมปรากฏมาอีกครั้ง ใช้ติดต่อกันแบบนี้ เสี่ยงเป็นภัยย้อนหลังสุดๆ
‘เข้าใจแล้วก็ช่วยอย่าหาเรื่องใส่ตัวด้วยคะ’
มันช่วยไม่ได้นี่น่า!
ยูนาหัวเราะขึ้นจมูก ไม่ได้จริงจังอะไร
“ยูจิเตรียมใช้อลันไว้ได้เลย!”
“จะทำอะไร..นั้นเองเหรอครับ” ยูจิเองก็ยิ้มเห็นพ้องต้องกัน “เข้าใจแล้วครับ!”
—-แผนคือผมจะตัดมิติ ย่อส่วนพลังของหนิง และให้ยูจิส่งมันออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
มีแค่นี้แหละ ที่เหลือวัดกันที่ขีดจำกัดมานาอย่างเดียว
เป็นไปได้ส่วนการแยกส่วนมานาอยากให้ยูจิทำมากกว่า เพราะมานายูจิเยอะกว่าผมมาก แต่อลันน่ะช้าเกินไป ต้องใช้ยูนาที่เร็วกว่ามากถึงจะเหมาะที่สุด
ผมรวบรวมมานาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสะบั้นมิติเป็นหมื่นๆครั้ง-
“..สุด..ยอด”
มิร่าร้องออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย อัลเบิร์ตพึมพำเบาหวิว “นี่เหรอ พลังของท่านวีรสตรี”
พลังของยูนาเป็นที่ประจักษ์ให้ราชวงศ์แห่งอาณาจักรฟัฟนิร์เห็นอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อสมัยอดีต
สุดท้ายอัลเบโด้ มองอย่างไม่เชื่อสายตา
“..เอาล่ะนะยูนา!!”
‘เอาให้อลังการไปเลยค่ะ มาสเตอร์’
—-ดาบสีม่วงพุ่งผ่านอากาศ เป้าหมายคือหนิง—-
[ตัดมิติ] พุ่งออกไปเป็นพันๆครั้ง เกิดกระจกแตกขึ้นเป็นพันๆครั้ง ร่างของหนิงกลายเป็นเศษกระจกเช่นเดียวกับพลัง
ตรงหน้ามีแค่ก้อนมานาที่ถูกตัดมิติ มันไม่ได้รวมกับหัวใจและร่างของหนิง
ผมแยกมานาทั้งหมดออกจากตัวหนิงได้เรียบร้อย—ทำสำเร็จแล้ว
“ตอนนี้แหละ!!”
ผมให้สัญญาณยูจิ—แขนสีฟ้าแหวกอากาศจากข้างหลังพุ่งเข้าใส่หนิงเช่นเดียวกัน แขนนั้นยกก้อนมานาขึ้นและส่งมันไปบนอากาศ
ยูจิเร่งขีดจำกัดตัวเองสุดตัว ทุ่มมานาทั้งหมดใส่เข้าไป และ—-เรียกใช้งาน ‘พลังของทวยเทพ’
ดวงตาของยูจิกลายเป็นสีเหลืองในเชี่ยววิหนึ่ง พร้อมกับขีดจำกัดทางพลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
ทั้งหมดทำให้พลังของหนิงลอยไปอยู่ไกลลับสายตา
…
….
…
เวลาหยุดนิ่ง พร้อมกับเสียงระเบิดบนท้องฟ้า
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แม้จะส่งไปไกลมากแล้ว แต่แรงกระแทกย้อนหลังก็กลับมา ..แรงลมมันมหาศาลพอจะทำให้ประสาทนี้ร่วงลงพื้นได้
ไม่สิ มันกำลังจะร่วงแล้วต่างหาก
หลังจากระเบิดจบ ผมก็ทิ้งตัวลงพื้น ต่างกับยูจิที่ทำเพียงเช็ดเหงื่อเท่านั้น
…มานาเยอะไปแล้วเจ้าบ้านี่ ถ้าให้เทียบผมมีมานาสุดตัวแค่ห้าแสน แต่ยูจิมีประมาณร้อยล้านล่ะมั้ง สัตว์ประหลาดรึไงเนี่ย
บนโลกนี้ให้ตีเป็นตัวเลข มานาคนปกติประมาณแค่ 10,000 เดียวนี่แหละ ผมมีตั้ง 500,000 นี่ว่าโกงแล้ว ไอ้ยูจิมันมีเป็น 100,000,000 โกงกว่าชาวบ้านไปไกลโขเลย
นี่แหละนะ พระเอก
“..จบแล้วเหรอครับ?”
“อ่า แต่เกือบซวยกันหมดแล้วน่ะนะ”
เมื่อพ้นจุดอันตรายแล้วยูจิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยูจิที่ยังมีแรงอยู่ก็ตรงดิ่งไปหาหนิง
..โอ๊ะ
เหมือนว่าหนิงจะได้สติแล้ว
หนิงมองซ้ายขวาไปมา คงแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกัน แต่น่าจะมีความทรงจำย้อนหลังมาให้ด้วยทำให้หนิงมีสีหน้าที่หดหู่ขึ้นมา แต่พอเห็นยูจิกำลังวิ่งไปหาด้วยท่าทางดุกดิกน่ารัก ความเศร้าใจก็หายเป็นปริดทิ้ง หนิงยิ้มร่าพุ่งกอดยูจิ และหมุนหัวไปมาบนผมยูจิ มีแอบดมด้วย เพราะตัวสูงกว่าหน่อยๆเลยทำได้ เป็นการรุกที่ไม่ได้ตั้งใจ ปกติไม่มีทางใจกล้าทำขนาดนี้แน่นอน
ยัยบ๊องที่แค่จะคุยกับคนที่ชอบยังไม่กล้า ตอนนี้มาดมหัวคนเขาเป็นว่าเล่น น่าตลกชะมัด
ผมนั่งมองส่งด้วยรอยยิ้ม ..นี่แหละนะ หน้าที่ของผม
‘เบลลามีฝากบอกว่าเดี่ยวจบเรื่องจะกอดให้ได้หนึ่งที’
‘เดี่ยวนะเคียวยะ เราไม่ได้พู–”
เสียงตัดไปก่อนจะพูดจบ แต่ก็พอเดาๆได้อยู่แล้ว ..เคียวยะนี่ก็ขี้แกล้งเหมือนกันแฮะ
ทางสายเลือดราชวงศ์ต่างนั่งลงกับพื้นอย่างโล่งอก น่าจะหมดแรงกายจากเหตุการณ์เมื่อครู่เหมือนผม นี่แหละปฎิกิริยาของคนปกติ ไม่ใช่ยัยมังกรมานาไร้ขีดจำกัด และมนุษย์ที่มีมานาเข้าขั้นติดบัคของโลก
..อัลเบโด้ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเดิม ยังมีสภาพเหมือนศพเหมือนเก่า
ไม่ว่าจะรอดหรือไม่รอด สำหรับอัลเบโด้จะยังไงก็ได้ ..ไม่สิ ..บางทีต่อจากนี้อัลเบโด้อาจจะ ..
..เอาเถอะ จะทำยังไงก็เรื่องของมัน
ถ้าเป็นอย่างที่ผมสังหรณ์ อาณาจักรนี้ได้เข้าสู่ความโกลาหลแน่ แต่ตัวผมหลังจบเรื่องก็ต้องอพยพออกจากที่นี่อยู่แล้ว ไม่ใช่เวลามาใส่ใจชาวบ้านหรอก
ผมใช้แรงที่มีเพียงน้อยนิดยกร่างขึ้น และเดินไปหาอัลเบโด้
ไม่ได้จะปลอบใจ แค่คุยเรื่องที่ต้องคุยต่อจากนี้
“ขอตัวหนิงไปล่ะนะ”
“..ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ?”
“แกได้ตายคามือฉันแน่”
อัลเบโด้ได้ยินก็หัวเราะขึ้นจมูก คล้ายเยาะเย้ยตัวเอง
“ข้อแรกเจ้าหญิงมังกร..หมายถึงหนิง ห้ามออกจากอาณาจักรฟัฟนิร์ พวกนายจะต้องดูแลเธอไม่ได้โดนชิงตัวไปได้ ..ข้อสองหลังจบการศึกษา แกจงเข้าเป็นกำลังหลักให้อาณาจักรฟัฟนิร์ซะ ..ข้อสุดท้าย ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน เรียกใช้หนิงให้เต็มที่”
“แต่ล่ะข้อทางนี้ไม่เห็นต้องตกลงเลย”
ยังไงเดี่ยวพวกผมก็จะโดนออกล่าแล้วด้วย จำเป็นต้องเตรียมตัวหนีจากที่นี่โดยเร็ว
ปลายทางที่จะไป คิดๆไว้คือป่ามหาภูตล่ะมั้ง
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ความผิดในคราวนี่จะถูกบิดเบือน ..พวกเธอจะไม่ใช่คนร้าย พวกเธอจะเป็นแค่ผู้เสียหายเท่านั้น”
…คิดอะไรอยู่กันนะ
“เข้าใจแล้ว ตกลงตามนั้นก็ได้ อ๋อ แล้วก็อีกเรื่อง เหมือนว่าเอเธอร์จะทรยศนายเข้าให้แล้วล่ะ พวกฉันเลยบุกขึ้นมาบนประสาทได้”
“..นั้นเหรอ”
ไม่ได้สนใจสักนิด ทำเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น
“ให้เดา เอเธอร์ตอนนี้คงอยู่ฝ่ายเดียวกับแกใช่มั้ยล่ะ แค่แกเข้าร่วมอาณาจักรฟัฟนิร์หลังจบการศึกษา ก็เป็นหลักประกันแล้วว่าเอเธอร์จะยังเป็นมิตรต่อไป ..สำหรับหมอนั่นขอแค่อยู่ไว้เป็นหลักประกันก็พอ
แล้วก็ พิธีส่งต่อสายเลือดของหนิงจะถูกเลื่อนไปสี่ปี ..พวกเธอจะทำยังไงต่อก็แล้วแต่เลย จะหนีหรือฝ่าฝืนก็ตามแต่ ถึงตอนนั้นก็รับผลที่ตามมาด้วยซะ ..แล้วก็พรุ่งนี้อาจจะมีประกาศสำคัญ ตั้งตารอไว้ได้เลย”
พูดจบอัลเบโด้ก็พิงหัวกับซากแถวๆนั้น ..อยากจะนอนเต็มทนแล้ว
“แล้วก็ช่วยบอกเอเธอร์ให้หยุดสู้กับคาลอสด้วย ฉันไม่อยากให้เกราะอิจิสเป็นลอย”
“ไม่เป็นห่วงคาลอสเลยสินะ”
“หน้าที่ของคาลอสคือการตายเพื่ออาณาจักรอยู่แล้ว”
ไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นราชาเลยนะ ..แหงล่ะ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เข้าใจน้ำหนักที่ราชาต้องแบกรับหรอก
ในท้ายนี้ผมก็ไม่มีทางเข้าใจอัลเบโด้ ได้แต่โกรธเขา เพราะอัลเบโด้ผิดจริงๆ แต่ไม่มีทางเข้าใจ ..นั่นน่าตลกดีเนอะ โกรธเขาได้แท้ๆแต่ไม่ได้เข้าใจเขาเลยสักนิด และแน่นอน จะยังไงก็ช่าง ผมไม่จำเป็นต้องเข้าใจอัลเบโด้ อัลเบโด้เองก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจพวกผม
มันก็แบบนี้แหละ แค่ใช้ชีวิตของตัวเอง ตามเป้าหมายตัวเองไปเรื่อยๆ
การเข้าใจอีกฝ่ายน่ะ มีไว้ให้แค่คนที่เป็นมิตรก็พอ ถ้าเราไปเข้าใจตัวศัตรูด้วยเข้า ..ความตั้งใจอาจจะแกว่งเอาได้
ว่าตามตรง ผมควรเข้าใจอัลเบโด้ด้วยสักนิดก็ดี แต่ถ้าอัลเบโด้ไม่อธิบายผมก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก
ความรู้สึกที่คอยนำพาผู้คนน่ะมันอธิบายได้ยาก บางคนรู้ดีว่าตัวเองทำผิดแต่ก็ยังทำ มันก็เป็นเพราะกลไกในจิตใจนั่นแหละ บางที แค่ บางทีนะ ถ้าเกิดผมเข้าใจอัลเบโด้ บางทีผมอาจจะนั่งข้างๆอัลเบโด้และปลอบใจก็เป็นได้ ต่อให้หมอนี่จะทำให้เพื่อนผมทุกคนเกือบตาย แต่ถ้าผมเข้าใจ ผมคงจะนั่งข้างๆมันน่ะนะ
แต่โทษทีวะ ตอนนี้ผมไม่เข้าใจ มีแต่ความโกรธเท่านั้น ผมไม่ใช่คนดีที่พร้อมจะช่วยเหลือทุกคนด้วย เพราะฉะนั้นอัลเบโด้ ต่อจากนี้นายจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองต่อยังไง จะลุกขึ้นสู้กับชีวิตหลังจากนี้ได้รึเปล่า จะก้าวข้ามตัวเองได้มั้ย มันไม่ใช่เรื่องของฉัน
ถ้าจะตายก็ตายไปซะ ตายไปคนเดียวนี่แหละ จะตายยังไงก็เรื่องของแก ถ้าอยากตายนักก็ตายไปเลย ..แน่นอนถ้าคิดจะลากพวกฉันไปด้วย อย่าหวังว่าฉันจะปล่อยแกไปเลย
เรื่องคราวนี้ถือว่าเป็นการเตือนล่ะกัน
“ตามนั้น แล้วทางนายจะเอายังไงต่อล่ะ ประสาทกำลังร่วงแล้วนะ”
ตามที่คาดไว้ ตัวประสาทพังหลายส่วนเลยกำลังร่วงลงพื้น พวกผมเองก็จำเป็นต้องรีบออกจากประสาทให้เร็วที่สุด
“ประสาทเทล่าเทล มีระบบกันตกอยู่ ..ไม่มีทางที่ประสาทจะร่วงลงพื้นได้หรอก ..ไม่มีทาง ไม่นานคงจะซ่อมตัวประสาทได้ทัน เพราะฉะนั้นหายห่วง”
เสียงของอัลเบโด้แผ่วเบาขึ้นเรื่อยๆ
“เหรอ นั้นไปล่ะ”
ผมไม่สงสัยในคำพูดอะไรทั้งนั้น แต่ก็รู้ดีว่าอัลเบโด้กำลังจะฆ่าตัวตาย
ต่อจากนี้ประสาทกำลังร่วงลงพื้น มันไม่มีระบบป้องกันภัยอะไรทั้งนั้น อัลเบโด้โกหกทั้งหมด และตั้งใจจะปล่อยให้ตัวเองตายพร้อมกับทุกคนบนประสาทที่หนีไม่ทัน
สุดท้ายก็หาเรื่องลากคนอื่นไปตายด้วยอยู่ดี เป็นชายที่น่าสิ้นหวังขนาดนั้นเลยแหละ
ตอนนี้ขอแค่ตัวเองตายได้เร็วที่สุด คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง ..ต่อให้ข้างๆมีลูกแท้ๆของตัวเองอยู่ตั้งสองคน แต่อัลเบโด้ก็ยังปารถนาความตาย
ผมคิดว่าคนแบบนั้นน่ะตายๆไปเถอะ ผมไม่ได้ใจดีขนาดไปปลอบศัตรูของตัวเองหรอก
ยูจิและหนิงเห็นผมคุยธุระเสร็จก็เดินตามมา ยูจิไม่เห็นถึงความผิกปกติอะไร ต่างกับหนิง
..หนิงเลือกที่จะหยุดเดิน เธอหันไปมองอัลเบโด้ด้วยแววตาที่..อธิบายได้ยาก
“คือ..ไปกันก่อนเลย ฉันขออยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย”
“จะดีเหรอครับ?” ยูจิถามอย่างเป็นห่วง
“ช่างเถอะน่า พวกมันไม่คิดแตะหนิงแล้วล่ะ”
ยูจิดูลังเลแต่ก็รับฟังผม หนิงยิ้มส่งให้ยูจิและหันกลับไปหาอัลเบโด้
ผมเข้าใจว่าหนิงจะทำอะไรหลังจากนี้ ..
****
(มุมมองของหนิง)
“ไม่เห็นรู้เลยนะว่าเทล่าเทลมีระบบรักษาความปลอดภัยนั่นด้วยน่ะ ..”
ฉันเดินเข้าไปทักอัลเบโด้ ผู้เป็นพ่อ..ไม่สิ แค่ตัวแทนที่ให้กำเนิดฉันเท่านั้น
“..”
อัลเบโด้ไม่ตอบ ฉันพูดต่อ
“นายเคยเห็นฉันเป็นลูกรึเปล่า”
“ไม่เคย ตั้งแต่เกิด เธอไม่เคยเป็นลูกของฉัน..ตอนนี้ฉันก็ยังเกลียดเธออยู่ดี”
รู้ดีว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดเพี้ยน แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม คนเราไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะความเกลียดชังที่มีมาอย่างช้านาน
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก
“ค่อยโล่งอกหน่อย”
ฉันถอนหายใจ และยิ้มร่า รู้สึกมีความสุขที่สุดที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็นฉันเป็นลูก
“ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเป็นพ่อเหมือนกันล่ะ”
ฉันไขว่แขนเข้าหากันเดินนึกอะไรได้ก็พูดออกไป
“พอมานึกย้อนดูตั้งแต่เกิดฉันก็ถูกนายขังไว้ในห้อง ไม่ได้รู้จักโลกภายนอก ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ความรู้สึกฉันก็ไม่เข้าใจ ทั้งหมดเป็นเพราะแกต้องการให้ฉันเป็นอย่างนั้น แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ฉันไม่มองแกเป็นพ่อแล้ว”
หนิงพูดไปหัวเราะไป
“พอมานึกแล้วฉันก็ขำตัวเอง ที่เคยอยากเจอแก ทั้งๆที่สภาพแวดล้อมที่ได้มันสุดจะห่วยเลย ..พอฉันมีความรู้สึก ฉันอุตส่าห์มีคนที่รักเสมือนแม่อย่างแอนแล้วแท้ๆ แต่ก็ถูกแกพรากไป ..เวลานั้นไม่ใช่แค่พ่อ ฉันไม่สามารถมองแกในฐานะมนุษย์ได้ด้วยซ็ำ เหมือนกับแกนั่นแหละ พวกเราต่างโดนพรากคนสำคัญกันและกัน ..ฉันเกลียดแกในฐานะมนุษย์
ต่อจากนี้ไม่ว่าจะสถานะไหน ฉันก็จะเกลียดแกต่อไป จะเกลียดแกไปตลอดกาล ไม่มีทางให้อภัย”
ฉันเงยหน้าขึ้นฟ้า นึกถึงเธอที่เหมือนกับแม่ของฉัน ..ตอนนี้จะเป็นยังไงนะ อยากรู้จังเลย
ถ้าเห็นฉันโตขนาดนี้ เธอจะรู้สึกยังไงนะ จะมีปฎิกิริยายังไง ..แล้วถ้าเห็นฉันไปแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งเข้าขั้นคลั่งไคล้เข้า จะโกรธรึเปล่านะ หรือจะช่วยฉันให้สมหวัง
จะยังไงก็ดี ..ไม่ว่าแบบไหนก็ดีหมดแหละ แม้ว่าทั้งหมดจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้ว เพราะแอนได้ตายไปแล้ว
ฉันเกลียดราชาอัลเบโด้จากใจจริง ..แต่
“แค่แกตายมันชดใช้กับความผิดที่พรากแอนไปจากฉันไม่ได้หรอกนะ ..แต่ถ้าอยากตายก็ตายไปเลย แต่ฟังฉันหน่อยนะ”
ฉันมองหน้าลูกๆของอัลเบโด้ หน้าตาแอบคล้ายฉันหน่อยนึง เพราะพวกเราก็พ่อคนเดียวกัน ..แต่ความรู้สึกที่มีให้ผู้เป็นพ่อมันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ฉันเกลียดอัลเบโด้ แต่เด็กสองคนนี้ไม่
นั่นคือความต่างของความรู้สึก
“อัลเบโด้..อย่าได้ละเลยคนที่อยู่กับนายตอนนี้เลยนะ”
“..”
เป็นครั้งแรกที่เขาสบตากับฉัน
“ไม่ได้มีแค่แม่ฉันนะ ที่อยู่ข้างแกน่ะ ..อย่าได้ทิ้งทุกคนนะ” ฉันยิ้มให้ “เริ่มจากไม่หนีก่อนเถอะ”
…อัลเบโด้หันกลับไปมองหน้าลูกทั้งสองคนของตัวเอง และ..น้ำตาไหลออกมา
ใบหน้าของคนอยากตายไม่มีอีกต่อไปแล้ว
อัลเบโด้สะอื้นอย่างน่าสมเพซ เป็นภาพลักษณ์ที่น่าแปลก ..ฉันไม่ชินกับท่าทางอย่างนี้เลย ไม่อยากจะเห็น ฉันจึงหันหลังให้
“ต่อให้ทำพลาดไป แต่แกก็ยังเป็นพ่อคน ..แกไม่ใช่พ่อของฉันก็จริง แต่อย่างน้อยแกก็เป็นพ่อของเด็กสองคนนี้ เพราะอย่างนั้น ..อย่าได้เมินพวกเขาโดยเด็ดขาด”
อัลเบโด้ไม่รู้ว่าเขาตอบฉันยังไง รู้แค่ไม่ได้ออกเสียง ..ฉันไม่สนภาพที่อยู่ข้างหลังอยู่แล้ว คาดว่าถ้าฉันหันกลับไปมอง ปมด้อยเล็กๆของฉันอาจถูกกระตุ้นได้ เพราะนั้นอัลเบโด้จะทำยังไงต่อฉันก็ไม่สน อยากตายก็ตายไปเลย
พูดจริงนะ ..ตายๆไปเถอะ …
ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกที่ฉันอยากเก็บเอาไว้มันถึงพุ่งออกมา ฉันไม่สามารถกั้นน้ำตาไว้ได้ ..ต่อให้ไม่ต้องเห็นภาพใดๆ ฉันก็เก็บอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่
ฉันตอนนี้ ..อาจจะกำลังอิจฉาลูกๆของอัลเบโด้อยู่ก็เป็นได้ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ร้องไห้ออกมาแบบน่าละอายอย่างนี้
แค่ฉันพยายามหันหน้าหนี มันก็ช่วยยืนยันถึงใจจริงของฉันได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังหันกลับมาเพื่อเตือนสติอัลเบโด้ แล้วยังถามอีกว่าเขาเห็นฉันเป็นลูกรึเปล่า แบบนั้นน่ะ..มัน
อา ..ว่าแล้วเชียว
ถ้าเกิดอัลเบโด้ตอบว่าเห็นฉันเป็นลูกแล้ว ต่อให้โกหก ฉันก็คงเข้าไปกอดเขาเหมือนกับลูกคนอื่นๆ …ไม่ว่ายังไง ฉันก็ยังคงอยากได้ความรักจริงๆด้วย ไม่ใช่แค่อิสระ แต่ฉันอยากได้อิสระที่แสนอบอุ่น
ฉันนี่มันไม่รู้จักเข็ดเอาซะเลย ถ้าจะโลภมากน่ะก็ให้มันน้อยๆหน่อย..เถอะ
“อึก..ฮือ..”
ฉันกลายเป็นเด็กขี้แยซะแล้ว ..ถ้าแอนยังอยู่ เธอต้องช่วยปลอบฉันแน่ๆ
เวลานี้ฉันพยายามเก็บเสียงของตัวเองให้มากที่สุด และก้าวเท้าเดินไปเพื่อหากลุ่มคนที่ฉันรัก
****
อย่างที่กล่าวไว้ ความรู้สึกของคนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ต่อให้ผมและคนสำคัญทุกคนเกือบจะตาย ถ้าเกิดผมเข้าใจอีกฝ่าย บางทีผมอาจจะไปนั่งปลอบเขาก็ได้
เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล ถ้าเขียนเป็นนิยายหมอนั่นคงโดนด่าว่าโลกสวยและถล่มเละ ซึ่งความรู้สึกมันเป็นของแบบนั้นแหละ เป็นสิ่งที่มักจะถูกก่นด่าหรือสรรเสริญเป็นประจำ และแตกต่างกันไปในแต่ล่ะคน
ผมคงเป็นกลุ่มที่ด่าพระเอกโลกสวย แต่บางคนเป็นกลุ่มที่สรรเสริญพระเอกโลกสวย ราวๆนี้
ตัวผมตอนนี้ถ้าเป็นนิยาย คงถูกนักอ่านบางประเภทสรรเสริญที่คิดปล่อยให้ศัตรูตายๆไปเถอะอย่างเลือดเย็น แต่ว่านะ ..สิ่งที่ผมทำน่ะ มันถูกต้องจริงๆเหรอ
ผมแค่ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งเท่านั้น หากมองไปดีๆ ..อัลเบโด้ไม่ควรถูกทิ้งไว้คนเดียวน่ะนะ คนที่พร้อมจะตายทุกเมื่อควรได้รับการเยียวยา
ทางผมแค่รู้สึกเกลียดหมอนั่นซะจนอยากให้ตายไปจริงๆเท่านั้น ในส่วนลึกจิตใจ ผมน่าจะกำลังสาปแช่งอัลเบโด้อยู่แน่ๆ จึงปล่อยให้มันคิดอะไรบ้าๆและทำอะไรบ้าๆไปต่อ
ถ้าพรุ่งนี้มีข่าวว่าอัลเบโด้ตาย ผมน่าจะดีใจแน่ๆ อาจจะปิดห้องฉลองเลยก็ได้ น่าจะมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่นแน่ๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ..
ผมจึงต่างกับหนิงที่เดินสวนทางผมไป
ผมไม่มีทางกล้าทำแบบหนิง ต่อให้เป็นหนิงผมก็คงไม่กล้าทำ เพราะตัวเองเป็นคนที่ได้รับผลกระทบกับอัลเบโด้มากที่สุด แต่..เธอคง ..จะเข้าใจอัลเบโด้ล่ะมั้ง หรืออาจมีเหตุผลอื่นก็ได้ แต่จะคิดว่าเพราะเป็นหนิงเลยเข้าใจอัลเบโด้ ขอคิดอย่างนั้นก็แล้วกัน
ถ้าผมอยู่ในฐานะนักอ่านผมจะด่าเธอที่แสนโลกสวย อาจพิมพ์อะไรแรงๆอย่างสมควรตายใส่ แต่ตอนนี้ผมอยู่ในฐานะเพื่อนที่อยากเข้าใจเธอ เพราะอย่างนั้นผมจะ..ยอมรับในการตัดสินใจของเธอ
จะยอมก็ได้ ..จะยอมให้อัลเบโด้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้ หากเธอต้องการ
ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง อัลเบโด้ควรอยู่เพื่อชดใช้ ช่วยใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์เพื่อชดใช้ทุกอย่างทีเถอะ