เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 100: VS มหามังกร และ สายเลือดราชวงศ์
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 100: VS มหามังกร และ สายเลือดราชวงศ์
< < 81 > >
หลังจากที่แลกหมัดกับยูจิ นัยตาของหนิงก็จางหายไป หล่อนพุ่งเข้าใส่–ยูจิ
ผมออกตัวรับไว้โดยการปัดการโจมตีกายภาพของหนิง การปะทะกันทำให้พื้นตัวประสาทเกิดรอยแยกและ–ตามมาด้วยเปลวเพลิงของมหามังกรล้อมรอบตัวหนิง รูปร่างของเพลิงนั้นคล้ายครึงกับมังกรทรงจีน
ผมแสยะยิ้มเตะลำตัวหนิงเพื่อดีดตัวเองออกไปไกลๆวงเพลิง เปลี่ยนถุงมือสีดำให้กลายเป็นหอกและแทงเข้าไป
ฟุ้บ!!!!! หอกผ่าอากาศแทงเข้าไหล่ขวาของหนิง ผมไม่รีรอดึงหอกกลับมา
ร่างของหนิงเสียศูนย์ชั่วขณะ อาศัยจังหวะนั้นอัดเวทมนตร์เข้าใส่
“[ทวนสายฟ้า]!”
ในร่างมนุษย์ถ้าโดนทวนสายฟ้าจังๆสักสองสามรอบ ต่อให้มหามังกรก็รับไม่ไหว
แน่นอนในการสู้จริงมันมีหลากหลายวิธีในการรับมือ ยิ่งในร่างมนุษย์ที่เคลื่อนไหวได้สะดวกแล้วด้วย
หนิงตั้งหลักได้และคว้าทวนสายฟ้าผมไว้เปล่าๆ ก่อนบดขยี้ทวนสายฟ้าทิ้งด้วยเพลิงแห่งมหามังกร
เพลิงที่มีคุณสมบัติ ‘เผามานา’ ถ้าโดนจับได้ขึ้นมา หนิงสามารถเผาทุกอย่างบนโลกได้
ยูจิเห็นการต่อสู้เมื่อครู่ก็อึ้งไป ก่อนจะตั้งสติรวบรวมพลังวิ่งเข้าใส่อัลเบโด้
“เด็กออมมือเอ้ย”
พูดจบอัลเบโด้ก็กระแทกพื้นหนึ่งที ทำเป็นแหงนหน้ามองยูจิอย่างกับมองสิ่งต่ำต้อย
“[เล่นแร่แปรธาตุ]”
พื้นที่แยกออกจากกันค่อยๆหลอมกลับมาเหมือนแต่ก่อนทำให้จังหวะก้าวยูจิพลาดติดพื้นประสาทได้
ยูจิใช้ ‘อลัน’ หักล้างตัวเองให้ลอยขึ้นฟ้า ทำให้หลบการพันธนาการของอัลเบโด้ได้
แต่เพราะยังใช้วิญญาณระดับเทพได้ไม่ถนัด ขอบเขตุความพอเหมาะในการใช้พลังเลยพลาดไปไกล ร่างยูจิลอยไปชนกับเพดานและล้มลงพื้นอย่างน่าอนาถ
หนึ่งในข้อเสียของวิญญาณระดับเทพคือผู้ใช้ต้องเรียนรู้ขอบเขตุการใช้พลังเองซะส่วนมาก การฝึกฝนถ้าเป็นคนที่มานาน้อยนเกินไปก็เป็นไปได้ยาก แต่ก็นะ ยูจิมีมานามากพอๆกับจอมมาร หรือก็คือเยอะสุดบนโลกแล้ว ไม่มีทางตัวแห้งหรอก
“ฮึย!”
ยูจิกระโดดใช้หักล้างเร่งการเคลื่อนไหวตัวเองพุ่งใส่อัลเบโด้-อัลเบโด้เอี่ยวตัวหลบเบาๆและเตะยูจิ ใช้ทักษะมวยเล่นงานยูจิก่อนจะผละตัวออกเมื่อจับสัมผัสได้ว่ายูจิจะใช้วิญญาณระดับเทพ
ทักษะมวยอัลเบโด้ไม่เลวเลย—ผมเอียงคอหลบหมัดของหนิง และสกัดขาหนิงแต่ก็ไม่ล้ม ความแข็งแรงร่างกายต่างกันพอตัว อีกฝ่ายคือมังกรน่ะนะ เพราะอย่างนั้นผมเลยเกือบจะโดนกระซากคอเสื้อ โชคดีที่ใช้ตัดมิติให้ตัวเองหลบได้แบบสิวเสียด
“ฟูว!”
ผมเตะยอดหน้าหนิง และผมก็โดนหนิงใช้คลื่นความร้อนให้ผมถอยห่างไปเอง
..ผมกับหนิงดูเชิงกัน แต่อีกฝ่ายนั้นดูเชิงทั้งๆที่ไม่มีนัยตา สู้โดยสัญชาตญาณเพราะโดนสั่งมานั่นแหละ
เลือดของฟัฟนิร์ในตัวหนิงจะซื่อตรงต่อราชวงศ์ทุกคน เธอไม่สามารถขัดประสงค์ของราชวงศ์ได้ การจัดการพวกผมจึงเป็นหน้าที่ของสัญชาตญาณหนิง
ที่ผมสู้อยู่จึงไม่ใช่หนิง ผมสู้อยู่กับสัญชาตญาณที่ไม่ต่างกับของสัตว์ป่าอยู่
ถึงจะบอกว่าเป็นสัตว์ป่า แต่ทักษะ การวิเคราะห์ก็ถูกรีดถึงขีดสุดด้วย กลายเป็นพวกนักสู้มากประสบการณ์ เผลอๆหนิงตอนนี้อาจจะเหนือกว่ามหามังกรของจริงในร่างสมบูรณ์ไปแล้วหลายตนก็ได้
การต่อสู้กับหนิงมันควรบู๊แบบอลังการ มีอะไรก็ใส่กันหมด แต่ทำไม่ได้เพราะพวกเราอยู่บนประสาทลอยฟ้า
สัญชาตญาณหนิงคือจัดการพวกผม และปกป้องราชาอัลเบโด้ ซึ่งอย่างหลังถือเป็นที่สุด ทำให้หนิงจะเอาจริงขีดสุดในฐานที่ไม่สร้างความเสียหายให้อัลเบโด้
นั่นนับว่าเป็นข้อได้เปรียบได้ที่ไม่ต้องสู้กับพวกที่ไร้ขีดจำกัดอย่างมหามังกร
หนิงไม่รอช้า พุ่งเข้ามา เร็วมาก เร็วจนทำให้ผมขาสั่นเองเลย
ยังดีที่พอหลบได้อยู่ หนิงพุ่งผ่านผมไปและกำลังจะพุ่งมาทางนี้อีกตลบ
พลังกายเพรียวๆของผมอยู่แค่ขั้นเดียวกับนักดาบขั้นสูง จุดเด่นเปล่าๆคือเวทมนตร์ ไม่มีทางตอบโต้ความเร็วของมหามังกรร่างมนุษย์ได้หรอก เว้นแต่ว่าผมจะเปิดใช้งาน [ถลายขีดจำกัด] อีกครั้ง
ซึ่งนั่นขอละไว้ทีหลัง ผมอยากเก็บไว้ตอนฉุกเฉินจริงๆ ในกรณีที่ยูจิพลาดหรือผมเหลืออดแล้วจริงๆ
“[เสริมวงจรเวทย์]”
เวทมนตร์สำหรับเสริมกายภาพ ถึงจะบอกว่ากายภาพ แต่มันช่วยได้แค่เสริมประสาทสัมผัสและการปล่อยเวทมนตร์ที่เร็วขึ้น เพราะโลกนี้ไม่มีเวทมนตร์ที่ช่วยเสริมพลังกายได้นอกเสียจากเวทย์สายลม ซึ่งนั่นเป็นการทำร้ายร่างกายตัวเองไม่ต่างกับถลายขีดจำกัดเลย แค่ประสิทธิภาพที่ได้มันไม่คุ้มสำหรับผมที่เป็นนักเวทย์
การเร่งขีดจำกัดทำให้ผมพอจะตามความเร็วหนิงได้ทันด้วยสายตา มองชัดเลยแหละ เพราะอยู่ในจุดที่ห้ามเอาจริง ฝั่งหนิงเลยไม่สามารถใส่แรงทั้งหมดได้ด้วยส่วนหนึ่ง
แน่นอนที่ห้ามเอาจริงในสถานการณ์นี้มันก็ฝั่งผมด้วย
หนิงพุ่งมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนจะม้วนตัวกลางอากาศ—ใช้ลูกเตะ เป็นเพลิงด้วย พุ่งมากะจะหวดยอดคอผมเลย
[สะบั้นมิติ]-[ระยะทาง]
ผมเขยิบร่างตัวเองแค่นิดเดียว อาศัยจังหวะอยู่กลางอากาศจับขาหนิงและเขวี้ยงใส่อัลเบโด้
จังหวะที่เขวี้ยงก็อัดเวทย์สายลมเสริมแรงให้หนิงด้วย ทำให้พุ่งไปเร็วมาก
กว่าอัลเบโด้จะรู้สึกตัวก็ไม่ทันแล้ว ไม่สามารถหลบได้
แต่หนิงสามารถเบรคตัวเองได้กลางอากาศ โดยการเผาแรงเหวี่ยงของผมทิ้ง นั่นน่าจะนับเป็นมานาเหมือนกัน
ยังไงก็ช่าง หนิงลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้จะปล่อยไว้ได้ที่ไหน
ผมโยนทวนสายฟ้าใส่กลางอกหนิง จนหนิงปลิวไปไกล—อัลเบโด้ที่แลกหมัดกับยูจิอยู่ถึงกับต้องตะโกนเมื่อเห็นหนิงปลิวไป
นั่นทำให้พลาดโดนยูจิต่อยหน้าเข้าให้
“อึก—-แก!!!”
“อลัน!!!!!”
ยูจิหักล้างแขนของอัลเบโด้จนไปกันคนล่ะทาง—อัลเบโด้กระโดดถอยหลังหนี และยืนมองไปทางที่หนิงปลิวไปกับทวนสายฟ้า
“มิร่าตามร่างเจ้าหญิงมังกรไป!!!!!”
อัลเบโด้ออกคำสั่งให้ลูกสาวตัวเองอย่างรีบร้อนและหัวเสียหน่อยๆ คงเพราะพิษบาดแผลด้วยส่วนหนึ่ง
แล้วทำไมอัลเบโด้ต้องตกใจขนาดนี้น่ะเหรอ?
ก็ถ้าเลือดราชวงศ์อยู่ไกลจากหนิง คำสั่งจะได้รับการถอนเองโดยอัตโนมัติ อัลเบโด้เลยตกใจและรีบให้มิร่าลูกสาวตัวเองตามหนิงไป เพราะยังไงก็เป็นเลือดราชวงศ์เหมือนกัน ถ้ามิร่าสั่งหนิงก็ต้องเชื่อฟังอย่างที่เชื่ออัลเบโด้
แต่แค่นี้ก็สร้างจังหวะดีแล้ว
ผมพุ่งเข้าใส่อัลเบโด้ อัดมานาไว้บนฝ่ามือ—แสยะยิ้มออกมาตามนิสัย
อัลเบโด้หน้าซีด ข้างหน้าก็โดนยูจิบุก ข้างหลังก็มีผมมาสมทบอีก
ตายได้เลยล่ะนี่น่ะ
“—[เฟเยอร์บอล]!!!”
แต่ตัวแปรที่ไม่เกี่ยวดันโผล่มา
อัลเบิร์ตที่โดนอัดจนสลบ โทษทานขืนใจหนิงได้ตื่นขึ้นมาอัดบอลเพลิงช่วยพ่อตัวเอง
แค่นั้นทำอะไรไม่ได้หรอก ผมแค่กระโดดหลบและเตะปลายคางอัลเบิร์ต เพียงเท่านี้ก็จบ—คิดอย่างนั้นนับว่าประมาท
ผมถูกอัลเบิร์ตจับขาและดึงร่างตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“ท่านพ่อออออออ!!!!!”
ไอ้ลูกแหง่อัลเบิร์ตกู่ร้องออกมา พุ่งตัวมากัดแขนผมไว้ และเกาะตัวผมไม่ให้ไป
พลาดจังหวะสำคัญซะแล้ว เพราะเผลอประมาทให้อัลเบิร์ตเข้า
ในเนื้อเรื่องถึงจะเป็นแค่คนไร้ความมั่นใจ แต่ก็รักพ่อตัวเองอย่างราชาอัลเบโด้มากถึงขั้นยอมตายแทนได้ ไม่รู้ว่าคนพรรค์นี้มีอะไรให้รัก แต่ช่างมันสิ ใช่เรื่องที่ต้องสนมันที่ไหน
ผมแตะอัลเบิร์ตแต่ก็ยังรั้งไม่ยอมปล่อยผม—-
“[ไฟเยอร์บอล]”
“อึก!”
บอลเพลิงอัดเข้ากลางหัวอัลเบิร์ตและไหลไปทั่วทั้งตัว จังหวะที่มันหมดแรงผมก็เตะอัลเบิร์ตกระเด็น
ถึงแม้ลูกตัวเองจะโดนเผาทั้งเป็นแต่อัลเบโด้ยังมีสีหน้าเรียบเฉย รับมือกับยูจิต่อแบบไม่ไหวติง ไม่มีทีท่าจะมาช่วยรักษาอัลเบิร์ตด้วย
เป็นพ่อที่ดีจริงๆ
ขณะที่จะชวยโอกาสจัดการอัลเบโด้ หนิงและมิร่าก็โผล่มาพอดี
หนิงไม่รีรอพุ่งเข้าใส่ผม แต่ด้วยทริคบางอย่างทำให้อัดเข้ากลางตัวผมได้จังๆ
“แม่ง..เอ้!!”
ผมโดนชนจนปลิว แต่เหมือนทริคที่หนิงใช้จะทำให้ตัวเองลอยตามผมด้วย
ยูนาอธิบายในหัวให้ฟังว่านี่คือเทคนิคกายภาพของพวกมังกร อาศัยร่างกายที่แข็งแรงกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปใช้หัวพุ่งชนอีกฝ่าย และติดตามไปด้วย
เพื่อให้ผมแยกกับยูจิ และหาจังหวะตีอัลเบโด้ไม่ได้
แน่นอนมิร่าก็บินตามพวกเรามาด้วย สามารถบินได้ด้วยเพลิงของหนิง
เพราะเหตุนี้ทำให้ผมต้องแยกกับยูจิ ทางยูจิจะเป็นยังไง ผมไม่มีทางรู้ได้ก็ต่อเมื่อการต่อสู้มันจบ
ผมโดนพาพุ่งชนห้องไม่รู้กี่ห้อง ตอนนี้ยังอยู่ในตัวประสาทอยู่ ซึ่งนับว่าดี เพียงแต่ร่างกายได้รับความเสียหายหนักมาก
เมื่อตั้งจังหวะได้ผมก็เตะหนิงออกจากตัวเอง และใช้ตัดมิติรักษาร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิมในทันที
แผลเมื่อครู่ปลิวหายไปเหมือนเรื่องล้อเล่น ผมกระโดดไต่กำแพงและวับหายเข้าไปในซาก
หนิงและมิร่ามองหาผมกัน—ผมร่ายแคนน่อนเอิร์ธใส่มิร่า
หนิงที่มีประสาทสัมผัสของมหามังกรย่อมรู้ทางและตบแคนน่อนเอิร์ธไปได้ง่ายๆ แต่ผมมีจังหวะโจมตีซ้ำสอง
ครั้งนี้เป็นทวนสายฟ้า ผมปามันในจังหวะเดียวกับที่หนิงปัดป้องแคนน่อนเอิร์ธ
มิร่าไม่สามารถหลบได้ ถ้าโดนเข้าไปได้ตายแน่ ร่างหายไม่เหลือซากแน่ๆ หนิงเลยใช้มือรับไว้แทนและผลักมิร่าออก
แต่มันก็แลกมากับการที่ร่างของหนิงมันแหลกไปแทน—ผมพุ่งเข้าใส่มิร่า
ไม่ปล่อยจังหวะหนิงฟื้นตัวไปหรอก
“ไอ้คนตาขาว”
“พูดเป็นเด็กไปได้!”
มิร่าจะร่ายเวทย์ยิงสวน แต่ก็ช้าเกินไปมาก ผมเข้าประชิดตัวได้แต่โชคยังช่วยมิร่าที่หนิงฟื้นตัวได้ทันท่วงที
หนิงจับแขนผมและเหวี่ยงลงพื้น ร่างผมกระแทกกับผมลอยขึ้นฟ้า–ผมม้วนตัวเตะคอหนิง และใช้ตัดมิติช่วยให้ตัวเองหลุดจากการจับของหนิงได้
คอมโบมากมายช่วยให้หนิงต้องฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง
จากนั้นผมก็เปลี่ยนแปลงสื่อเวทย์ถุงมือดำให้กลายเป็นดาบ และจะฟันเข้าใส่มิร่า แต่ก็โดนหนิงดึงคอเสื้อแล้วโยนเหมือนจับแมว
มิร่ารอดได้แบบหวุดหวิดอีกแล้ว
ดวงแข็งเหมือนกับในเนื้อเรื่องต้นฉบับจริงๆ
ผมถอนหายใจ เปลี่ยนสื่อเวทย์เป็นหอกและปาเข้าใส่
หนิงปัดหอกทิ้งง่ายๆ
ส่วนสื่อเวทย์ก็กระเด็นมาเข้ามือผมตามที่คำนวณไว้
ผมเปลี่ยนสื่อเวทย์ให้เป็นคันธนู และบีบอัดเวทมนตร์สายฟ้าให้เป็นลูกธนู
“ฮึบ!”
จากนั้นก็โหมกระหน่ำธนูสายฟ้าเข้าใส่ โดยเล็งมิร่าเป็นหลัก เพราะการปกป้องราชวงศ์สำคัญที่สุด การเล่นจุดอ่อนเลยเป็นวิธีกำจัดการเคลื่อนไหวของหนิงทางอ้อม
หนิงใช้เพลิงรับลูกศรไว้ง่ายๆ มิร่าโกรธจัดมองมาทางผมด้วยสายตาที่เคียดแค้น
“..จัดการมันซะ ต่อให้ประสาทเสียหายก็เอาเลย!”
นั่นจะดีรึ? ไม่สิ ปล่อยผมไว้ก็น่าจะแย่ สู้เสี่ยงทำลายตัวประสาทพร้อมกับจัดการผมไปด้วยคงจะดี
หนิงรับคำสั่ง เปลวเพลิงที่ไม่ค่อยได้ใช้ค่อยๆมารวมกันที่ฝ่ามือ หนิงยกมันขึ้นเหมือนกับท่ายิง ไอoอนแมน
และ
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เพลิงสีทองอร่ามพุ่งมอาย่างกับแสง มันพุ่งมาทางผมตรงเลย
ใครจะโง่รับมันตรงๆ ผมใช้ [เอิร์ธฟิลด์] เพื่อหลบการโจมตี เป็นไปได้ก็อยากขยายวงให้กว้างพอสับตำแหน่งผมกับหนิงหรือมิร่าได้ เพียงแต่ไม่มีเวลาพอจะขยายวงเลยทำได้แค่เอาตัวเองให้รอด
หนิงในโหมดใส่ทุกอย่างที่มีพุ่งมาทางผมแบบไม่สนบ้าอะไรแล้ว
“ชิ!” ผมสบถ
และปะทะกับหนิงสามครั้ง ทุกครั้งที่ปะทะผมเสียเปรียบทั้งหมด
พอหนิงใส่ทุกอย่างที่มีแบบไม่สนใจใครแล้ว ผมในโหมดปกติก็ไม่มีทางตอบโต้ความเร็วได้ทัน ทำให้เกือบจะเสียท่าให้หนิงในทุกๆการปะทะ
ตัวผมที่ไม่ได้ใช้ [ถลายขีดจำกัด] ถ้าให้สู้กับมหามังกรในโหมดเอาจริงไม่สนโลก ยังไงก็แพ้
ยิ่งตอนนี้หนิงโหมการโจมตีมาอย่างบ้าคลั่งด้วย ได้ตายจริงๆแน่ แต่การ [ถลายขีดจำกัด] ผมจำเป็นต้องเก็บไว้ในจังหวะที่ดีกว่านี้
ช่วยไม่ได้
ผมใช้เวทย์ลมทำลายพื้นทางเดิน ไต่ไปทางมิร่า—-ถึงจะบอกว่าให้ใส่ทุกอย่างที่มี แต่ถ้าตัวมิร่าเจออันตรายถึงชีวิต ร่างกายของหนิงจะพุ่งไปช่วยเองเสมอ
ทำให้ผมรอดพ้นจังหวะโจมตีสุดนรกของหนิงได้
หนิงอุ้มมิร่าไว้บนบ่าพร้อมกับกระโดดหลบเวทมนตร์ของผม
ช่วงที่ลอยฟ้า ผมไม่รอช้า รวบรวมมานาเท่าที่จะรวบได้ในเวลานี้ไว้ที่ปลายฝ่ามือ
“ในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะทำลายประสาทแล้วก็เอาสิ! ทางนี้ไม่คิดจะโดนพวกหล่อนอาศัยจังหวะได้เปรียบหรอกนะ!”
หมายถึงบางจังหวะถ้าหนิงทำลายประสาทแล้วจะเป็นผลดีกับทางนั้นในการจัดการผมมากกว่า พอรู้ว่าไม่สนตัวประสาทแล้ว ผมสู้เป็นคนทำลายเองตัดโอกาสเล่นงานผมเลยจะดีกว่า
บอลเพลิงขนาดยักษ์ใหญ่พุ่งเข้าใส่ประสาท——และนั่นทำให้ประสาทสั่นสะเทือนไปทั่ว
ซากต่างๆค่อยๆล่วงลงมา ฟุ้งควันเริ่มก่อตัว
มิร่าตบหลังหนิงด้วยความเดือดดาล
“จัดการมันทั้งอย่างนี้แหละ”
หนิงรับคำสั่ง ใช้อากาศเป็นแท่นเหยียบพุ่งหาผม
ผมถอยหลัง–กระโดดลงประสาท
มิร่าเห็นก็ออกคำสั่ง
“ไม่ต้องตาม ไปสมทบกับท่านพ่อ”
ทั้งสองน่าจะรีบวิ่งไปหาอัลเบโด้แล้ว ทางผมเองก็ต้องรีบไปช่วยยูจิเหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้จะเกาะอยู่ใต้ประสาทที่ใกล้จะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่
แต่ก่อนหน้านั้น
“เคียวยะ ได้ยินรึเปล่า”
ผมแตะปลายหู พูดกับเคียวยะที่อยู่ห่างกันเป็นกิโลเมตรจากบนพื้น
เวทมนตร์สื่อสาร พวกเราใช้มันเชื่อมต่อกันทุกคนที่บุกประสาทคราวนี้ เพื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ตลอด มีดวงตาทิพย์ตามติดทุกคนด้วย เป็นทักษะแปลกๆของเอเธอร์ แต่นั่นก็ช่วยให้เคียวยะช่วยใช้ดวงตามหาปราชญ์ช่วยพวกเราได้เยอะ
ผมเริ่มสนทนากับเคียวยะขณะที่ไต่ใต้ประสาทไปเรื่อยๆด้วย
‘ได้ยิน แล้วมีอะไร’
“ทางเอเธอร์เป็นไงบ้าง?”
‘สู้กับคาลอสอยู่ ยังไม่รู้ผล’
นานเหมือนกันแฮะ สมกับที่มีเกราะอิจิสในครอบครอง
“แล้วทางเรย์ล่ะ”
‘เพราะแกกับหนิงทำให้ประสาทพังไปหลายชั้น พวกซากประสาทชั้นต่างๆเลยร่วงลงมาทำให้เรย์พอจะหนีพวกทหารได้’
“รอดไปแฮะ ยูจิล่ะ”
‘ยังไม่รู้ผล ไม่เชิงสูสีหรอก แต่ยูจิก็ไม่มีทีท่าจะแพ้เลย”
ประมาณว่ายูจิโดนอัดซะส่วนมาก แค่สภาพดูไม่ได้เจ็บหนักอะไร
“เข้าใจแล้ว เคียวยะ นำทางที่เร็วที่สุดให้ที”
‘อ่า เริ่มจาก..’
ผมรีบไปหายูจิเพื่อสมทบ