เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ - ตอนที่ 29 จูนิเบียวที่แท้จริง
- Home
- เกิดใหม่พร้อมอาชีพสุดเทพเหรอ ความจริงคือมาพร้อมโชคเฉยๆ น่ะ
- ตอนที่ 29 จูนิเบียวที่แท้จริง
บทที่ 29 – จูนิเบียวที่แท้จริง
“ทุกคนเงียบได้แล้ว”
ท่ามกลางความโกลาหลของคนที่ประชุมกันอยู่นั้น บนบัลลังก์ซึ่งสูงกว่าทุกคนนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
และข้างๆ ก็มีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับโรซาเรียตอนนี้เลย
เธอมองไปยังบุคคลที่ต่ำกว่าด้วยสายตาของผู้สูงส่ง ถึงจะบอกว่าต่ำกว่า แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเธอทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นจอมมารชั้นนำระดับประเทศ
หญิงชราที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จักรพรรดิมาร ที่ดำรงอยู่มานานมากกว่าพันปีเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าผ่านสมรภูมิรบกับเผ่ามนุษย์มาค่อนข้างเยอะ
ทุกคนในเผ่าปีศาจไม่มีใครไม่รู้จักเธอ.. ทุกคนต่างขนานนามเธอว่าจักรพรรดิมารผู้ที่ทรงพลังที่สุด..และเธอก็คือคนที่พ่ายแพ้ให้กับเด็กที่นั่งอยู่ตรงนั้น
เด็กที่นั่งอยู่ตรงนั้นหาใช่เด็กธรรมดา แต่คือเด็กที่ถูกเรียกขานในฐานะของเทพมาร ผู้อยู่เหนือมวลมารมากที่สุด
ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในเผ่ามาร
“ท่านเทพมารอยากจะพูดอะไรกับพวกเจ้า ตั้งใจฟังกันให้ดี”
หญิงชราผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิมารต่างเคารพนอบน้อมแก่คนอายุน้อยตรงหน้า.. เทพมารที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเคร่งขรึม
“กะอีแค่มนุษย์ชั้นต่ำคนหนึ่ง พวกเจ้าจะไปกลัวทำไม จำสิ่งที่เราสอนไปไม่ได้หรืออย่างไร”
เทพมารกล่าวด้วยเสียงเล็กๆ ของตนเอง.. แม้จะเป็นเสียงของเด็กแต่มันกลับทรงพลังที่สุดในที่แห่งนี้
จอมมารที่อยู่ที่นี่ล้วนได้รับการบ่มเพาะจากเด็กอายุน้อยคนนี้ทั้งสิ้น.. ใช่แล้ว เธอเป็นคนที่ปลุกพลังที่แท้จริงให้กับปีศาจทุกตนที่อยู่ที่นี่
เธอเป็นคนนำความจริงมาเผยแพร่ถึงความจริงเมื่อยุคที่ทุกอย่างพึ่งถือกำเนิด.. สิ่งที่อยู่เทียบเคียงเทพนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เทพ
แต่ยังมีตัวตนที่เรียกว่า ‘คธูลู’ สัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ซึ่งความจริงนั้นได้เป็นบรรพบุรุษของปีศาจทุกตน
ปีศาจที่ดำรงอยู่เป็นเพราะคธูลูกำลังหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ หรืออาจจะสักแห่งในจักรวาลแห่งนี้
หากคธูลูตื่นขึ้นมา แม้แต่เทพก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการล่มสลายของโลกได้ เพราะเพียงแค่เปิดเปลือกตาคธูลูก็สามารถทำลายโลกทุกใบได้อย่างง่ายดาย
และปีศาจก็คือส่วนหนึ่งของคธูลู.. ว่ากันว่าที่ตาข้างใดสักข้างของปีศาจกับที่มือสักข้างของปีศาจจะมีเซลล์ของคธูลูดำรงอยู่
ทว่าวิวัฒนาการที่ถูกบังคับจากผู้เป็นเทพนั้นได้ผนึกเซลล์ของคธูลูในตำนานเอาไว้ เพื่อไม่ให้เหล่าลูกหลานของคธูลูหรือเหล่าปีศาจได้กระตุ้นให้คธูลูได้ตื่นขึ้นมา
และคนที่สอนให้พวกเขาได้หยิบยืมพลังจากเซลล์คธูลูมาใช้ก็คือ.. เทพมาร สาวน้อยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ใช่แล้ว.. พลังที่เธอสอนให้กับพวกเขาคือพลังที่แท้จริงของเหล่าปีศาจ พลังที่ขอแค่จินตนาการที่มากพอก็สามารถสร้างทุกอย่างได้ดั่งใจ
และเพราะแบบนั้นนั่นเอง.. จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ถึงพันผ้าไว้ที่แขน สวมผ้าปิดตา หรือหลับตากันอยู่เหมือนกับ…
เหมือนกับจูนิเบียวน่ะนะ
นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเป็นจูนิเบียวแต่อย่างใด.. แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการผนึกพลังที่แท้จริงเอาไว้
ไม่เช่นนั้นละก็ความคิดพวกเขาจะสร้างสิ่งที่ไม่ควรขึ้นมาได้อย่างง่ายดายนั่นเอง สำหรับพวกเขาในตอนนี้คือสุดยอดสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง
“ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ/ค่ะ ท่านเทพมาร!”
“นั่นสินะ ขอแค่มีท่านเทพมารอยู่ด้วย ยัยผู้สังหารเทพนั่นก็คงไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก”
“ใช่แล้วๆ”
หญิงสาวที่เป็นเทพมารก็ได้แต่ยิ้มอย่างเห็นด้วย….ทว่าในใจเธอกลับร่ำร้องว่า.. อะไรวะน่ะ ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง จะเอาอะไรมันไปสู้มันวะคะ…. โคตร OP ใครมันจะไปสู้ไหววะคะ เป็นตัวเอกนิยายต่างโลกสมัยใหม่เหรอไอ้คนเก่งนั่น บ้าไปแล้วโว้ยค่ะ
………
……
…
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นตอนที่ฉันเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ในฐานะปีศาจ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่ฉันก็เหมือนจะอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่เกิด
เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องเรียนรู้ได้.. เอาเป็นว่าฉันต่างจากเด็กทั่วไปนิดหน่อยนั่นแหละนะ ฉันเกิดมาในฐานะว่าที่จอมมารคนต่อไปของท่านแม่
ชื่อของฉันก็คือ ‘ลิเลียนน่า เอลดิช’ เป็นว่าที่จอมมารคนต่อไปที่มีพลังเวทสูงส่ง… ซะเมื่อไหร่ล่ะ ไอ้ฉันก็ไม่มีพลังเวทหรอก
คงเป็นเพราะฉันมีความนึกคิดแบบนี้ตั้งแต่แรกเลยไม่ทำให้ได้รับผลกระทบจากคลื่นเวทมนตร์ของปีศาจละมั้งนะ
คือไอ้พวกปีศาจเนี่ย ตอนเกิดมาจะได้รับคลื่นเวทมนตร์มาตอนที่สมองยังไม่เรียนรู้ เพราะตอนที่สมองไม่เรียนรู้อะไรเลยพอซึมซับศาสตร์เวทมนตร์ของปีศาจสมองจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
แต่ไอ้ฉันดันเกิดมามีสมองครบจบเหมือนผู้ใหญ่ เลยทำให้ไม่สามารถดูดพลังเวทของปีศาจมาได้ก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็นไม่มีพลังเวทเลยจ้า
แต่ทว่า ตัวฉันในตอนเด็กนั้นไม่ได้มีความคิดแบบนั้นเนี่ยสิ.. ไม่รู้ว่าไอ้ฉันมันดลบันดาลอะไรทำไมนิสัยถึงจูนิเบียวในตอนแรก
คิดว่าตัวเองคือร่างจุติของเทพมารคธูลูที่เคยอ่านในหนังสือของเลิฟคราฟท์ เพราะพวกปีศาจที่ฉันเห็นตอนนู้นก็มีแต่หนวดเคราด้วยแหละมั้ง
อนึ่ง.. ตระกูลเอลดิช คือตระกูลปีศาจปลาหมึกอะนะ ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันไม่มีหนวดในที่แปลกๆ หรอกนะที่ว่าเหมือนหมึกเพราะพวกนั้นเลือดอ่อน
แต่เลือดเข้มจะไม่มีหนวดกันแล้วเพราะวิวัฒนาการจนทิ้งหนวดไปแล้ว.. และแน่นอนว่าฉันที่เห็นว่าพวกนี้เหมือนคธูลูก็เลยแสดงความเห็นแบบปัญญาอ่อนออกไป
“พวกเราคือลูกหลานของคธูลู มีพลังในการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฝันสู่ความเป็นจริงได้ เดิมทีโลกนี้ก็เกิดจากความฝันของคธูลู”
“พลังของเราเองก็ถูกผนึกไว้ที่ตาข้างซ้ายและมือข้างขวา หากมันตื่นขึ้นละก็.. โลกนี้คงจะถูกทำลาย”
ถึงจะถามฉันเถอะว่าเอาเรื่องเล่าพวกนี้มาแต่ไหนตั้งแต่ตอนเกิด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะเออ.. แต่เอาเป็นว่าฉันในตอนเด็กคือจูนิเบียวขั้นสุด
แปลกชะมัดเลยนะ จูนิเบียวมันโรคของเด็กม.สองแท้ๆ แต่ไอ้ฉันดันล่อเป็นตั้งแต่ 0 ขวบเลยเนี่ย
แต่ก็เป็นเพราะความเบียวขั้นสุดของฉันนั่นแหละ.. เลยทำเป็นพูดไปเรื่อย.. เอาน่า คนที่ไม่เคเบียวอาจจะไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้มันคือประวัติอันดำมืดของฉันเลยนะจะบอกให้.. เพราะทุกสิ่งที่แม่งพูดคือเพ้อเจ้อละเมอฉิบหายเลยเว้ย
ตัวเองไม่มีพลังอะไรแท้ๆ.. กลับโม้ไปว่าดวงตากำลังผนึกพลังที่สังหารได้แม้แต่เทพ ดาบมารลัคน่าถูกผนึกในแขนขวา
ร่างจุติของคธูลู…
แค่คิดก็ตัวสั่นเพราะความอายแล้วเนี่ย.. แน่นอนว่าเหตุที่ตื่นขึ้นมาจากความเบียวได้ก็เพราะยายแก่คนนี้..
ฉันมองไปที่ยายแก่อายุพันปีด้านข้าง.. หล่อนคือตัวกระจายความเบียวของฉันเหมือนโทรโข่งเลยล่ะ
ไอ้ตอนแรกก็มาแนวท้าดวลนั่นแหละ.. แต่ก็โดนอิฉันสมัยยังเบียวยืนโม้สเกลให้ฟังแบบว่า ถ้าหล่อนโจมตีมาฉันคงหลบซ้ายหลบขวา..
แบบคือฉันนั่งโม้เฉยๆ อ่ะ ว่าฉันจะทำอะไรถ้าหล่อนโจมตีมา.. แล้วหล่อนก็ดันมาเล่นด้วยกับฉันด้วยนะ พอเล่นไปสักพักก็ดันยกธงขาว
ใช่ ไม่ได้สู้กันเลยล่ะ.. พอฉันชนะได้.. ตอนนั้นนั่นแหละฉันถึงรู้ว่าตัวเองแม่งทำห่าอะไรไม่ได้เลยนี่หว่า
แต่มันก็สายไปแล้วอ่ะ.. ถูกยัยแก่นี่จับเร่งอายุขัยมาจนรูปร่างเหมือนอายุ 12-13 แล้วก็เอามาเปิดตัวในฐานะเทพมาร
ยกให้เป็นเทพมารที่สูงที่สุดของเผ่าปีศาจ.. จับพลัดจับผลูอิท่าไหนไม่รู้อ่ะ
ตอนนี้ฉันเหมือนจะสามารถเดินบนหัวจอมมารผู้นำประเทศยังได้เลยนะ
แล้วไอ้พวกปีศาจเนี่ยก็ไม่ชอบพวกอ่อนแอด้วยเนี่ยสิ เห็นว่าเป็นโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กอ่ะ
ขืนความแตกว่าที่ฉันเคยโม้ไว้แม่งแค่เป็นการจูนิเบียวของฉันคนเดียว คือฉิบหายแน่ๆ ค่ะ บอกเลยว่าตายสถานเดียวค่ะ
เพราะงั้นแหละ
ทุกวันนี้ไม่ว่าบทพูดจะเบียวขนาดไหน
จะรู้สึกอับอายกับบทพูดขนาดไหน
ฉันก็ต้องพูดออกไป…
พูดออกไป
“มือขวาของเรายามนี้มันกำลังร่ำร้อง.. มันกรีดร้อง.. บางทีพวกมันคงกำลังต้องการจะกำจัดศัตรูทางธรรมชาติของพวกมัน”
“ผู้สังหารเทพ.. แม้จะมีเป้าหมายเดียวกับเราคือสังหารเทพ แต่ว่าหากเข้าข้างศัตรู.. เราก็ต้องสังหารนางอยู่ดี”
….อ้ากกก ใครก็ได้ช่วยฉันที ฉันผิดไปแล้ววววววว
……..
[ไหนบอกจะต่อทุกวัน.. กะ.. ก็คนมันขี้เกียจเอ้ย ไม่ค่อยว่างอ่ะ! – ผู้เขียน]