บทที่ 27 – คุยคนละเรื่องเดียวกันที่แท้จริง
“ถ้าเช่นนั้นท่านหญิงโปรดกลืนกินชีพจรราชันย์เพื่อดึงเอาพลังดั้งเดิมของท่านเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปรอด้านนอก”
“หมายความว่าไง?”
“อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า ชีพจรราชันย์ คือการกระจัดกระจายพลังของท่านไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อกลายเป็นเวทมนตร์เกิดใหม่ขนาดยักษ์ เมื่อเวทมนตร์สิ้นสุดลงแล้วชีพจรราชันย์ก็ควรค่าแก่การหายไปและไม่มีใครสามารถกลืนกินความว่างเปล่าได้ นอกจากราชินีแห่งความว่างเปล่าเอง หรือก็คือตัวท่านนั่นแหละ”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็เดินจากไป ไม่ให้ฉันถามสักคำด้วยซ้ำว่าต้องหลิมรวมยังไง.. แต่พอฉันมาคิดดูถ้าถามออกไปคงแปลกน่าดู
เพราะฉันคือราชินีแห่งความว่างเปล่า ตามที่พวกนั้นเชื่ออะนะ หมายความว่าการที่ฉันจะสัมผัสกับความว่างเปล่าได้มันเป็นเรื่องที่เกิดได้ไม่เกี่ยวว่าจะมีความจำไหมอะนะ
แต่ว่านะ.. แต่ว่านะ นี่หมายความว่าฉันต้องทำให้สิ่งที่ตัวฉันเองยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำหายไปเนี่ยนะ
เป็นไปได้กับผีสิ.. นี่ต่อให้มองเห็นฉันก็ไม่ได้มีเวทมนตร์เสกลบอะไรแบบนั้นสักหน่อยนะ.. ฉันมองลงไปในหลุมด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ยัยนั่นบอกว่ามีชั้นสิบอีกชั้นอยู่ ฉันเดาว่าคงเป็นข้างล่างนี้นี่แหละ เพราะมองลงไปมันมืดจนเหมือนไม่เห็นก้น
แถมถึงฉันจะมีสัมผัสด้านเวทมนตร์เป็นศูนย์ แต่แค่มองลงไปก็รู้สึกถึงความผันผวนแปลกๆ แม้จะไม่มีอะไรอยู่แท้ๆ แต่เหมือนมีคลื่นทะเลอยู่ตรงนั้นด้วยอ่ะ
คือเอาง่ายๆ แค่ลงไปก็คงตายโหงแน่นอนชัวร์ป้าบ
“หืม.. ที่นี่มันอะไรล่ะเนี่ย?”
ในขณะที่ฉันกำลังกังวลอยู่นั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความสงสัย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าของเสียงก็ยืนอยู่ด้านหน้าฉันแล้ว
ภายใต้ความสับสนของฉัน ผู้หญิงคนนั้นลูบคางตัวเองด้วยความสงสัย ที่บอกว่าเป็นผู้หญิงเพราะทั้งน้ำเสียงและผมสีแดงของเธอ
เธอมองไปทางเดียวที่ฉันเคยมองก่อนจะหันมาคุยกับฉัน
“ที่นี่คือ?”
หืม.. ยัยนี่.. ไม่ใช่พวกเดียวกับที่อยู่ในดันเจี้ยนนี้เหรอ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอไม่สวยเหมือนพวกที่อยู่ในดันเจี้ยนนี้
แต่ตามที่คำอธิบายเอลลิสคือที่แห่งนี้คนที่รับรู้มีแค่คนที่เกี่ยวข้องกับราชินีแห่งความว่างเปล่า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกอย่างที่เกิดจากชีพจรนี้จะรู้จักหมด
การที่คนคนนี้ไม่รู้จักแสดงว่าเธอไม่ใช่คนในดันเจี้ยนนี้นั่นเอง.. แต่ถ้างั้นฉันควรบอกเธอเหรอว่าที่นี่คืออะไร เห็นเอลลิสบอกว่าเป็นความลับด้วยนี่น่า
อีกอย่างการที่เธอลงมาถึงชั้นนี้ได้ไม่น่าจะใช่คนธรรมดาด้วย.. ถ้าขืนบอกไปเป็นเรื่องอีกปัญหาก็มาอีก
ให้ตายสิ.. ฉันต้องทำไงดีเนี่ยถึงจะหลุดพ้นปัญหาพวกนี้ไปได้ภายใต้การใช้ความคิดอย่างหนักหนาสาหัสของฉัน
“ช่างเถอะ ลงไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ”
โดยยังไม่ทันยังได้ห้ามอะไรเธอก็โดดลงไปแทบจะทันที
“ฮะ เฮ้ย เดี๋ยวสิ!!”
ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดในหลุมนั้นคือต้นกำเนิดพลังแห่งความว่างเปล่า พูดอีกนัยหนึ่งก็คือความไม่มีอยู่หากลงไปถ้าไม่เป็นตามที่เอลลิสว่า
ก็อาจจะโดนลบหายไปจากโลดนี้เลยนะเฮ้ย ฉันที่กำลังตกใจอยู่นั้นเอง ด้านหลังเอลลิสก็กลับมา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ท่านหญิง?”
อ้ะ.. แย่ละ ขืนเธอรู้ว่ามีคนนอกเข้ามาไม่ใช่ว่าต้องเริ่มสู้กันตรงนี้เหรอ แล้วคนเมื่อกี้ก็น่าจะเก่งสุดๆ ไม่งั้นคงลงมาถึงชั้นนี้ไม่ได้..เอลลิสก็คงเก่งไม่ต่างกัน
ไม่สิ จากการแสดงออกของเอลลิสอีกฝ่ายคงแอบลงมาสินะ หมายความว่าคนเมื่อกี้เก่งกว่าเอลลิสน่ะสิ..
เดี๋ยวก่อนตอนนี้ฉันนับว่าเป็นท่านหญิงของพวกเอลลิส ขืนความแตกขึ้นมาไม่ใช่ว่าคนเมื่อกี้นอกจากต้องสู้กับเอลลิสยังต้องสู้กับฉันน่ะสิ
แล้วนึกภาพว่าเอลลิสที่ฝากความหวังทั้งหมดมาที่ฉัน แต่ฉันทำได้แต่วิ่งหนี…
ไม่เอาโว้ย ไม่เอาแบบนั้นแน่
“เอ่อ.. เปล่า ไม่มีอะไร”
“แต่เมื่อกี้ฉันเหมือนได้ยินเสียงคนอื่นนอกจากท่านหญิง..?”
..ไม่ใช่ว่าหล่อนได้ยินแต่แรกเรอะ.. ขี้เกียจตบมุกกับสัญชาตญาณที่พูดตรงประเด็นทุกครั้งที่ความคิดฉันแล่นผ่านแล้วโว้ย
ในขณะที่ฉันถอนหายใจอยู่นั้นเอง
“ว่าแต่ท่านหญิงเป็นไงบ้างคะ ชีพจรราชันย์น่ะ”
อ้ะ..แย่แล้วลืมเรื่องนั้นไปเลย ยัยนี่ให้ฉันกลืนกินชีพจรราชันย์นี่หว่า แล้วฉันจะทำไงดีเนี่ย.. แต่เอลลิสไม่รอให้ฉันคิด
เธอเดินไปมองชีพจรราชันย์ ก่อนที่จะเลิกคิ้วขึ้นสูง..
“ท่านหญิง.. นั่นมันอะไรกัน!”
หือ รีแอคชั่นแบบนี้อย่าบอกนะว่าเห็นไอ้คนแปลกๆ คนนั้นแล้วฉันหันตามไปดูแต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นไม่ใช่เพราะเห็นผู้หญิงผมสีแดง
ไม่สิ เธอคนนั้นหายไปแล้ว.. แต่ที่หายไปด้วยคือคลื่นปริศนาที่ฉันมองไม่ค่อยเห็น.. แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีนะ มีเหลืออยู่มั้งนิดหน่อย
เดี๋ยวนะ แล้วยัยนี่ตกใจเรื่องอะไร ถ้าหล่อนให้ฉันกลืนกินชีพจร แล้วชีพจรหายไปก็ไม่ได้แปลว่าฉันกลืนกินไปแล้วเหรอ
แถมยัยนี่ไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่.. สรุปคือควรจะคิดว่าเป็นฝีมือฉันสิ แล้วหล่อนตกใจอะไรของหล่อนละนี่? ถึงฉันจะไม่ใช่คนที่ทำให้หายไปก็เถอะ
“เธอตกใจอะไร ?”
ฉันถามออกไปด้วยเสียงนิ่งๆ หน่อยๆ เพราะกลัวความแตกว่าคนที่กินไปไม่ใช่ฉัน ถ้าให้เดาคงเป็นผู้หญิงผมสีแดงนั่นแหละ
แต่.. ฉันไม่รู้นี่สิว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาอีกหรือเปล่า .. ในขณะที่ฉันคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง
“ท่านทำแบบนี้ไปทำไมกันคะ..”
หมายความว่า…ไง..อ้ะ หรือว่าเธอรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนกินชีพจร?ก็แหงสิเธออาจจะมีวิธีรู้ว่าหลังกินชีพจรไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนตัวฉัน
และเธอสัมผัสไม่ได้เลยรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนกินงั้นสินะ แถมหลักฐานมัดคาตัวเพราะชีพจรราชันย์หายไปกันโต้งๆ แบบนี้คงแถว่าไม่มีอะไรไม่ได้แล้ว
ฉันถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อเธอรู้แล้ว..ก็เข้าใจสักทีใช่ไหม ?”
ฉันพูดแบบนั้นออกไป อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็เบิกตาขึ้น..
“ท่านหญิงรู้เรื่องนั้นจริงๆ สินะคะ.. เรื่องที่ฉันไม่ได้บอก..”
หือ หมายถึงเรื่องอะ..ไร.. อ้ะ หรือว่าเป็นเรื่องที่เธออ่านใจได้ ว่าแล้วเชียวหล่อนอ่านใจได้สินะ ก็นะ คงไม่ได้คิดว่าชีพจรจะหายไปจริงๆ ล่ะสิ
แต่พอหายไปจริงๆ โดยคนที่ไม่ใช่ราชินีแห่งความว่างเปล่าของพวกเธอคงจะช็อกขนาดหนักสินะ .. คงอยากใช้ฉันเป็นตัวแทนคนเดิมระหว่างที่คนเดิมยังไม่เกิดละมั้ง
“แน่นอนสิ มันชัดขนาดนั้น คิดว่าทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ”
“ขอโทษด้วยค่ะ ที่ปิดบังท่านหญิง”
เธอขอโทษฉัน..
“ไม่สิ คนที่ต้องขอโทษมันฉันไม่ใช่เหรอ.. สุดท้ายฉันก็ปล่อยให้เรื่องราวมันไหลไปตามน้ำจนสุด.. ฉันขอโทษ”
“ฉันไม่ใช่ท่านหญิงของพวกเธอหรอก”
“ฉันเป็นท่านหญิงของพวกเธอไม่ได้!”
เอลลิสส่ายหน้าพร้อมเช็ดหางตาที่มีน้ำตาไหลออกมา
“ไม่หรอกค่ะ.. ท่านหญิงอาจจะจำไม่ได้ก็จริง.. แต่ในอดีตท่านหญิงเองก็อ่อนโยนแบบนี้แหละค่ะ”
…หือ.. พอเธอพูดแบบนั้นออกมาเป็นฉันก็รู้สึกว่าแหม่งๆ กับเรื่องที่คุยกันบ้างแล้วเหมือนกัน
“เดี๋ยวก่อนนะ.. ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ท่านหญิงที่กลับมาเกิดใหม่ของพวกเธอ แล้วคนที่ทำให้ชีพจรราชันย์เหลือแค่นั้นก็ไม่ใช่ฉันด้วย”
ดวงตาเธอมองมาที่ฉันเหมือนจะประกายยิ่งกว่าเดิมเมื่อฉันพูดจบ
“ไม่เลยค่ะ.. ท่านหญิงในตอนนี้แค่ไม่มีความทรงจำในอดีตชาติ.. ไม่สิ ถ้าท่านยืนยันว่าไม่ใช่ราชินีคนเดิมเราก็จะไม่มองเช่นนั้นค่ะ..”
“อย่างไรก็ตามโปรดทราบไว้ด้วยว่าท่านหญิง.. พวกเรานับถือในความอ่อนโยนของท่าน.. แม้แต่เรื่องที่ท่านใจดีไม่ลบชีวิตพวกเราออกไปยังบอกว่าตนเองไม่ได้เป็นคนทำ เพื่อไม่อยากให้พวกเรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอีก..”
“ในโลกนี้ไม่มีใครใจดีแบบนั้นเหมือนท่านแล้วค่ะ!”
เอาแล้ว…
“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นก่อนนะ.. มีอีกคนที่ทำให้มันหายไปต่างหาก”
“อย่าล้อเล่นเลยค่ะท่านหญิง ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ก็จริง แต่ไม่สามารถกลืนกินได้แบบท่านหญิงหรอกค่ะ”
“……”
อีกแล้วเหรอวะเนี่ย.. นี่มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหนอีกวะเนี่ยยยยยยยย!!!!”
……….
……
…
อยากรู้เหรอ ? เรื่องนั้นคงต้องย้อนกลับไปเล่าอีกสักหน่อย… เอลลิสผู้ที่อธิบายทุกอย่างให้โรซาเรียฟังแบบไม้ปกปิด แต่มีเรื่องหนึ่งที่เธอไม่ได้บอก
เธอรู้ดีว่าถ้าบอกไปท่านหญิง..องค์หญิงผู้ใจดีของพวกเธอคงไม่มีทางทำแน่.. นั่นก็คือหากกลืนกินชีพจรราชันย์จนหมด..
พวกเธอก็จะหายไปจากดันเจี้ยนนี้.. จริงอยู่ที่ตัวตนของพวกเธอจะอยู่รวมกับท่านหญิง..และถูกเชิญมาได้ตลอดเวลา..แต่ก็เป็นแค่ในฐานะนักรบที่ไร้วิญญาณ
แต่ทว่าในความเป็นจริงตลอดเวลาที่ได้ดำรงอยู่
ทำให้พวกเธอตระหนักถึงความต้องการจะมีชีวิตอยู่ .. แน่นอนว่าถ้าพูดออกไปคนอ่อนโยนแบบท่านหญิงคงสังเกตเห็นประกายอยากมีชีวิต
และไม่ตัดสินใจที่จะกลืนกินชีพจรราชันย์เป็นแน่.. ดังนั้นเธอจึงเงียบไว้แล้วก็จากไป.. ที่จากไปเธอไม่อยากให้ท่านหญิงเห็นตอนพวกเธอร้องไห้เมื่อสลาบไป
ไม่งั้นท่านหญิงจะต้องเศร้าโศกแน่.. ทว่ารอจนท่านหญิงร้องเดี๋ยวออกมาคนเดียวเอลลิสจึงสงสัยเลยกลับมาดู..
และพบว่าชีพจรที่เคยสว่างหมองลง.. แต่มันก็มากพอที่จะทำให้พวกเธอมีชีวิตอยู่ในนี้ต่อไปได้อีก…
“พวกเธอเข้าใจแล้วใช่ไหม ?”
ท่านหญิงถามขึ้น.. ดวงตาของเอลลิสปริ่มไปด้วยน้ำตา.. เธอหลอกท่านหญิงไม่ได้เลยสักนิด
“แน่นอนว่ามันชัดขนาดนั้นทำไมจะไม่รู้ล่ะ”
นั่นสินะ..นี่แหละคือท่านหญิงของพวกเรา
“ฉันไม่ใช่ท่านหญิงของพวกเธอหรอก”
แบบนี้นี่เอง.. ท่านหญิงคงคิดว่าถ้าเป็นตัวเองในอดีตชาติคงไม่เป็นแบบเธอสินะ…
“เดี๋ยวก่อนนะ.. ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ท่านหญิงที่กลับมาเกิดใหม่ของพวกเธอ แล้วคนที่ทำให้ชีพจรราชันย์เหลือแค่นั้นก็ไม่ใช่ฉันด้วย”
เอ้ะ
ที่ท่านหญิงพูดแบบนี้หรือว่าจริงๆ แล้วท่านหญิงไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับตัวของตัวเองที่ไม่รู้จัก..
แถมเธอยังเหมือนปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่คนที่ทำให้ชีพจรหายไป..บางทีเธอคงไม่อยากให้เรารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ..
เธออยากมอบชีวิตให้พวกเรา..ทั้งที่แรกเริ่มเดิมทีชีพจรราชันย์ก็เป็นของท่านหญิงแท้ๆ… ใจดีเกินไปแล้ว… ท่านหญิง!
…….
[หัวตันแถมทำงานหนักครับ เหนื่อยหนักมากกกกกก ขอโทษที่มาช้าคับ – ผู้เขียน]
MANGA DISCUSSION