บทที่ 19 – พูดแบบไม่อ้อมค้อมที่แท้จริง
แน่นอนว่ารายชื่อพวกนี้คือรายชื่อพวกที่มาสมัครเข้ากองทัพ.. โดยที่ฉันต้องเป็นคนเซ็นผ่านให้.. เพราะไอ้เอกสารพวกนี้ถูกเมอร์ลินคัดกรองมาแล้ว
ดังนั้นเอาเข้าจริงสิ่งที่ฉันต้องทำมีแค่อ่านแล้วก็เซ็นเท่านั้น… แต่ปัญหาคือมันเหนื่อย แถมยังซ้อนทับกับปมชีวิตในชาติก่อนฉันอีกต่างหาก
แถมไอ้เอกสารบ้านี่ที่พวกคนส่งมามันก็คือมีแต่คนน่าจะไม่ปกติกันสักคนเนี่ยสิ.. อย่างเจ้านี่ที่มีชื่อว่า
‘ทีแลนซ์’ อดีตทหารรับจ้างที่เคยฆ่าราชามาก่อนเพราะว่าราชาให้รางวัลเขาไม่ครบ แถมหลังจากนั้นไม่นานประเทศนั้นก็หายไป
ทำให้ไม่มีใครกล้าหือกับเขา
เดี๋ยวสิเว้ย เอาไอ้คนขี้หัวร้อน… ฆ่ายันราชาประเทศแบบนี้ผ่านมาได้ไงวะเนี่ย ยัยเมอร์ลินบ้านั่น อีกอย่างคนที่มาสมัครยัยนั่นต้องเป็นคนสอนพร้อมกับฉันไม่ใช่หรือไง
ถึงฉันไม่น่าจะช่วยอะไรได้ แต่ไอ้คนที่เก่งขนาดทำประเทศหายได้นี่มันต้องฝึกอะไรอีกวะ.. ไม่สิ ก่อนอื่นเลยมาฝึกฉันด้วยดิ
แล้วก็นะ ไอ้บ้านี่ฆ่าราชาไปคนหนึ่งพวกเอ็งไม่คิดจะตั้งค่าหัวหรืออะไรแบบนั้นไว้หน่อยเหรอ ให้สมกับเป็นคนชั่วล้างบางประเทศหน่อยสิเฮ้ย
แต่นี่เล่นเดินดุ่มๆ มาสมัครเข้าไวท์บลูนี่มันแปลกเกินไปเปล่าเฮ้ย
แถมเวทที่หมอนี่ถนัดก็เป็นเวทที่มีชื่อว่า ‘พอน’ (pawn) หนึ่งในเวทประเภทควบคุมของสรรพธาตุแห่งธาตุน้ำ
เป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้ทั้งการควบคุมและลูกเล่นเยอะ แต่หากใช้ได้จะโกงมากๆ เงื่อนไขการที่เวทมนตร์แน่นอนว่าถูกระบุไว้ชัดเจนว่า
‘เมื่อใดที่เหยียบเข้า ‘บ้าน’ ของคนอื่นจะสามารถเปลี่ยนเวทมนตร์ พอน ของตนเองเป็นเวทมนตร์ของใครก็ได้ที่อยู่ใน ‘บ้าน’ นั้น เป็นเวลา 1 วัน’
เนี่ย.. มันเขียนไว้แบบนี้ในใบสมัครเลย ไอ้ท่าทางแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันเตรียมเข้ามาปล้นไม่ใช่หรือไงฟะ แล้วเมอร์ลินคิดบ้าอะไรอยู่
และก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ฉันปฏิเสธไปทันที.. ถ้าฉันไม่อ่านเอาแต่เซ็นลูกเดียวคงได้ไอ้คนอันตรายแบบนี้เข้ามาแน่ๆ
และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปทั้งแบบนี้อีกหลายวัน ฉันถึงเคลียร์เอกสารทุกอย่างจนหมด แน่นอนว่าเหมือนจะมีเพิ่มมาอีกฉันถึงได้ไปคุยกับเมอร์ลิน
ฉันจับเธอนั่งตรงกันข้ามกับฉัน
“ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
ฉันใช้เวลาคิดเรื่องนี้ทั้งคืนจึงได้ผลสรุปออกมาว่า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงไม่วายนั่งอยู่หน้ากองเอกสาร
ดวงตาใสปิ้งของเมอร์ลินจ้องมาที่ฉันด้วยความคาดหวังบางอย่าง เอาเข้าจริงเมอร์ลินก็ไม่ค่อยว่างเพราะต้องสอนทั้งผู้กล้า และทหารที่เกณฑ์เข้ามา
แถมเธอยังต้องมาตรวจสอบรายชื่อสมัครเพื่อให้ฉันอีกทีด้วย.. หลังจากนั่งคิดอย่างสุดความสามารถจนได้ผลสรุปออกมาในที่สุด…
ฉันมองไปที่เมอร์ลินที่ตอบฉันว่า
“อะไรเหรอคะ ท่านแม่”
“ช่วงหลังๆ มานี่เธอยุ่งอยู่ตลอดเลยใช่ไหมล่ะ แทบไม่มีเวลาว่างเลยนิ”
ใช่แล้ว ทักษะนี้ฉันได้เรียนมาจากโลกก่อนของหัวหน้างานที่พยายามเกลี้ยกล่อมประธานโดยยกเรื่องที่อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกเหนื่อยมาพูดคุยก่อน
ว่าง่ายๆ ก็คือการสร้างบรรยากาศนั่นแหละ แถมเมอร์ลินนี่เป็นคนที่แบบว่าสายนักผจญภัยมีอิสระ ตะลุยไปทั่วหลายปี
เป็นเวลานับร้อยปีเธอแทบไม่ต้องมีข้อผูกมัด ทว่าตอนนี้มีข้อผูกมัดแถมยังไม่มีเวลาพักผ่อนด้วยซ้ำ บวกกับนิสัยที่ค่อนข้าง…. อืมนั่นแหละ
ตอนที่ฉันเจอกับเธอครั้งแรกก็รู้แล้วว่ายัยนี่เป็นคนแบบไหน เป็นคนไม่ชอบอยู่ใต้คนอื่นอยู่แล้วน่ะนะ
เพราะงั้นถ้าฉันถามจี้จุดไปเหมือนประมาณช่วงนี้เธอไม่มีอิสระจะต้องชักจูงเธอง่ายขึ้นแ—
“นั่นสินะ ก็ใช่อยู่.. แต่ทำไมเหรอคะ”
ดีละ คำตอบออกมาแล้วดูเหมือนว่าจะไม่เมากัญชาอยู่ด้วย
“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นแหละนะ.. การที่ทำแต่งานทุกวันแบบไม่มีเวลาพักนี่มันก็เหมือนแรงงานทาสไม่ใช่หรือไง.. ชีวิตแบบนั้นมันจะไปมีความสุขได้ไงล่ะ!”
ฟังไว้นะพวก เวลาเราจะเกลี้ยกล่อมใครโดยใช้ความรู้สึกด้านลบของอีกฝ่าย อย่าไปพูดออกมาตรงๆ ว่า “พักงานเถอะ” ทันที
ถ้าไม่ใช่ในกรณีแบบคนที่รู้ว่าตัวเองทำแรงงานทาสและอยากออกเต็มที่แบบยัยเบตตี้นั่นอะนะ
เพราะการพูดออกไปตรงๆ มันจะทำให้อีกฝ่ายไม่คล้อยตามแต่ตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองเจอและจะต่อต้านเซตความคิดของเราแบบไม่รู้ตัวน่ะ
ก็คนอยู่กับความคิดตนเองมากกว่าคนอื่น แถมคนยังมีอัตตาหรืออีโก้ดังนั้นการจะบอกออกไปตรงๆ นั้นเป็นเรื่องที่โง่ยิ่งกว่าโง่ในการเกลี้ยกล่อม
ต้องใช้วิธีการใช้ภาษาให้อีกฝ่ายคิดตามเองไม่ใช่การยัดเยียดชุดความคิด!และในตอนนั้นแหละเธอจะรู้ว่าตนเองต้องทำอะไร
แน่นอน คนแบบเมอร์ลินนี่แหละชักจูงง่า—
“เอ้ะ ก็ไม่นะคะ.. แค่ได้อยู่กับท่านแม่หนูก็มีความสุขแล้วนี่คะ”
วินาทีที่เธอพูดออกมาแบบนั้นฉันถึงกับสะดุ้ง.. เอาแล้วไอ้การปักธงแบบนี้มันต้องพาไปสู่อะไรแปลกๆ อีกแน่ฉันต้องรีบพูดบางอย่างก่อน
ทว่าก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรนั้นเองเมอร์ลินก็ร้อง “อ้อ” ขึ้นมาก่อนที่จะรีบพูดตัดหน้าฉัน…
“ระ.. หรือว่าท่านแม่อยากอยู่กับข้ามากกว่ายี้งั้นเหรอคะ?!”
“นั่นสินะคะ เพราะช่วงนี้พวกเราอยู่ด้วยกันน้อยมากเลย ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากอยู่กับท่านแม่หรอกค่ะ”
“ถ้าท่านแม่อยากอยู่กับข้า ข้าจะหาเวลาให้ทันทีค่ะ!”
นั่นไง.. ก็ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมาอิหรอบนี้ ฉันหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับพูดขึ้น
“คือว่านะ ที่ฉันจะบอกไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…”
เพราะยังไวถ้าบทพูดมาแบบนี้ อีกหน่อยยัยนี่คงวิ่งจากสายตาไปทันทีแล้วไม่ฟังกันแน่ๆ แต่ที่ฉันพูดออกไปอาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่อยู่ในโลกนี้มาหลายปี
และต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองบ่อยครั้ง ดังนั้นการพูดพยายามแก้ต่างของฉันมันถึงเริ่มโดยที่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ว่าง่ายๆ คือพูดๆ ไปตามความรู้สึกตัวเองเหมือนกับการตบมุก.. แต่ทว่าจนพูดเสร็จอีกฝ่ายก็ยังเหมือนไม่ขยับไปไหน
ทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาด้วยความสงสัย และเมอร์ลินมองมาที่ฉันด้วยดวงตาเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้
“อ้ะ.. เอ้ะ?!”
“ทะ.. ท่านแม่ไม่อยากอยู่กับข้างั้นเหรอ”
“นะ.. นั่นสินะ.. แรกเริ่มเดิมทีข้าก็เป็นคนบังคับที่ต้องอยู่กับท่านแม่สินะ”
…….
เจ้าตัวร้องห่มร้องไห้ออกมาซะอย่างนั้น ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกการที่มานั่งดูคนแก่อายุร้อยปีอ้อนเด็กไม่ถึงสิบขวบแบบฉัน
แค่คิดแล้วก็ปวดใจ
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
“เอ้ะ.. แล้วมันหมายความว่าไงคะ?”
ฉันคิดพักใหญ่.. พอๆ ไม่เอาและไม่ต้องอ้อมคงอ้อมค้อมให้มันยุ่งยากหรอก ขืนพูดอ้อมไปพวกคนในโลกนี้มีหวังจินตนาการไปไกลแน่ๆ ดังนั้นจะชักจงชักจูวบ้าอะไรไม่ทำเหมือนตัวเองฉลาดแล้วก็ได้!
อีกอย่างขืนต่อปากต่อคำด้วยเรื่องจะยิ่งบานปลายฉันถึงพูดออกไปตรงๆ เลยว่า…
“คือแบบนี้นะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบหรืออะไรหรอกนะ แต่การเลือกคนที่จะเข้าทีมเพื่อมาฝึกเนี่ยมันต้องเป็นคนธรรมดาใช่ไหม เพราะงั้นเธอจะเลือกคนที่เก่งแต่แรกไม่ได้นะ”
“แล้วก็อีกอย่าง.. ฉันไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะอ่านเอกสาร”
ใช่แล้ว ถึงฉันจะขอบคุณพวกมิเกลก็จริง แต่ในฐานะชีวิตใหม่ที่สองฉันจะไม่ยอมทำตัวเป็นแรงงานทาสอีกแน่
เอาเข้าจริง ฉันเองก็วางแผนว่าจะออกไปจากที่นี่มาได้พักใหญ่แล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่ทำงานฉันก็ไม่ควรมาอยู่ฟรีกินฟรี เห็นแบบนี้ก็มีจิตสำนึกนะเออ ฉันน่ะ
แต่ด้วยความที่ก่อนหน้ายังเด็กเลยทำอะไรได้ไม่มาก แต่ตอนนี้เพราะเมอร์ลินทำให้ฉันโตขึ้นเลยอาจจะทำอะไรได้บ้างแล้วนั่นแหละ.. ฉันคิดขณะพูดต่อ
“ถึงพวกเธอจะคิดว่าฉันเก่งยังงั้น ยังงี้ก็เถอะ แต่ให้ฉันเป็นผู้นำทัพสูงสุดเนี่ยไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้น แรกเริ่มเดิมทีฉันก็ไม่ได้ต้องการอยู่แล้วด้วย”
อาจจะเป็นเพราะเมอร์ลินไม่ใช่คนที่เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ฉัน.. ฉันเลยกล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าไม่ต้องการอะไร
ก่อนหน้านี้เพราะทั้งเกรงใจ ยังไงซะอีกฝ่ายก็ออกค่านั่นค่านี่ให้.. ก็เลยไหลตามน้ำไปด้วยได้ แต่เมอร์ลินไม่ใช่ พวกเราพึ่งจะรู้จักกันไม่นาน
ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด…
อีกอย่างฉันเองก็มีอาชีพในฝันที่อยู่ในโลกนี้แล้วด้วย ส่วนที่เป็นหนี้พวกมิเกลตลอดหลายปีค่อยเอามาคืนก็ได้
“เพราะงั้นแหละ เข้าใจที่ฉันจะบอกใช่ไหม?”
เมอร์ลินที่ฟังทุกอย่างเงียบๆ มาตลอดเธอก็พยักหน้า…. เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยผ่านไปสักพักค่อยเงยหน้ากลับคืนมาแล้วพูดว่า…
“สรุปก็คือ ท่านแม่ไม่อยากทำงานนั่งโต๊ะแต่อยากออกไปทำสงครามเองเลยงั้นสินะ?!”
ห้ะ
“แถมยังไม่อยากได้คนเก่งๆ.. แต่เอาคนธรรมดามาฝึก… อ้ะ หรือว่าท่านแม่วางแผนจะสร้างผู้กล้าขึ้นมาจากคนธรรมดาผ่านการสอน?”
เดี๋ยวนะ..?
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่ไม่อยากเป็นผู้นำ.. ถึงขั้นยอมลดคุณค่าตัวเองว่าไร้ความสามารถ ก็เพียงเพื่อเพราะเป้าหมายของท่านแม่คือจะทำให้ทุกคนมีพลังเทียบเคียงผู้กล้า… และไม่จำเป็นต้องมีคนนำทัพสินะ!!! ทุกคนต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองงั้นสินะคะ!!”
วอทททท
“แต่เท่าที่ฟังมิเกลเล่ามา ท่านแม่ไม่มีเหตุผลต้องสร้างผู้กล้านี่น่— อ้ะ.. หรือว่า…”
อะไรอีก
“เทพมาร.. ผู้บ่มเพาะจอมมารคนนั้นสินะ สมกับเป็นท่านแม่.. ข่าววงในของเผ่าปีศาจนอกจากข้าในแดนมนุษย์ไม่น่าจะมีใครรู้แท้ๆ…”
หมายความว่าไงฟะ
“ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา.. เทพมารได้สร้างจอมมารขึ้นมาแล้วมากกว่าห้าสิบคน.. แถมคนพลังเทียมจอมมารนั้นมีเป็นกองทัพ..”
“อย่างที่คิด.. ท่านแม่กับเทพมาร..”
…….
…..
….
ฉันได้แต่เกาหัวแหง่กๆ ไม่เข้าใจว่ายัยนี่พูดถึงเรื่องอะไร..
ว่าแต่.. ฉันว่าฉันพูดชัดไม่อ้อมค้อมแล้วนะ..
ทำไมถึงมาอีหรอบเดิมอีกฟ้า
…………….
อธิบายเกี่ยวกับอิหนูโรซาเรีย
ก่อนอื่นใครที่ตามอ่านจะรู้ว่าอิหนูนี่ไม่ใช่มนุษย์ เอาเข้าจริงจะบอกว่าไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะนางไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ โดยพื้นฐานแล้วสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกจะเกิดมาจากการส่งผ่านพันธุกรรมของพ่อหรือแม่
แม้แต่พืชก็ไม่เว้น กล่าวคือการสืบต่อผ่านพันธุกรรมเป็นกฎที่แน่นอนของสรรพชีพบนโลกในนี้ แต่ทว่าโรซาเรียเป็นคนเดียว (หรือเปล่า) ที่ไม่ถูกจัดหมวดหมู่ในฐานะสิ่งมีชีวิต พูดง่ายๆ คือคุณเธอไม่มีการส่งต่อพันธุกรรม
เอกลักษณ์ทุกอย่างของนางล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง (เฉกเช่น สีตาของนางที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์นางได้ซึ่งเคยพูดให้เห็นไปในตอนก่อนหน้านี้ไม่นาน)
ดังนั้นโรซาเรียจึงค่อนข้างเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษออกไปอย่างสิ้นเชิง
ถามว่าพิเศษแล้วเก่งไหม… คำตอบคือไม่อ่ะนะ แมลงสาบเก่งกว่านางอยู่ดี
ที่ว่าพิเศษหมายถึงคุณลักษณะที่ไม่เหมือนสิ่งใดในโลกนี้นั่นเองครับ
และแน่นอนเรื่องนี้ไม่ว่าจะโรซาเรียหรือทุกคนในเรื่องจะไม่มีใครทราบเรื่องนี้ (ซึ่งอีกส่วนคือผมไม่ค่อยอยากให้เรื่องมันจริงจังเกินไป) แต่ผมต้องการให้ผู้อ่านทราบกันดังนั้น ในบางตอนผมอาจจะเขียน note ทิ้งให้ท้ายตอนเกี่ยวกับโรซาเรียเช่น.. ที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
[Rosaria Note]
รู้หมือไร่ โรซาเรียไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นนางจึงไม่มีสรรพธาตุหรืออายุขัยให้เร่งไปข้างหน้า ว่าง่ายๆ ก็คือต่อให้จะเปลี่ยนแปลงอายุขัยนางเป็นล้านปีนางก็ไม่เป็นไรอยู่ดี
และแน่นอนว่าเพราะแบบนั้นเองโรซาเรียจะชีวิตอยู่นานแค่ไหนก็ได้ นอกจากนี้โรซาเรียนางเป็นประเภทหลงตัวเองขั้นสุดเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่ตนเองน่ารักที่สุดของโรซาเรีย อายุนางจึงสุดอยู่ที่ประมาณ 11 ปี
ซึ่งเป็นวัยที่น่ารักที่สุดของตัวนางเอง
[ผู้เขียน]
ช่วงนี้หัวผมไม่ค่อยแล่นเพราะคิดแต่เรื่องงาน แถมงานช่วงนี้ค่อนข้างหนักถึงจะไม่ที่สุดแต่ก็เหนื่อยเอาเรื่องจนไม่มีเวลาเขียนนิยายเลยครับ
MANGA DISCUSSION