เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 90 งั้นก็ช่างมันเถิด
ตอนที่ 90 งั้นก็ช่างมันเถิด
ความจริงแล้วในตอนนี้ บรรพจารย์ของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณกำลังรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก
เพราะนางมีชีวิตอยู่มาหลายแสนปีเกือบจะถึงล้านปีเข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เช่นนั้นจึงยากที่จะมีใครสามารถรอดสายตาของนางไปได้
ส่วนที่เรียกว่าภาพเทพมารนั้น นางก็เพียงได้เห็นประปรายจากบันทึกที่มีอยู่ในแดนลับเมื่อครั้งบรรพกาลเท่านั้น
กล่าวกันว่าภาพเทพมารเป็นเครื่องรางล้ำค่าที่กำเนิดจากฟ้าดิน
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหากฝึกฝนด้วยภาพเทพมาร ก็จะพัฒนาสายเลือดของตนเองได้ ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงต้นกำเนิดตัวเองได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันไอปีศาจที่มีก็จะจางหายไปเช่นกัน
บรรพจารย์ของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณผู้นี้มีนามว่า ถูซื่อ บัดนี้เรียกได้ว่านางมีตบะแก่กล้ามากที่สุดจนถึงขั้นจ้าวปีศาจแล้ว
ช่วงเวลาหมื่นปีที่ผ่านมา นางพยายามที่จะทะลวงด่านสุดท้ายเพื่อขึ้นสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีกหลายต่อหลายครั้ง
แต่สุดท้ายกลับมิเคยได้ดั่งใจหมาย
ก่อนหน้านี้มินาน ขณะที่นางพยายามทะลวงด่านสุดท้ายอีกครั้งนั้น กลับถูกอำนาจบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งเข้าครอบงำ
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดจู่ ๆ เผ่าพยัคฆ์ดำและเผ่าจิ้งจอกวิญญาณจึงตัดสินใจจัดงานแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กัน
นั่นเพราะว่านางต้องการที่จะหยิบยืมสมบัติโบราณชิ้นหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ดำ บวกกับโลงศิลาที่นางในการใช้ฝึกตน เพื่อรักษาอาการที่หลงเหลือจากการถูกครอบงำ
แต่สุดท้ายนางกลับฟื้นฟูพลังได้ช้ายิ่งนัก จนน่าปวดหัว
แต่นางกลับคาดมิถึงว่าปีศาจรุ่นหลังตนหนึ่งกลับมีภาพเทพมารในตำนานติดกายมาด้วยเช่นนี้
‘นี่เป็นถึงภาพเทพมาร ! ’
‘ถือเป็นเครื่องรางล้ำค่าที่กำเนิดฟ้าดินเชียวนะ ! ’
‘ข้าเชื่อว่าหากมีภาพเทพมารภาพนี้ อีกมินานข้าก็จะสามารถฟื้นฟูกำลังกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม อีกทั้งหากได้เรียนรู้จากภาพเทพมารก็จะสามารถทะลวงด่านสุดท้าย เพื่อขึ้นสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นได้เป็นแน่’
คิดถึงตรงนี้ ริมฝีปากบางเฉียบสีสดของถูซื่อก็หยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ช่างดูมีเสน่ห์ตราตรึงใจยิ่งนัก
“มิน่าเล่า คราแรกที่ได้พบเจ้าเด็กนั่น ทั้ง ๆ ที่มีตบะระดับราชามาร แต่ไอปีศาจบนกายกลับมิต่างจากปีศาจน้อยตนหนึ่งเท่านั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะภาพเทพมารนี่เอง”
เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของถูซื่อก็เป็นประกายขึ้นมาทันที พลางเอ่ยอย่างเพ้อฝันว่า “กล่าวกันว่าขณะที่ปีศาจผู้ฝึกตนก้าวข้ามด่านสุดท้ายได้นั้น สายเลือดภายในกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลานั้นไอปีศาจในกายจะมลายหายไปจนหมด”
“ชีวิตเช่นนั้นช่างน่าหลงใหลเสียจริง”
ถูซื่อเอ่ยขึ้นมาราวกับละเมอ
สุดท้ายหลังจากสิ้นเสียงของนาง รอบกายของถูซื่อพลันเกิดเกิดระลอกคลื่นขึ้น จากนั้นร่างทั้งร่างก็เกิดสั่นไหว
เพียงพริบตาร่างทั้งร่างก็หายวับไปทันใดราวกับอากาศ และอาคารเก่าแก่ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครา ราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น
……………………………….
อีกด้านหนึ่ง
ถูสือซานที่สวมกระโปรงยาวสีขาวราวกับหิมะ ผมดำยาวสลวย กำลังถูกผู้แข็งแกร่งหลายคนของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณล้อมเอาไว้
“องค์หญิงสิบสาม การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าพยัคฆ์ดำในครานี้สำคัญยิ่ง เจ้าอย่าได้ทำสิ่งใดที่เป็นการกำเริบเสิบสานเด็ดขาดเชียว”
บุรุษชุดเขียวอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ถูสือซานส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “ท่านน้าท่านอาทุกท่าน สือซานมีชายในดวงใจแล้ว วันนี้ข้ามิมีทางกลับไปร่วมพิธีแต่งงานกับแมวดำตัวนั้นเด็ดขาด”
‘แมวดำงั้นหรือ ? ’
ได้ยินดังนั้นผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณก็สบตากันเล็กน้อย สีหน้าพลันเย็นชาและเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
แม้เฮยจวงจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่พรสวรรค์ของเขานับได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของเผ่าพยัคฆ์ดำ
อีกทั้งกล่าวกันว่าเฮยจวงผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจากเหล่าบรรพบุรุษของเผ่าพยัคฆ์ดำเป็นอย่างมาก หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เฮยจวงก็จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์ดำคนต่อไป
แต่บัดนี้ถูสือซานกลับเรียกเฮยจวงว่าแมวดำ
คำเรียกขานนี้หากถูกเฮยจวงผู้มีนิสัยเลือดร้อนได้ยินเข้า วันหน้าหากถูสือซานแต่งเข้าไปอยู่ในเผ่าพยัคฆ์ดำแล้วล่ะก็ เฮยจวงจะต้องมิปล่อยนางไปง่าย ๆ เป็นแน่
บุรุษร่างกายกำยำ ใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า “องค์หญิง หัวหน้าเผ่าได้ออกคำสั่งว่า หากเป็นต้องพบคน หากตายต้องพบศพ ท่านอย่าได้บีบบังคับพวกเราจะดีกว่า ! ”
“เจ้าเจ็ด อย่าได้สามหาว ! ”
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งถลึงตาใส่ชายร่างกำยำ แล้วจึงเอ่ยกับถูสือซานด้วยรอยยิ้มว่า “องค์หญิงน้อย ท่านอาจจะมิรู้ว่าเวลานี้ท่านบรรพบุรุษกำลังเจ็บหนัก นางจำเป็นต้องได้สมบัติโบราณชิ้นหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ดำเพื่อช่วยฟื้นฟูพลัง เช่นนั้นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเผ่าจิ้งจอกวิญญาณและเผ่าพยัคฆ์ดำครานี้ จึงเกี่ยวข้องกับอนาคตของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเราด้วย”
ได้ยินดังนั้นถูสือซานผู้มีจิตใจอ่อนโยน พลันร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สือซานก็ขอยอมตายอยู่ที่นี่ดีกว่า”
หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ถูสือซานจึงเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้าไปมา
สิ้นเสียง ถูสือซานก็หมุนกายพร้อมกับแปลงกายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปด้านในแดนต้องห้ามทันที
“สือซาน ! ”
“องค์หญิงน้อย ! ”
เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางของแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขาล้วนมิคาดคิดว่า องค์หญิงสิบสามที่ปกติเป็นคนว่านอนสอนง่ายจะดื้อดึงเช่นนี้
ขณะเดียวกันสิ่งที่พวกเขาสงสัยมากที่สุดก็คือ ถูสือซานบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในเขาดอกท้อมาโดยตลอด มิเคยออกไปนอกเขาดอกท้อ
เช่นนั้นชายในดวงใจของนางเป็นผู้ใดกัน ?
อีกอย่างเฮยจวงผู้ที่อายุน้อยที่สุดในเผ่าพยัคฆ์ดำ อัปลักษณ์เพียงใดกันถูสือซานถึงกลับยอมตาย เพื่อที่จะได้มิต้องแต่งงานกับเขาเช่นนี้ !
“โครม ! ”
หลังจากถูสือซานพุ่งเข้าไปในแดนต้องห้าม พลันเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ
ขณะเดียวกันค่ายกลสังหารอันน่ากลัวก็ถูกเปิดออก ที่ปากทางของหุบเขาแดนต้องห้าม ปรากฏอัสนีโลหิตมากมายขึ้นกลางอากาศ ราวกับฝูงงูโลหิตที่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศก็มิปาน ก่อนจะพุ่งเข้าหาถูสือซานในชุดสีขาวรวดเร็วราวกับอัสนีบาต
“ปัง ! ”
หลังจากเสียงอันน่ากลัวเงียบลง หมอกโลหิตพลันระเบิดขึ้นรอบกายของถูสือซาน
วินาทีที่ถูสือซานกำลังร่วงลงมานั้น ก็มีเงาดำเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในแดนต้องห้าม ก่อนจะรับร่างถูสือซานเอาไว้ได้
เงาดำนั้นก็คือราชันทมิฬที่รอดจากเงื้อมมือของถูซื่อมาได้ ด้วยภาพวาดราชันทมิฬนั่นเอง
แน่นอนว่าเขาเองก็ได้ยินคำพูดระหว่างถูสือซานและเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณแล้ว
“ดูเหมือนก่อนหน้านี้ ข้าจะดูถูกความใจเด็ดของสาวน้อยคนนี้เกินไปเสียแล้ว”
ราชันทมิฬแยกเขี้ยวเล็กน้อย พร้อมกับพึมพำว่า “แต่วางใจได้ หลังจากที่เจ้าได้พบนายท่าน เจ้าจะรู้เองว่าสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้มีค่าเพียงใด”
สิ้นเสียงราชันทมิฬก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
ขณะที่พุ่งขึ้นไป เขาก็นำภาพราชันทมิฬที่นำติดตัวมาด้วยออกมา เพื่อต้านทานการโจมตีของค่ายกลสังหาร
ขณะเดียวกันเมื่อพลังอันแข็งแกร่งทะยานขึ้นฟ้า ด้านหลังพลันปรากฏเงาดำขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังแบกถูสือซานที่สลบไป ก่อนจะพุ่งออกมานอกค่ายกลสังหารอย่างรวดเร็ว
มิกี่อึดใจต่อมา เมื่อราชันทมิฬแบกถูสือซานและพุ่งออกมาจากแดนต้องห้ามได้แล้ว ก็ระเบิดไอสังหารอันน่ากลัวออกมาทันที
“เป็นเจ้าเองหรือ ! ”
หลังจำราชันทมิฬได้ เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณก็มีสีหน้าตื่นตกใจ พร้อมกับก้าวถอยหลังไปทันที
ปีศาจตนนี้แม้จะต่ำช้าและไร้ยางอาย แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นมิต้องสงสัยแต่อย่างใด !
ดวงตาเย็นเหยียบของราชันทมิฬ ฉายแววอาฆาตแค้นออกมาอย่างน่ากลัว ก่อนจะกวาดตามองเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณด้วยแววตาเย็นชา
“ข้าจดจำพวกเจ้าเอาไว้แล้ว หากมิใช่เพราะวันนี้มีเรื่องสำคัญกว่าแล้วล่ะก็ ข้าจะจัดการพวกเจ้าจนกลับคืนร่างเดิมเป็นแน่ ! ”
ราชันทมิฬที่กำลังเตรียมจะลงมือราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ไอสังหารบนร่างจึงมลายหายไปในพริบตา
ทิ้งไว้เพียงประโยคอาฆาตแค้น ก่อนจะแปลงกายเป็นลำแสงสีดำพุ่งผ่านเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณ และมุ่งหน้าออกไปจากเขาดอกท้อในทันที
มินาน ขณะที่เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณกำลังมองหน้ากันด้วยความงงงวยอยู่นั้น
เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับภูตผี
“ท่านบรรพบุรุษ ! ”
“ข้าน้อยคารวะท่านบรรพบุรุษ ! ”
เหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่จำได้ ก่อนจะทยอยคุกเข่าลงคำนับกับพื้น
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ก็คือถูซื่อที่มีแสงเปล่งประกายอยู่รอบกาย !
“เด็กคนนั้นหนีไปได้งั้นหรือ ? ”
ถูซื่อที่ลอยอยู่กลางอากาศ มองลงมาพลางเอ่ยกับกลุ่มคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในเวลานี้
สตรีวัยกลางคนที่มีรูปโฉมสะคราญนางหนึ่งรีบเอ่ยตอบทันทีหลังจากได้สติ “ท่านบรรพบุรุษ ปีศาจตนนั้นพาองค์หญิงสิบสามหนีไปแล้ว…”
ถูซื่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา
นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ยังกังวลอยู่ว่า เจ้าเด็กคนนั้นจะใช้ภาพเทพมารปกปิดกลิ่นอายจนมิอาจตามหาตัวได้”
“แต่บัดนี้เมื่อพาคนในเผ่าข้าไปด้วย ต่อให้เจ้าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็ตามหาเจ้าพบอยู่ดี”
ขณะนั้นเองบุรุษรูปร่างกำยำผู้หนึ่งจึงรีบรายงานขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษ บัดนี้องค์หญิงสิบสามถูกเจ้าปีศาจไร้ยางอายตนนั้นพาหนีไปแล้ว งานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเราและเผ่าพยัคฆ์ดำ…”
ยังเอ่ยมิทันจบถูซื่อก็ชิงกล่าวขึ้นเรียบ ๆ เสียก่อนว่า “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
วินาทีต่อมารอบกายของถูซื่อพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาอีกครั้ง และหายไปเพียงพริบตา
ต่อมาเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็สบตากันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะก็รีบหมุนกายจากไป