เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 465 เค้าลางของความโกลาหลอันดำมืด
ตอนที่ 465 เค้าลางของความโกลาหลอันดำมืด
ทันทีที่สิ้นเสียง ระหว่างที่เหยาห้าวหยานกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น ก็มีเสียงชราและค่อนข้างแหบเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกตำหนักพันกระบี่
“มิใช่แค่อาจจะ แต่หากครั้งนี้ผู้อาวุโสเย่มิยื่นมือมาช่วย เกรงว่าแม้แต่นิกายกระบี่สวรรค์ของพวกเจ้าก็จะต้องประสบกับหายนะด้วยเช่นกัน ! ”
มินานนักพรตจิ่วอั้นที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดก็ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
“ท่านบรรพจารย์ ! ”
“ศิษย์พี่จิ่วอั้น ! ”
คนของนิกายจื่ออวิ๋นพลันดวงตาเป็นประกายขึ้นมา และต่างก็ลุกขึ้นยืนทันที
ท่านบรรพจารย์จิ่วอั้นสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างปลอดภัย นับว่าเป็นเรื่องโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
“ผู้อาวุโสจิ่วอั้น ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรหรือขอรับ ? ”
เหยาห้าวหยานเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม พลางคารวะให้แก่นักพรตจิ่วอั้น ที่มีสภาพสะบักสะบอม
“เพราะ……เบื้องหลังของหุ่นเชิดที่สวมเกราะนับสิบตนนั้น คือผู้แข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งอย่างไรเล่า”
นักพรตจิ่วอั้นกวาดตามองคนของนิกายจื่ออวิ๋น พลางถอนหายใจออกมาอย่างอดมิได้ “ด้วยตบะบารมีของข้า แม้จะมิสามารถสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นมีตบะบารมีอยู่ในระดับใด แต่ตามคำบอกเล่าของเขานั้น เขาเคยตามหาเส้นทางโบราณมาแล้ว”
“ดังนั้นหากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ คนผู้นี้หลังจากตามหาเส้นทางโบราณแล้วล้มเหลว มีความเป็นไปได้สูงที่เกิดธาตุไฟเข้าแทรก หรือก็คือเซียนทุรชนที่มีบันทึกเอาไว้ในตำราโบราณ เซียนเหล่านี้จะใช้วิธีการกลั่นจิตวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ เพื่อรักษาจิตวิญญาณของตนเองเอาไว้ให้เป็นอมตะ หรือใช้วิธีกลั่นเลือดของสิ่งมีชีวิตเพื่อทำให้กายเนื้อมิเน่าเปื่อยนั่นเอง”
สิ้นเสียงของนักพรตจิ่วอั้น
ทันใดนั้นภายในตำหนักพันกระบี่ พลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เซียนทุรชน !
ผู้อาวุโสของสองสำนักเซียนใหญ่ ย่อมเข้าใจคำนี้ดี
เพราะเซียนทุรชนหาได้เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรอื่น ๆ ไม่
พวกเขาต่างก็เคยเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสวรรค์บูรพา
ก่อนจะก้าวสู่เส้นทางโบราณ ปรารถนาที่จะหลุดพ้น และขึ้นไปยังแดนเซียนโบราณ ปรารถนาที่จะไปให้ถึงจุดสูงสุดของวิถีเซียนที่แท้จริง
ทว่าเส้นทางโบราณนั้นยากลำบาก มีจิตสังหารอันน่ากลัวและเป็นอัปมงคลมากมาย หากล้มเหลวจะต้องดับสูญและมิอาจฟื้นคืนขึ้นมาได้อีก
แน่นอนว่ามีผู้แข็งแกร่งจำนวนมิน้อย ที่ก้าวสู่ขั้นต้นของเส้นทางโบราณก็จะพบกับสิ่งอัปมงคล หรือวิกฤตอันน่าสะพรึงกลัว
ทำให้กายเนื้อของพวกเขาจึงถูกทำลายจนสิ้นจากกลสังหารที่มองมิเห็น จิตใจก็ถูกสิ่งอัปมงคลกัดกิน เหลือเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณดั้งเดิมเท่านั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้วิธีช่วงชิงกายเนื้อของผู้อื่น กลั่นจิตวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อหล่อเลี้ยงตนเอง
ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้แข็งแกร่งระดับเทพพิภพยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ต้องใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเพียงนั้น จึงจะสามารถหล่อเลี้ยงได้เพียงพอ ?
แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นจำนวนที่น่าตกใจมากเพียงใด !
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งที่โชคดีอาจรอดชีวิตมาได้ อีกรูปแบบหนึ่ง
นั่นก็คือ จิตวิญญาณดั้งเดิมยังอยู่ ทว่ากายเนื้อและจิตใจกลับถูกสิ่งอัปมงคลกัดกิน
ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาจะต้องกลั่นเลือดของสิ่งมีชีวิตเพื่อใช้หล่อเลี้ยงตนเอง
ด้วยเหตุนี้จึงมีบันทึกในตำราโบราณกล่าวเอาไว้ว่า ‘เซียนทุรชนปรากฏ หายนะกำเนิด ! ’
ภายในตำหนักพันกระบี่ เหล่าผู้อาวุโสของสองสำนักเซียน ต่างพานิ่งเงียบอยู่เยี่ยงนั้นเนิ่นนาน
สุดท้ายเป็นเหยาห้าวหยานที่ได้เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ทุกท่าน เรื่องมาถึงขั้นนี้ หายนะในครั้งนี้เกรงว่าคงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้แล้ว”
เหยาห้าวหยานกวาดตามองทุกคน พร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “แต่นิกายกระบี่สวรรค์ของเรายังมีค่ายกลป้องภูผาที่ประมุขคนแรกได้วางเอาไว้ ซึ่งจะสามารถต้านทานการโจมตีของเซียนทุรชนได้”
“อีกอย่างต่อให้เซียนทุรชนสามารถทำลายค่ายกลป้องภูผาลงได้ ก็ยังมีทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ รวมทั้งบรรพจารย์ทั้งสามของนิกายกระบี่สวรรค์ มิหนำซ้ำนิกายกระบี่สวรรค์ตอนนี้ยังมีบุคคลไร้เทียมทานเช่นผู้อาวุโสเย่อยู่อีกคน”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“ใช่แล้ว ยังมีจวนหนานหลิง ! ”
จู่ ๆ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นก็เอ่ยขึ้น “บัดนี้เซียนทุรชนมาเยือนหลิงโจว นิกายจื่ออวิ๋นของเราประสบกับหายนะ วังเสวียนจีเองก่อนหน้านี้ก็ถูกทำลายไปแล้ว เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป้าหมายของพวกมันจะต้องเป็นจวนหนานหลิงอย่างแน่นอน”
“ผู้อาวุโสสวี๋กล่าวมามีเหตุผล บัดนี้ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้า พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ยิ่งไปกว่านั้นจวนหนานหลิงก็ยังเป็นหนึ่งในสี่สำนักเซียนใหญ่เช่นพวกเราอีกด้วย”
“ใช่แล้ว ต้องรีบแจ้งจวนหนานหลิง ให้พวกเขารีบมาที่นิกายกระบี่สวรรค์ เพื่อเลี่ยงหายนะที่มิได้ก่อในครั้งนี้”
“ถูกต้องแล้ว หากพวกเราสามสำนักเซียนใหญ่รวมตัวกันที่นี่ มีเหล่าบรรพจารย์ร่วมมือกัน ต่อให้เป็นเซียนทุรชนก็คงยังพอจะรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสเย่ก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย”
ขณะที่ผู้อาวุโสของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น
“ประมุขเหยา หากเป็นไปได้ล่ะก็ข้าคิดว่าจำเป็นต้องเรียนเรื่องนี้ให้ท่านเย่ได้ทราบเอาไว้”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แม้นิกายจื่ออวิ๋นของเราจะมีเหล่าหนุ่มสาวที่มีฝีมือโดดเด่น รวมทั้งคนแก่อย่างพวกเรา ทว่าหากเปิดศึกกับเซียนทุรชนจริง ๆ เกรงว่าคงเลี่ยงมิได้ที่เกิดความสูญเสียอันใหญ่หลวงขึ้น”
“หากท่านเย่ยอมลงมือ เชื่อว่าจะต้องแก้วิกฤตตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย และเลี่ยงการเกิดหายนะได้อย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋น นอกจากนักพรตจิ่วอั้นแล้ว คนที่เหลือต่างก็พยักหน้าให้กับเหยาห้าวหยานที่มีท่าทีเคร่งเครียด สายตาเต็มไปด้วยความหวัง
“คือ ! ! ! ”
เหยาห้าวหยานอ้าปากพะงาบ ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
ท่านเย่ผู้นี้แม้แต่บรรพจารย์ทั้งสามท่านเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ยังต้องนอบน้อมราวกับผู้น้อย
ถูกต้อง !
‘ตัวเขาแม้จะเป็นประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ก็จริง’
‘ทว่าต่อหน้าของบรรพจารย์ทั้งสามท่านแล้ว แทบจะมิมีตัวตนเลยด้วยซ้ำ ? ’
‘ขอเพียงเป็นความต้องการของท่านบรรพจารย์ ก็สามารถปลดเขาออกจากตำแหน่งประมุขได้ตลอดเวลา’
‘เป็นข้านี่ช่างลำบากยิ่งนัก ! ’
ตอนนั้นเองเสียงที่ค่อนข้างแหบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก
“มิได้ ! ”
“เพราะตอนนี้ท่านเย่ยังคงเข้าฌานอยู่ หรือต่อให้เขามิได้เข้าฌาน หากนิกายกระบี่สวรรค์ยังมิได้พบกับหายนะ ก็มิสามารถไปรบกวนเขาได้เด็ดขาด”
สิ้นเสียงขงซิงเจี้ยนและอู๋ไท่เหอก็เดินวางมาดเข้ามาภายในตำหนักอย่างสบายอารมณ์
เห็นได้ชัดว่าไอพลังของขงซิงเจี้ยนนั้นเข้มข้นและรุนแรงขึ้นอย่างมาก แสดงว่าตบะบารมีของเขาคงก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสามารถเลื่อนถึงระดับสุขาวดีขั้นท้ายได้สำเร็จแล้ว
“ท่านพี่ขง ท่านพี่อู๋ ! ”
“ผู้อาวุโสขง ผู้อาวุโสอู๋ ! ”
“ท่านบรรพจารย์ ! ”
ทุกคนภายในตำหนักพันกระบี่เห็นดังนั้น ต่างก็ลุกขึ้นประสานมือคารวะ
อู๋ไท่เหอเองก็ประสานมือคารวะกลับเช่นกัน ก่อนจะเดินมาตรงหน้าแล้วถามว่า “พี่จิ่วอั้น เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”
นักพรตจิ่วอั้นเม้มริมฝีปากเล็กน้อย อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นกุมขมับและถอนหายใจออกมา “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ตอนนี้เซียนทุรชนได้ปรากฏตัวขึ้นในหลิงโจวแล้ว อีกทั้งข้างกายยังมีหุ่นเชิดที่ชั่วร้ายนับสิบตน รวมถึงขุนพลมรณะที่มีพลังแข็งแกร่งมากมายติดตามมาด้วย”
เซียนทุรชน ?
เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้ ขงซิงเจี้ยนและอู๋ไท่เหอมีสีหน้าเปลี่ยนไปแทบจะพร้อมกัน
นี่มันเรื่องอันใดกัน !
หลิงโจวนั้นเป็นเมืองรอบนอกของสวรรค์บูรพา เท่ากับว่าห่างไกลจากแคว้นอื่น ๆ อย่างมาก
ต่อให้จะมีเซียนทุรชนปรากฏตัวขึ้น ก็ต้องเป็นแคว้นใหญ่ ๆ ที่ประสบกับหายนะก่อนจะมาถึงหลิงโจว
มิหนำซ้ำยังมิมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าใด ๆ มาก่อน ?
อีกอย่างที่ชั้นบนสุดของหอเก็บตำราในนิกายกระบี่สวรรค์ ยังมีตำราโบราณเล่มหนึ่งได้บันทึกเอาไว้
เมื่อเซียนทุรชนปรากฏ สิ่งมีชีวิตโบราณจะตื่นขึ้น และทั่วทั้งสวรรค์บูรพาจะต้องพบกับความโกลาหลอันดำมืดในทุกแสนปี
สิ่งนี้เป็นวัฏจักร และถือเป็นการชำระล้างครั้งใหญ่
สวรรค์บูรพามีสามพันแคว้น มิมีผู้ใดจะหนีพ้นได้ !
หลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่ อู๋ไท่เหอก็สบตากับขงซิงเจี้ยน ก่อนจะส่งกระแสจิตถึงกัน “ศิษย์น้องขง เจ้าว่าที่ท่านเย่มาที่นี่ก็เพื่อหยุดยั้งการเกิดหายนะครั้งนี้ใช่หรือไม่ ? ”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหลายสิ่ง หากท่านเย่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับความโกลาหลในครั้งนี้ จะต้องประสบกับผลกรรมอันน่ากลัวเป็นแน่”
ขงซิงเจี้ยนส่ายหน้าน้อย ๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบกลับไปว่า “ข้ามองว่าเรื่องนี้จะพูดมิได้ จะถามก็มิได้ ทำได้เพียงคอยสังเกตอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น”
อู๋ไท่เหอพยักหน้าน้อย ๆ
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหานที่ยืนอยู่เงียบ ๆ มิเอ่ยมิจา กลับขมวดคิ้วน้อย ๆ แววตามีประกายความสงสัยพาดผ่าน
‘ตามกำหนดเวลาแล้วนายท่านผู้เฒ่าคงใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งปี จึงจะข้ามมหาสมุทรแท้จริงมายังที่นี่ได้’
‘แต่เวลานี้จู่ ๆ กลับมีเซียนทุรชนบุกมายังหลิงโจว หรือว่าจะมาเพราะตำหนักเทพวาสนากันนะ ? ’
‘มิได้ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านผู้เฒ่าทราบ มิว่าเยี่ยงไรก็มิอาจให้ผู้ใดชิงตำหนักเทพวาสนาไปได้เป็นอันขาด……’
หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เหลิ่งซินหานก็ได้ตัดสินใจว่า
หลังจากทุกคนแยกย้ายแล้ว เขาจะต้องหาวิธีส่งข่าวนี้ออกไปให้จงได้