เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 464 คงต้องรบกวนผู้อาวุโสเย่
ตอนที่ 464 คงต้องรบกวนผู้อาวุโสเย่แล้ว
“ศิษย์พี่จิ่วอั้น ท่านรักษาตัวด้วย พวกเราพบกันที่นิกายกระบี่สวรรค์นะขอรับ”
“ท่านบรรพจารย์ ท่านจะต้องรอดนะขอรับ ! ”
ประมุขนิกายจื่ออวิ๋น รวมทั้งเหล่าบรรพจารย์และผู้อาวุโสที่มีฝีมือต่างโค้งคำนับให้แก่จิ่วอั้น ด้วยความอาลัยอาวรณ์
พวกเขาต่างรู้ดีว่า นักพรตจิ่วอั้นอาจจะต้องดับสูญอยู่ที่นี่ก็เป็นได้
บางทีนี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็เป็นได้
หลังจากกล่าวลากันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้เหาะไปทางค่ายกลห้วงเวลาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
มิกี่อึดใจต่อมา
กลุ่มคนจำนวนสิบกว่าคนก็ได้หายเข้าไปในค่ายกลห้วงเวลา ที่มีลำแสงพุ่งสู่ท้องนภาและมีไอหมอกแผ่ออกมาปกคลุมอย่างรวดเร็ว
เห็นดังนั้นนักพรตจิ่วอั้นก็ได้กวาดตามองเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์กลุ่มหนึ่ง ที่ยังคงต่อสู้อย่างเต็มกำลังอยู่ด้านล่าง รวมทั้งหุ่นเชิดที่มีชุดเกราะห่อหุ้มไว้ทั้งร่างและกำลังไล่เข่นฆ่ามิหยุด
“ลูกศิษย์และศิษย์หลานทุกท่าน เมื่อเผชิญกับหายนะที่มิทันตั้งตัวเช่นนี้ ข้าเองก็มีแค่ใจแต่ไร้ความสามารถเช่นกัน หวังว่าพวกเจ้าจะมิถือโทษโกรธข้า”
นักพรตจิ่วอั้นเอ่ยด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดและจนปัญญา ก่อนจะกระตุ้นพลังวิญญาณภายในร่างทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันรองเท้าที่เขาสวมใส่อยู่ ก็ดูมิเหมือนรองเท้าธรรมดาอีกต่อไป
เมื่อมีสัญลักษณ์และลวดลายซับซ้อนมากมายปรากฏขึ้น มีแสงเปล่งออกมา และแผ่กลิ่นอายโบราณไปทั่ว
ขณะที่หุ่นเชิดตนหนึ่งกางนิ้วทั้งห้าออกราวกับกรงเล็บ พร้อมตวัดไปในกลางอากาศ ก่อนจะทะยานเข้ามาหา
พลังปราณก็ปะทุขึ้นรอบกายของนักพรตจิ่วอั้น ใต้ฝ่าเท้าเปล่งแสงสีทองออกมา ก่อนจะหายวับไปในอากาศ
เพียงพริบตาก็ได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนค่ายกลห้วงเวลา
วินาทีต่อมา นักพรตจิ่วอั้นพลันหมุนกายมองไปทางเรือเหาะขนาดใหญ่หลายลำ ที่ค่อย ๆ ลอยมาจากบนท้องนภา
“ความแค้นในวันนี้ข้าจะจำเอาไว้ วันหน้าจะคืนให้อย่างสาสม”
หางตาของนักพรตจิ่วอั้นกระตุกเล็กน้อย พลางเอ่ยออกมาด้วยความโกรธแค้น
ทันทีที่สิ้นเสียง ชวี่สิงหยางผู้มีร่างกายกำยำก็ปรากฏกายขึ้นที่หัวเรือ
“หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะยังปากดีเช่นนี้ได้อยู่นะ”
ชวี่สิงหยางหัวเราะเยาะออกมาอย่างมิแยแส พลางเอ่ยว่า “อีกอย่างหากข้าเดามิผิดแล้วล่ะก็ ค่ายกลห้วงเวลาของเจ้าคงจะไปโผล่ที่นิกายกระบี่สวรรค์กระมัง ? ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม ? ”
นักพรตจิ่วอั้นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “หรือท่านจะทำลายนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าขอเตือนท่านสักอย่าง นิกายกระบี่สวรรค์มียอดฝีมือที่ไร้เทียมทานท่านหนึ่ง เพียงแค่เขาออกหน้า พวกเจ้าก็มิต่างอันใดกับมดปลวกเท่านั้น”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่มากงั้นหรือ ? ”
ชวี่สิงหยางหรี่ตาลงมองนักพรตจิ่วอั้น พลางเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะที่สะใจ “ข้าจะบอกให้เจ้าได้รู้ว่าข้าเองก็เคยตามหาเส้นทางโบราณนั้นมาก่อน และรู้ถึงกฎไร้เทียมทานของสวรรค์บูรพามาแล้ว”
“บนสวรรค์บูรพาแห่งนี้นอกจากแดนอันตรายที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแท้จริงแล้ว ระดับเทพพิภพยังถือเป็นระดับที่สูงที่สุด การจะก้าวข้ามกฎอันไร้เทียมทานเพื่อข้ามไปมาระหว่างโลกเบื้องบนได้จึงเป็นไปได้ยากยิ่ง ต่อให้มีบุคคลเช่นนั้นอยู่จริงก็คงถูกกฎอันไร้เทียมทานกำจัดไปนานแล้ว”
นักพรตจิ่วอั้นหัวเราะออกมาอย่างขบขัน และเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “รอเจ้าได้พบท่านเย่เมื่อใด ก็จะเข้าใจได้เอง”
เอ่ยเพียงเท่านั้น นักพรตจิ่วอั้นที่เผชิญหน้ากับหุ่นเชิดท่าทางดุดัน ก็หมุนกายเข้าไปในค่ายกลห้วงเวลาโดยมิรอช้า
เห็นดังนั้นชวี่สิงหยางที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหนวดของตนเองด้วยท่าทางครุ่นคิด
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
“หรือว่าหลิงโจวที่ห่างไกลเช่นนี้ จะมีสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับเทพพิภพอยู่จริง ๆ ”
ชวี่สิงหยางพึมพำออกมา “แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงมีแค่สิ่งมีชีวิตโบราณในแดนอันตราย ที่อยู่ตอนกลางของสวรรค์บูรพาเท่านั้น”
“มิใช่ ๆ สิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงในดินแดนอันตรายมิกี่แห่งที่อยู่นอกเหนือกฎเท่านั้น หากก้าวออกมาเมื่อใด เวลาและหลักเต๋าอันโกลาหลของดินแดนอันตราย ก็จะต้องถูกกฎอันไร้เทียมทานจัดการอย่างไร้ความปรานี……”
ทว่าหลังจากได้ยินคำกล่าวของนักพรตจิ่วอั้น และเห็นแววตาที่จริงจังคู่นั้นแล้ว
ชวี่สิงหยางก็เริ่มการรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่านักพรตจิ่วอั้นมีตบะบารมีอยู่ในระดับเซียนขั้นกลาง เกรงว่าทั่วทั้งหลิงโจวคงมีเพียงมิกี่คนเท่านั้น และการทำให้ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้เลื่อมใสจากใจและเชื่อมั่นได้เช่นนี้
เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือที่ไร้เทียมทานที่เร้นกายอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์ผู้นี้ จะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาที่เคยตามหาเส้นทางโบราณแต่กลับล้มเหลว จนต้องอาศัยเลือดของลูกหลานตนเองมาต่อชีวิตให้เช่นเขา จึงอดมิได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
“ช่างเถอะต่อให้จะเป็นผู้ที่อยู่สูงกว่าระดับเทพพิภพ ข้าก็จะขอไปพบหน้าสักครั้ง อีกทั้งข้างกายข้ายังมีกองทัพหุ่นเชิด ที่เทียบได้กับผู้ที่กำลังจะก้าวสู่ระดับเทพพิภพถึงสิบตนอีกด้วย”
เอ่ยจบชวี่สิงหยางก็นำกระถางสัมฤทธิ์ที่เปล่งแสงสีเลือดใบหนึ่งออกมา
หลังจากนั้น พลังปราณรอบกายของเขาปะทุขึ้น มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรา
กระถางสัมฤทธิ์ใบนั้นพลันแผ่ไอเลือดออกมา สัญลักษณ์โบราณมากมายปรากฏ และมีกลิ่นอายเก่าแก่ที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนลอยออกมาอีกด้วย
จากนั้นชวี่สิงหยางก็ทะยานขึ้นฟ้า นำกระถางสัมฤทธิ์ปีศาจใบนั้นติดกายไปด้วย และเหาะตรงไปในทันที
ก่อนจะหยุดลงนั่งสมาธิอยู่บนท้องฟ้าเหนือนิกายจื่ออวิ๋น พร้อมกับทำท่ามุทรา
กระถางสัมฤทธิ์ปีศาจที่ลอยอยู่ด้านหน้าของเขา เปล่งลำแสงสีเลือดอันชั่วร้ายออกมา ก่อนจะฉายให้ทั่วบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงฉานภายในพริบตา
ทันใดนั้นภาพอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น
เมื่อทั้งชั้นนอกและชั้นในของนิกายจื่ออวิ๋นที่มีเลือดไหลริน เนื่องจากซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น เลือดเหล่านั้นกลับระเหยกลายเป็นหมอกเลือดจำนวนมหาศาล
นี่ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว และน่าสยดสยองยิ่งนัก
……
……
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากศิษย์กลุ่มใหญ่ของนิกายจื่ออวิ๋นต่างทยอยออกมาจากค่ายกลห้วงเวลา
โดยที่ร่างของแต่ละคนต่างโชกไปด้วยเลือด และมีท่าทางอ่อนล้า เหมือนประสบกับศึกอันใหญ่หลวงมาก็มิปาน
ทันใดนั้นทั่วทั้งนิกายกระบี่สวรรค์ก็เกิดความโกลาหลขึ้น
ก่อนหน้านี้ก็เป็นคราวเคราะห์ของวังเสวียนจีหนึ่งในสี่สำนักใหญ่
ที่ภายในชั่วข้ามคืน ตั้งแต่บรรพจารย์ไปจนถึงสุนัขที่อยู่ชั้นนอกของสำนัก ล้วนถูกสังหารจนสิ้น
ทว่าเพิ่งผ่านไปมิกี่วัน นิกายจื่ออวิ๋นก็ต้องมาประสบกับหายนะเช่นเดียวกันอีกครั้ง
นี่มันเรื่องอันใดกัน !
หรือว่ามีสุดยอดผู้แข็งแกร่งต้องการจะทำลายสี่สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจว ?
แล้วนิกายกระบี่สวรรค์จะต้องประสบกับหายนะเช่นนี้ด้วยหรือไม่ ?
ทันทีที่ทราบข่าว เหยาห้าวหยานผู้เป็นประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ ก็เดินนำเหล่าผู้อาวุโสมายังค่ายกลห้วงเวลาอย่างรีบร้อน
“ผู้อาวุโสเปา ท่านกับผู้อาวุโสอวี๋รับผิดชอบดูแลหาที่พักให้กับศิษย์ของนิกายจื่ออวิ๋นด้วย”
“ท่านประมุข พวกเรารับทราบแล้วขอรับ”
“ไปจัดการเดี๋ยวนี้ ! ”
“เด็กน้อย ประมุขของพวกเจ้าเล่า ? ”
“ประมุขเหยา ท่านประมุขจะตามมาภายหลังขอรับ”
“อืม พวกเจ้าไปรักษาตัวกันก่อนเถอะ”
“……”
“……”
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเคอ
ขณะที่เหยาห้าวหยานและเหล่าผู้อาวุโสได้มายืนอยู่ตรงหน้าของค่ายกลห้วงเวลา
มิกี่อึดใจต่อมา ต้วนตงไหลผู้เป็นประมุขของนิกายจื่ออวิ๋น รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋น ก็ทยอยเดินออกมาจากค่ายกลห้วงเวลา
“ผู้อาวุโสทุกทาน พี่ต้วน เกิดอันใดขึ้นกับนิกายจื่ออวิ๋นของพวกท่านกันแน่ ? ”
เหยาห้าวหยานขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ต้วนตงไหลส่ายหน้าด้วยท่าทางที่โศกเศร้า “พี่เหยา ความจริงแล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ข้าเองก็ยังมิทราบ”
เหยาห้าวหยานนิ่งงันไป พลางกวาดตามองเหล่าศิษย์ที่ยืนมองตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “เอาเช่นนี้พวกเราไปคุยกันที่ตำหนักพันกระบี่ดีกว่า”
ต้วนตงไหลและคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
มินานทุกคนก็เดินมาถึงตำหนักพันกระบี่อย่างรวดเร็ว
“พี่เหยา เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเช่นนี้”
หลังจากมาถึงตำหนักพันกระบี่ ต้วนตงไหลก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังคร่าว ๆ
“ประมุขเหยา คนพวกนั้นมิใช่คนดีอันใด โดยเฉพาะกลุ่มคนลึกลับที่สวมเสื้อเกราะเหล่านั้น แม้แต่พวกข้าก็หาใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันไม่”
หญิงชราผมเผ้ายุ่งเหยิง หูทั้งสองข้างมีคราบเลือดเกรอะกรังเอ่ยขึ้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ประมุขเหยา เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
บรรพจารย์ท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นเอ่ยปากขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหลายสำนัก ควรเชิญท่านบรรพจารย์ทั้งสามของนิกายกระบี่สวรรค์มาปรึกษาหารือด้วยจะดีกว่า”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ถึงขั้น…..ต้องรบกวนผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นด้วย” บรรพจารย์ท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น