เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 463 หายนะที่มิทันตั้งตัว
ตอนที่ 463 หายนะที่มิทันตั้งตัว
“นิกายจื่ออวิ๋น ? ”
ชวี่สิงหยางพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนจะอ้าปากและดูดกลืนหมอกเลือดจากร่างเมื่อครู่เข้าไปทันที
เมื่อได้เห็นภาพชวนสยดสยองตรงหน้า
ผู้อาวุโสนิกายจื่ออวิ๋นที่มีผมสีดอกเลาหลายคนต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจ พลางหันไปสบตากันเล็กน้อย
โหดเหี้ยมยิ่งนัก !
ตาเฒ่าร่างกายกำยำผู้นี้คงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีมารกระมัง ?
อีกทั้งพลังปราณที่แผ่ออกมาจากภายในร่างกายยังชั่วร้ายและน่ากลัวยิ่งนัก แค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ขนลุกชันและอกสั่นขวัญแขวนอย่างอดมิได้
พลังนี้มาจากที่ใดกันแน่ ?
“พี่ชายท่านนี้ ด้านหน้าเป็นแดนต้องห้ามของนิกายจื่ออวิ๋นของเรา ขอพวกท่านได้โปรดเลี่ยงไปทางอื่นด้วย”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดและมีใบหน้าตอบท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋น ก็ประสานมือคารวะอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยออกมา
“นิกายจื่ออวิ๋น ? ”
มุมปากชวี่สิงหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ดวงตาลุ่มลึก เย็นชา อีกทั้งยังแฝงประกายน่าสะพรึงกลัวออกมา
เพียงแค่ปรายตามองผู้อาวุโสท่านนั้น อีกฝ่ายก็พลันมีใบหน้าซีดเผือด และถอยหลังไปหลายก้าวอย่างอดมิได้
“นิกายจื่ออวิ๋นของพวกเจ้ายิ่งใหญ่มากในหลิงโจวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชวี่สิงหยางเอ่ยถามเหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋นพร้อมรอยยิ้มเยาะ
ผู้อาวุโสร่างท้วมคนหนึ่ง ที่ขมับมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดออกมาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “หลิงโจวนั้นมีสี่สำนักเซียนใหญ่ นิกายจื่ออวิ๋นถือเป็นหนึ่งในสี่สำนักเซียนใหญ่”
“สี่สำนักเซียนใหญ่ ? ”
ดวงตาของชวี่สิงหยางเป็นประกายวาววับ ก่อนจะหายตัวไปทันที
วินาทีต่อมา ห้วงอากาศรอบ ๆ ก็เกิดเป็นระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ขึ้น พร้อมมีเสียงคำรามดังกึกก้อง เพียงพริบตาก็มีฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่กางออก ก่อนจิกลงไปที่ศีรษะของผู้อาวุโสท่านนั้นราวกับกรงเล็บเหล็ก
“ข้าจะดูสิว่านิกายจื่ออวิ๋นของพวกเจ้าจะเก่งกาจเพียงใดกัน”
ชวี่สิงหยางหัวเราะเย้ยหยันออกมาเสียงดัง รอบกายพลันเกิดไอเลือดตลบอบอวล มีแสงสีแดงเข้มเปล่งออกมา พร้อมไอพลังที่ชั่วร้ายที่ปะทุออกมา
ส่วนผู้อาวุโสที่ถูกเขาจิกหัวอยู่นั้น ราวกับว่าจิตวิญญาณและพลังวิญญาณได้ถูกจองจำเอาไว้ แม้ร่างกายจะสั่นเทาเพียงใดก็มิสามารถต่อต้านหรือขัดขืนใด ๆ ได้เลย
เมื่อเห็นดังนั้นผู้อาวุโสที่เหลือต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
“ที่นี่เป็นดินแดนของนิกายจื่ออวิ๋น ท่านกล้าลงมือเช่นนี้กับผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋นของเรา ท่านต้องการที่จะเปิดศึกกับนิกายจื่ออวิ๋นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งมีสีหน้าเข้มขึ้น เอ่ยถามพร้อมกัดฟันกรอด
“เปิดศึก ? ”
ชวี่สิงหยางหัวเราะเสียงเย็นพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “อาศัยแค่พวกไร้ฝีมือเช่นพวกเจ้า คู่ควรเป็นศัตรูของข้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นชวี่สิงหยางก็หันไปเอ่ยกับกลุ่มคนลึกลับ ที่สวมเสื้อเกราะราวกับปราการเหล็กทั้งสิบคน
“เหมือนเดิม ! ”
“ผู้แข็งแกร่งระดับเซียนให้จับเป็น ข้าจะนำพวกมันมาทำเป็นหุ่นเชิด ศิษย์ที่คุณสมบัติวิถีเซียนยอดเยี่ยมก็ให้จับเป็น ข้าจะเอามาฝึกเป็นขุนพลมรณะ ! ”
“ส่วนคนที่เหลือ……กำจัดให้สิ้นซาก ! ”
คำสั่งของชวี่สิงหยางนี้ ราวกับมอบอำนาจให้กลุ่มคนลึกลับที่สวมชุดเกราะทั้งสิบก็มิปาน
ทันใดนั้นหุ่นเชิดที่มีพลังแข็งแกร่งทั้งสิบคนต่างก็กระโดดออกจากเรือเหาะ ก่อนพุ่งลงสู่เบื้องล่างราวกับฝนดาวตก
มิเพียงเท่านั้น เรือเหาะลำที่อื่น ๆ ก็มีผู้ที่แข็งแกร่งสวมเกราะสีเงินหลายคน ทยอยพุ่งตัวลงสู่เบื้องล่างด้วยเช่นกัน
“พวก พวกเจ้า……เป็นผู้ใดกันแน่ ? ”
เมื่อได้เห็นภาพอันน่าอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋นต่างก็ก้าวถอยหลังเพื่อเตรียมหนี
ขณะเดียวกันพวกเขาก็ลอบส่งสายตาสื่อสารกันเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติแทบจะพร้อมกัน และถือเอาไว้ในมือก่อนจะหักหยกจนแตกเป็นชิ้น ๆ ภายในพริบตา
“พวกเจ้ามิต้องกังวลไป วิถีเซียนแต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความอันตราย การที่พวกเจ้าได้พบกับข้าก็คิดซะว่าพวกเจ้าดวงมิดีก็แล้วกัน……”
ชวี่สิงหยางเอ่ยออกมา ขณะใช้เคล็ดวิชาประหลาดสำรวจความทรงจำของผู้อาวุโสนิกายจื่ออวิ๋นที่ถูกเขาผนึกเอาไว้
ทว่าเขายังเอ่ยมิทันจบ ท่าทางของเขาก็ดูแปลกไป
“หนึ่งในสี่สำนักเซียนใหญ่ของหลิงโจว นิกายกระบี่สวรรค์ มียอดฝีมือที่ไร้เทียมทานผู้หนึ่งปรากฏขึ้นงั้นหรือ ? ”
ชวี่สิงหยางเอ่ยถามผู้อาวุโสที่เหลือ พร้อมหัวเราะเสียงดังออกมา “พวกเจ้าลองบอกข้ามาสิว่ายอดฝีมือที่ไร้เทียมทานผู้นั้นเก่งกาจเพียงใดกัน ? หรือก้าวเข้าสู่ระดับเทพพิภพแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลังสิ้นเสียงเหล่าผู้อาวุโสต่างก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะส่งสายตาสื่อสารกันเล็กน้อย
“ตามที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งของนิกายจื่ออวิ๋นของเราบอกมา หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดท่านเย่ผู้นั้นคงจะมีตบะบารมีระดับเทพพิภพแล้ว”
“มิใช่สิ ท่านบรรพจารย์จิ่วอั้นมิได้กล่าวเช่นนั้น เขาบอกว่าท่านเย่ผู้นี้อย่างน้อยคงมีตบะบารมีระดับระดับเทพพิภพแล้ว หรืออาจเป็นผู้ไร้เทียมทานที่อยู่สูงกว่าระดับเทพพิภพอีกด้วย”
“ที่พวกเจ้าเอ่ยมายังมิถูกต้อง ข้าได้ยินบรรพจารย์อีกท่านกล่าวว่า ท่านเย่ผู้นั้นอาจจะมาจากแดนเซียนโบราณในตำนานอีกด้วย”
“ใช่แล้ว ที่ข้าได้ยินมาก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถข้ามไปมาระหว่างสองโลกได้อย่างง่ายดายอีกด้วย แสดงว่าท่านเย่ผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่น่ากลัวที่สุดในแดนเซียนโบราณเป็นแน่”
“……”
“……”
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋นยิ่งพูดยิ่งฟังเกินจริงนั้น
สีหน้าของชวี่สิงหยางกลับเย็นชาลง มุมปากแสยะยิ้มออกมา รอบกายพลันแผ่ไอสังหารที่เย็นยะเยือกจนเข้ากระดูกดำออกมา
“พวกเจ้าอยากตายหรือไง ! ”
ชวี่สิงหยางแววตาวาวโรจน์ไปด้วยจิตสังหาร จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เกิดเป็นแสงโลหิตที่ห่อหุ้มไอพลังอันน่ากลัวออกมา
ทันใดนั้นกลางอากาศก็ได้เกิดรอยแยกยาวหลายจั้งขึ้นสายหนึ่ง พร้อมมีประกายไฟอันเจิดจ้าลุกโชนขึ้นมา
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋นยังมิทันรู้สึกตัว จู่ ๆ ร่างก็แตกสลายกลายเป็นละอองเลือดที่มีกลิ่นคาวคละคลุ้งไปเสียแล้ว
จากนั้นชวี่สิงหยางอ้าปากสูดเอาละอองเลือดกลุ่มใหญ่นั้นเข้าปากในทันที เป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก
“เดิมทีคิดจะให้ปลวกมดอย่างพวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ว่าข้าใช้วิธีใดในการทำให้บรรพจารย์ของพวกเจ้ากลายเป็นหุ่นเชิดของข้า แต่พวกเจ้ากลับกล้าหลอกลวงข้า”
ชวี่สิงหยางแค่นเสียงเย็นออกมา พลางพึมพำว่า “นิกายกระบี่สวรรค์……ท่านเย่ ? ”
“ช่างเถอะ ข้าจะดูสิว่า ท่านเย่ผู้นี้จะเก่งกาจเพียงใดกัน ? ”
……
……
อีกด้านหนึ่ง
บนเขาจื่ออวิ๋นอันเป็นที่ตั้งของนิกายจื่ออวิ๋น
มิว่าจะเป็นชั้นนอกหรือชั้นใน ที่มีเหล่าศิษย์กระจายตัวกันอยู่
บ้างก็เป็นผู้ที่นั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญเพียร
บ้างก็กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่……
เพียงเสี้ยววินาที บนท้องนภาก็ปรากฏร่างของผู้แข็งแกร่งที่สวมชุดเกราะมากมายขึ้น อย่างมิมีปี่มีขลุ่ย
มิกี่อึดใจต่อมาผู้แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยพลังอันน่ากลัวเหล่านี้ ก็โรยตัวลงมาราวกับห่าฝน
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงกล้าบุกเข้ามาในนิกายจื่ออวิ๋นของเรา……”
ยังมิทันสิ้นเสียง ศิษย์สายนอกผู้หนึ่งก็ถูกดาบยาวเล่มหนึ่งฟันขาดเป็นสองท่อน
เมื่อเห็นภาพอันเหี้ยมโหดเช่นนี้
ศิษย์สายนอกที่เหลือต่างก็ตกใจจนทำอันใดมิถูก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับหิน
ทว่าขุนพลมรณะที่สวมเกราะเงินเหล่านี้ หาได้มีความรู้สึกใด ๆ ไม่
ในหัวของพวกเขา มีเพียงคำสั่งให้ฆ่าฟันเท่านั้น
จนเวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป
บัดนี้นิกายจื่ออวิ๋นชั้นนอก เรียกได้ว่านองไปด้วยเลือดและซากศพที่นอนเกลื่อนกลาด
ราวกับนรกบนดินก็มิปาน เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองยิ่งนัก
และในเวลานี้นิกายจื่ออวิ๋นชั้นในเองก็น่าอนาถพอกัน
สิ่งก่อสร้างเก่าแก่มากมายถูกทำลาย ผู้อาวุโสนับสิบกว่าคนถูกขุนพลเกราะเงินล้อมเอาไว้ และตายอย่างน่าอนาถ
บรรพจารย์ที่มีฝีมือโดดเด่นหลายท่าน หลังจากต่อสู้และสังหารหุ่นเชิดไปได้สิบกว่าตน ต่างก็เริ่มหมดแรง
“ท่านบรรพจารย์ ศิษย์สายหลักเกือบร้อยคนได้ข้ามค่ายกลห้วงเวลาไปที่นิกายกระบี่สวรรค์แล้ว พวกเราก็หนีเถอะขอรับ”
ประมุขนิกายจื่ออวิ๋นที่มีใบหน้าซีดเผือด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
นักพรตจิ่วอั้นหอบหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะกวาดตามองบรรพจารย์ท่านอื่นที่เหลือ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะระวังหลังให้เอง”
สิ้นเสียง เหล่าหุ่นเชิดที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าสิบตนก็พุ่งเข้ามาหมายสังหารอีกครั้ง……