เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 462 บรรพบุรุษของราชวงศ์กู่หยางเซียน
ตอนที่ 462 บรรพบุรุษของราชวงศ์กู่หยางเซียน
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อชวี่เหวินเซี่ยและหนิงซู่ซู่กลับมาถึงยอดเขาสตรีหยกแล้ว
ชวี่เหวินเซี่ยก็อดมิได้ที่เอ่ยถามขึ้นว่า “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ท่านได้พบกับศิษย์……ท่านเย่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เมื่อเห็นหนิงซู่ซู่ที่มีท่าทางเย็นชาและเงียบนิ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างมาตลอดทาง
ชวี่เหวินเซี่ยจึงรู้สึกเหมือนว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ระหว่างอาจารย์และศิษย์น้องเย่อย่างแน่นอน
‘หรือว่าพวกเขาสองคนจะมีอันใดกัน แต่ศิษย์น้องเย่ทำมิได้ ? ’
‘คงมิใช่หรอกกระมัง ! ’
ได้ยินดังนั้นหนิงซู่ซู่ที่กำลังจะหมุนกายจากไปพลันชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะถอนใจออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “อืม ได้พบกันแล้ว”
ชวี่เหวินเซี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างลำบากใจว่า “พวก……พวกท่านคงมิได้พบกันภายในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์หรอกใช่ไหมเจ้าคะ ? ”
“มิใช่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นด้านนอกสระน้ำศักดิ์สิทธิ์”
หนิงซู่ซู่นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
นางนิ่งเงียบอยู่เยี่ยงนั้นพักใหญ่ ก่อนที่แววตาจะมีประกายสับสนพาดผ่าน จากนั้นก็ได้เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เหวินเซี่ย เจ้าเคยบำเพ็ญเพียรกับเขามาระยะหนึ่งใช่หรือไม่ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยพยักหน้าเบา ๆ
หนิงซู่ซู่จึงเอ่ยอย่างตะกุกตะกักต่อว่า “เช่นนั้นเจ้า……รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ? ”
‘เป็นคนเช่นไร ? ’
‘คนแบบไหน ? ’
‘อาจารย์นี่ท่านกำลังเอ่ยถึงคือเรื่องอันใดกันแน่ ! ’
‘มิใช่กระมัง ! ’
‘มิใช่ว่าศิษย์น้องเย่ทำอันใดเช่นนั้นจริง ๆ หรอกนะ ? ’
ชวี่เหวินเซี่ยกะพริบตาปริบ ๆ ภายในหัวเต็มไปด้วยความมึนงง “อาจารย์ เกิดอันใดขึ้นระหว่างท่านกับศิษย์……ท่านเย่กันแน่เจ้าคะ ? ”
หนิงซู่ซู่พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง “เขาบอกว่า……เขาชอบบุรุษ”
ห๊ะ ! ! !
เมื่อได้ยินคำตอบนั้นชวี่เหวินเซี่ยถึงกับชะงักงันไปทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกลั้นหัวเราะเอาไว้
‘ศิษย์น้องเย่จะฉลาดเกินไปแล้ว ! ’
‘ถึงกับยกเหตุผลไร้สาระเช่นนี้มาปฏิเสธอาจารย์เชียวหรือนี่ ! ’
‘อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว ท่านอาจารย์เหมือนจะเชื่ออย่างสนิทใจอีกด้วย’
‘เหมือนที่ศิษย์น้องเย่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้มิมีผิด’
‘สตรีที่กำลังตกหลุมรักล้วนไร้ซึ่งสติปัญญา ! ’
‘แม้แต่อาจารย์ที่บำเพ็ญเพียรมาหลายพันปีก็มิสามารถหลีกหนีความจริงข้อนี้ได้’
‘แน่นอนว่าผู้ที่แม้แต่ภูผาตรงหน้าจะถล่มลงมา สีหน้าก็มิเปลี่ยนแปลง เช่น ศิษย์น้องเย่’
‘ถ้าตอนนั้นข้าอยู่ในสถาการณ์นั้นด้วย เกรงว่าคงรู้สึกสงสัยเช่นกันกระมัง ? ’
ทว่าหนิงซู่ซู่ที่เมื่อเห็นมุมปากของชวี่เหวินเซี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย ก็ขมวดคิ้วขึ้นน้อย ๆ เหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้
‘มิใช่ ! ’
‘เขามิใช่คนเช่นนั้น ! ’
‘คำกล่าวนั้นของเขา ก็เพียงแค่ต้องการปฏิเสธข้าเท่านั้น ! ’
‘ช่างโง่เขลาสิ้นดี ตอนนั้นเหตุใดข้าถึงเชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นได้ ? ’
“เหวินเซี่ย เจ้าหมายความว่าเขามิใช่คนเช่นนั้นใช่หรือไม่ ? ”
หนิงซู่ซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แววตาทอประกายบางอย่างออกมา ขณะเอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ย
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ศิษย์ก็จะปิดบังอีก”
จากนั้นชวี่เหวินเซี่ยก็เรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนางคิดว่าจำเป็นจะต้องอธิบายบางเรื่องให้หนิงซู่ซู่เข้าใจ
“อาจารย์ ความจริงแล้วศิษย์เองก็มิทราบว่าท่านเย่แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นนั้นหรือไม่ แต่ศิษย์คิดว่าเขาหาใช่คนเช่นนั้นไม่”
ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยจริงจัง “อีกทั้งท่านเย่ยังเคยบอกศิษย์ด้วยว่าความจริงแล้วภายในใจของเขามีคนผู้หนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปัดท่านเช่นนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนิงซู่ซู่พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป พลางส่ายหน้าไปมามิหยุด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ! ”
“เขาเพียงแค่ปฏิเสธข้า แต่มิต้องการให้เรื่องนี้กระทบต่อจิตใจของข้า จึงได้บอกปัดด้วยเหตุผลเช่นนี้……”
หนิงซู่ซู่ขอบตาแดงเรื่อ ท่าทางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไอพลังบนกายนางก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
“อาจารย์เจ้าคะ ! ”
เมื่อเห็นจิตใจของหนิงซู่ซูเริ่มผิดปกติ ชวี่เหวินเซี่ยก็อดมิได้ที่จะร้องเรียกออกมาอย่างเป็นกังวล
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของนาง หนิงซู่ซู่กลับแปลงร่างเป็นลำแสงและหายวับไปในทันที
“เหวินเซี่ย เจ้ามิต้องสนใจข้า นี่เป็นเคราะห์กรรมของข้า ข้าจะแก้ไขมันด้วยตัวข้าเอง”
มิกี่อึดใจต่อมา
ยอดเขาสตรีหยกจึงเหลือเพียงชวี่เหวินเซี่ย ที่ยืนเหม่อลอยเพียงลำพังเท่านั้น
สิ่งที่นางเป็นกังวลก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะถูกปฏิเสธจึงทำให้จิตใจของอาจารย์มีปัญหา
หากนางมิอธิบายเรื่องนี้ และแสร้งทำเหมือนว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น จะสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ ?
หลังจากใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน ชวี่เหวินเซี่ยก็ได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางที่หนิงซู่ซู่จากไป พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเศร้าเสียใจว่า “อาจารย์เจ้าคะ ครั้งนี้……บางที……อาจเป็นศิษย์เองที่ตัดสินใจพลาดไป”
……
……
จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน
วันนี้ทางชายแดนตอนใต้ของหลิงโจว
เรือเหาะขนาดใหญ่เปล่งประกายสว่างไสวหลายลำ ก็ได้ลอยข้ามแม่น้ำและทิวเขา จากฉีโจวที่อยู่ติดกับหลิงโจวมายังที่นี่
แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ทว่ากลับแผ่ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมาด้วย
มิเพียงเท่านั้น พลังบนเรือเหาะเหล่านี้ยังแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่ง พวกเขาเดินทางผ่านหลายแคว้นจนมาถึงหลิงโจว และระหว่างทางมาที่นี่ยังได้บุกน่านฟ้าแดนต้องห้ามของสำนักเซียนหลายแห่งอย่างมิเกรงกลัวอีกด้วย
และเมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้ามาขวางทาง พวกเขาก็จะลงมือสังหารอย่างมิปรานี
ช่างโหดเหี้ยม และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !
เวลานี้บนเรือเหาะลำที่เป็นผู้นำ
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำ ใบหน้าดำคล้ำและเต็มไปด้วยริ้วรอยผู้หนึ่ง กำลังนอนอยู่บนตั่งทองอันหรูหราอย่างเกียจคร้าน
ส่วนข้างกายทั้งสองข้างของเขาก็ได้มีกลุ่มคนลึกลับ ที่ทั้งร่างสวมเกราะสีดำและปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิดจนเหลือเพียงดวงตาสองข้าง ยืนอยู่ราวกับหอคอยเหล็กก็มิปาน
มิเพียงเท่านั้นไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขายังแปลกประหลาดมากอีกด้วย
รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกจนเข้ากระดูกดำ จากไอสังหารที่แผ่ออกมา
“เรียนท่านบรรพบุรุษ พวกเราเข้าสู่เขตหลิงโจวแล้วขอรับ”
บุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลและสวมชุดเกราะผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อรายงาน
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำที่นอนตะแคงอยู่บนตั่งทองจึงได้ยกมุมปากขึ้น และค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ทว่าในวินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น ประกายเย็นยะเยือกสีแดงฉานพลันพาดผ่านแววตา
“หากสิ่งที่ข้าสัมผัสได้มิผิดไปละก็ นางเด็กคนนั้นคงจะซ่อนตัวอยู่ที่หลิงโจวกระมัง ? ”
ผู้เฒ่ารูปร่างกำยำมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย พลางหันไปมองบุรุษลึกลับผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ที่ถูกขังเอาไว้ในโอ่งหินใบหนึ่ง
เดาได้มิยากว่าคนผู้นี้ก็คือบุรุษวัยกลางคน ที่มอบศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งล้านก้อนและโอสถมากมายให้แก่นักพรตชิงอวิ๋นที่เมืองหลานซีนั่นเอง
หรือก็คือผู้ติดตามที่เป็นคนพาชวี่เหวินเซี่ยหลบหนีมาหลิงโจวในตอนแรกนั่นเอง
“เจ้าคิดว่าแค่ปิดปากเงียบ ข้าก็จะปล่อยเรื่องนี้ไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ดวงตาที่ลุ่มลึกและแดงก่ำของผู้เฒ่าร่างกำยำเปล่งประกายเย็นชาออกมา พลางเอ่ยพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะบุรุษวัยกลางคน ที่มีนาม เอี๋ยนสืออวี่
“เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ขอเพียงเป็นลูกหลานของราชวงศ์กู่หยางเซียน ภายในกายย่อมมีสายเลือดของข้าไหลเวียนอยู่ หากข้าต้องการแล้วล่ะก็แค่ใช้เวลาและเลือดอีกนิดหน่อย ก็สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งได้แล้ว”
“และเหตุผลที่ข้ายังมิสังหารเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าเห็นกับตา ว่าสิ่งที่เจ้ายึดมั่นแท้จริงแล้วคืออันใดกันแน่ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เอี๋ยนสืออวี่ ที่เดิมหายใจรวยรินอยู่พลันลืมตาอันแดงก่ำขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยสีหน้าดุดันว่า “ชวี่สิงหยาง ปีศาจเช่นเจ้ามิมีวันได้ตายดี วันหน้าเจ้าต้องถูกสวรรค์ลงโทษ ! ”
“ฮ่า ๆ ……”
“สายตาของเจ้าช่างตื้นเขินยิ่งนัก การบำเพ็ญเพียรวิถีเซียนหาได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดไม่ มิเช่นนั้นข้าจะสามารถอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
ผู้เฒ่าร่างกำยำที่ถูกเรียกว่า ชวี่สิงหยาง หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “มิเพียงแค่นางหนูชวี่เหวินเซี่ยเท่านั้น แต่คนของราชวงศ์กู่หยางเซียนทุกคนจะเป็นเพียงเตาหลอมที่เอาไว้ต่อชีวิตของข้าเท่านั้น”
วินาทีต่อมา ชวี่สิงหยางพลันลุกขึ้นจากตั่งทอง เมื่อเขาสะบัดแขนข้างหนึ่ง สตรีร่างอรชรนางหนึ่งก็ระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดฟุ้งจายในอากาศภายในพริบตา
ทว่าขณะที่เขาเตรียมจะดูดกลืนเข้าไปนั้น
จู่ ๆ ก็มีร่างหลายร่างโรยตัวลงมาจากบนฟ้า และปรากฏกายขึ้นที่หัวเรือ
“สหายทุกท่าน ด้านหน้าเป็นแดนต้องห้ามของนิกายจื่ออวิ๋นของเรา ขอได้โปรดเลี่ยงไปใช้ทางอื่นด้วย”