เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 461 ความรู้สึกน่าเกรงขามเช่นนี้มิเลวเลย
ตอนที่ 461 ความรู้สึกน่าเกรงขามเช่นนี้มิเลวเลย
เมื่อเห็นหนิงซู่ซู่และชวี่เหวินเซี่ยจากไปอย่างรีบร้อน เจี้ยนอู๋เหินก็นิ่งงันอึ้งอยู่เยี่ยงนั้น
‘นี่……นี่ข้ามิเป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่ ? ’
‘ท่านบรรพจารย์หนิงจากไปง่าย ๆ เช่นนี้จริง ๆ หรือ ? ’
‘หรือเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้น ถึงทำให้ท่านบรรพจารย์รีบพาอาจารย์อาจากไปเช่นนี้ ? ’
อืม !
‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘แต่หากนางรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในภายหลัง อาจจะมาคิดบัญชีกับข้าอีกก็เป็นได้ ! ’
‘มิมีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีกแล้ว’
‘อนาคตของข้าในตอนนี้คงทำได้เพียงฝากไว้ในมืออาจารย์อาแล้ว’
‘จริงสิ ! ’
‘สายตาที่ท่านบรรพจารย์หนิงมองข้าก่อนหน้านี้ ทำไมดูเคียดแค้นเยี่ยงไรก็มิรู้ ? ’
‘แปลก ! ’
‘น่าแปลกจริง ๆ ! ’
หลังจากครุ่นคิดด้วยความสับสนแล้ว
เจี้ยนอู๋เหินก็ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วเหาะไปอีกทางในทันที
มินานเมื่อเจี้ยนอู๋เหินกลับมา ก็พบว่าเย่ฉางชิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านนอกป่าไผ่ และดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างอยู่
“ท่านเย่”
เจี้ยนอู๋เหินฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเย่ฉางชิง พร้อมคารวะอย่างนอบน้อม
“ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงถอนสายตากลับมา ก่อนจะปรายตามองเจี้ยนอู๋เหิน
“ท่านเย่ เรื่องนี้มิได้เป็นอย่างที่ท่านคิดนะขอรับ”
เจี้ยนอู๋เหินเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบอธิบายออกมา “สระน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นมีทางเข้าสองทาง พวกเราเข้าไปอีกทาง ส่วนท่านบรรพจารย์หนิงก็เข้าไปจากอีกทาง ดังนั้นตอนที่ศิษย์อยู่ที่ทางเข้าจึงมิได้พบกับพวกนางขอรับ”
พวกนาง ?
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเย่ฉางชิงเกิดประกายวาววับขึ้น
พวกนาง เช่นนั้นก็แสดงว่าศิษย์พี่ชวี่มาด้วย แต่กลับมิได้เข้าไปในสระศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับบรรพจารย์ท่านนั้น
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มิได้จบเรื่องนี้ต่อหน้าศิษย์พี่ชวี่
อีกอย่างศิษย์พี่ชวี่นั้นรู้จักข้าดี นางคงมิคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก
“เสี่ยวเจี้ยน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะเข้าฌานเพื่อบำเพ็ญเพียร”
เย่ฉางชิงกวาดตามองเจี้ยนอู๋เหินที่ยิ้มเต็มหน้า ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “ก่อนที่ข้าจะออกฌาน เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปบำเพ็ญเพียรที่อื่น ข้าจะมิบังคับเจ้า”
หลังเอ่ยจบเย่ฉางชิงก็เดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของป่าไผ่ ทิ้งเจี้ยนอู๋เหินที่ยังคงมีท่าทางสับสนเอาไว้เพียงผู้เดียว
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
พลังปราณบริเวณนั้นก็พลุ่งพล่านขึ้น พลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลสั่นสะเทือน
อีกทั้งยังมีไอพลังจากค่ายกลโบราณอันบริสุทธิ์มากมายแผ่ออกมาอีกด้วย
มินานทั่วทั้งยอดเขาแห่งนี้ก็มีไอหมอกจาง ๆ ปกคลุมจนทั่ว
เพียงพริบตา ไอหมอกที่บางเบาก็เริ่มหนาแน่นขึ้น จนแทบจะมองมิเห็นแม้แต่มือของตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ได้มีค่ายกลลึกลับขนาดใหญ่ถูกวางเอาไว้
ส่วนผู้ที่วางค่ายกลนี้ก็คือผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากลู่ซานหยางอย่างเย่ฉางชิงนั่นเอง
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า และสัมผัสถึงไอพลังค่ายกลที่แผ่ออกมา
ใบหน้าของเจี้ยนอู๋เหินก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านเย่สมกับเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานจริง ๆ เพียงแค่วางค่ายกลลึกลับแค่ค่ายกลเดียวยังแผ่ไอพลังออกมารุนแรงถึงเพียงนี้ หากเขาบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ การอยู่ที่นี่มิเท่ากับเป็นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่หรอกหรือ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินที่เพิ่งได้สติ ก็พึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
ผ่านไปมิกี่อึดใจ
เขาก็เหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเหาะขึ้นฟ้าและมุ่งหน้าไปทางนิกายกระบี่สวรรค์ชั้นในทันที
ทว่าเมื่อเจี้ยนอู๋เหินเหาะไปได้สิบกว่าลี้
ร่างหลายร่างพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาราวกับภูตผี และขวางทางเขาเอาไว้
โดยผู้นำของคนเหล่านี้ ก็คือ ประมุขคนปัจจุบันของนิกายกระบี่สวรรค์เหยาห้าวหยาน และเหล่าผู้อาวุโสคนสนิทของเขา
“อาจารย์ พวกท่านมาทำอันใดที่นี่หรือขอรับ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินกวาดตามองทุกคนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ
“เจ้าเด็กน้อยนี่ ตั้งแต่ไปหาท่านบรรพจารย์ขงก็มิเห็นหน้าเห็นตาเลย และยังมิมารายงานผลการเข้าฌานให้อาจารย์ฟังอีก”
มุมปากของเหยาห้าวหยานกระตุกขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยพร้อมส่งสายตาตำหนิ “หรือตอนนี้เจ้าก็มิเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วงั้นหรือ ? ”
“อาจารย์ ท่านเอ่ยอันใดของท่านกันขอรับ ! ”
เจี้ยนอู๋เหินนิ่งงันไป ก่อนจะยิ้มประจบออกมา “ท่านอาจจะยังมิรู้……”
เอ่ยถึงตรงนี้เสียงของเจี้ยนอู๋เหินก็ชะงักไป ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ว่า “ท่านอาทุกท่าน ศิษย์มีเรื่องสำคัญต้องการจะปรึกษากับอาจารย์ รบกวนทุกท่านช่วยถอยออกไปก่อนได้ไหมขอรับ”
“นี่มัน……”
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าผู้อาวุโสต่างก็หันไปสบตากัน จากนั้นเมื่อเห็นเหยาห้าวหยานส่งสัญญาณให้ จึงได้ยอมถอยออกไป
“อู๋เหิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นเหล่าผู้อาวุโสถอยออกไปแล้ว เหยาห้าวหยานก็มีท่าทีอ่อนลง พลางเอ่ยด้วยความเมตตาว่า “พวกเราสองคนศิษย์อาจารย์มิได้คุยกันนานแล้ว เราไปหาที่นั่งคุยกันดีหรือไม่ ? ”
“อาจารย์ อย่าเลยขอรับ ศิษย์ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ เพราะต้องรีบไปที่สำนักชั้นนอกขอรับ”
เจี้ยนอู๋เหินโบกมือน้อย ๆ แล้วเอ่ยต่อว่า “ความจริงแล้วครั้งนี้ท่านบรรพจารย์ขงได้มอบโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้แก่ศิษย์ หากพลาดไปแล้วล่ะก็ ศิษย์จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้มิได้ไปคารวะอาจารย์ขอรับ”
“บรรพจารย์ขง ? โอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ ? ”
“ใช่ขอรับ เป็นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่”
“อู๋เหิน เจ้ามิต้องรีบร้อน ไหนลองอธิบายให้อาจารย์ฟังสิ ว่าแท้จริงแล้วเป็นโอกาสและวาสนาเช่นไรกันแน่”
“การได้อยู่ใกล้ชิดท่านเย่ คอยรับใช้ดูแลท่านเย่ขอรับ”
“อันใดนะ ! อู๋เหิน เจ้าเป็นถึงศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ และเป็นประมุขนิกายกระบี่สวรรค์ในภายภาคหน้า จะไปเป็นคนรับใช้ให้ผู้อื่นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“เรื่องบางเรื่องมิใช่สิ่งที่ท่านกับข้าจะสามารถคาดถึงได้ ศิษย์บอกท่านได้เพียงว่านี่เป็นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ขอรับ”
“นี่มัน ? ”
“อาจารย์ พอแค่นี้ก่อนนะขอรับ รอศิษย์จัดการเรื่องที่สำนักชั้นนอกเรียบร้อยแล้ว จะรีบกลับมารายงานอีกที”
เอ่ยเพียงเท่านั้น เจี้ยนอู๋เหินก็ประสานมือคารวะให้แก่เหยาห้าวหยาน และเหาะไปทันที
ทิ้งเหยาห้าวหยานที่ยังคงตกตะลึงเอาไว้บนอากาศเพียงลำพัง
“เพียงแค่อยู่ข้างกาย ก็เป็นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้วงั้นหรือ”
“ท่านเย่ผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่ ? เหตุใดถึงรู้สึกลึกลับขึ้นทุกที……”
เหยาห้าวหยานมองไปยังส่วนลึก พลางทอดถอนใจออกมาอย่างอดมิได้
จนเวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดเจี้ยนอู๋เหินก็เหาะจากนิกายกระบี่สวรรค์ชั้นใน มายังด้านหน้าตำหนักเจิ้งหยางที่อยู่ชั้นนอก
ทันใดนั้นเมื่อเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสชั้นนอกเห็นศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์มาเยือน ต่างก็รีบเข้ามาหาจากทุกทิศทุกทาง
“ผู้น้อยคารวะศิษย์พี่ใหญ่”
“คารวะประมุขน้อย”
เมื่อได้รับการเคารพอย่างนอบน้อมจากทุกคน ครั้งนี้เจี้ยนอู๋เหินหาได้มีท่าทีหยิ่งทะนงอย่างเช่นแต่ก่อนไม่ แต่กลับยิ้มออกมาน้อย ๆ ดูสุภาพและสง่างาม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายราวกับสายลมยามวสันต์ฤดู
“มิทราบว่าตอนนี้ผู้อาวุโสท่านใดเป็นผู้รับผิดชอบการดูแลสำนักน้อยใหญ่หรือขอรับ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินกวาดตามองทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
มิทราบว่า ?
เมื่อได้ยินคำสามคำนี้ ทุกคนพลันสูดลมหายใจปอดอย่างอดมิได้
ท่านประมุขน้อยหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
หรือว่าการดูแลสำนักน้อยใหญ่มีปัญหาเยี่ยงนั้นหรือ ?
อืม !
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดคงเป็นเช่นนั้นเป็นแน่
คงเป็นเช่นนั้นแน่ !
มิกี่อึดใจต่อมา ผู้เฒ่าร่างท้วมที่สวมชุดสีขาวผู้หนึ่งก็ได้คุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ท่านประมุขน้อย ข้าเป็นผู้……รับผิดชอบการดูแลสำนักน้อยใหญ่เองขอรับ”
ผู้เฒ่าท่านนั้นมีสีหน้าซีดเผือด บนขมับปรากฏมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมา พลางก้มหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“ผู้อาวุโสหลิว ท่านมิต้องกังวลไปหรอก วันนี้ที่ข้ามามิได้จะมาตำหนิท่านแต่อย่างใด”
เจี้ยนอู๋เหินส่ายหน้าไปมา ก่อนจะค่อย ๆ อธิบายว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านช่วยไปจัดการเลื่อนขั้นสำนักระดับเก้านามว่าสำนักชิงหยางให้ขึ้นมาเป็นสำนักระดับสอง อีกทั้งช่วยยกให้เป็นสำนักสูงสุดในระดับสองด้วย”
เอ่ยจบเจี้ยนอู๋เหินก็มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก พลังปราณรอบกายพลันปะทุขึ้น ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้าและเหาะจากไปอย่างสง่างาม
เขามั่นใจว่าคำพูดของเขาแม้จะทำให้เหล่าผู้อาวุโสสายนอกเกิดความงุนงง แต่ด้วยฐานะศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ของเขา เชื่อว่าคงมิมีผู้ใดกล้าซักไซ้อย่างแน่นอน
ต้องบอกว่าจากการสังเกตท่าทางของตนเองและเหล่าผู้อาวุโส รวมทั้งศิษย์สายนอก
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับท่าทางหยิ่งทะนงเช่นเมื่อก่อนแล้ว ท่าทางสุภาพเช่นนี้กลับทำให้เขาดูมีอำนาจมากกว่าหลายเท่า
ความรู้สึกน่าเกรงขามเช่นนี้มิเลวเลย
“ท่านเย่สมกับเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานจริง ๆ ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยน ทว่าทุกการกระทำและคำพูดล้วนเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม”
“มิเลว วันนี้นับว่าทำได้ดี ! ”
เจี้ยนอู๋เหินทอดถอนใจออกมาอย่างอดมิได้ ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ และจดความรู้ที่ได้ลงไปในทันที