เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 449 อัจฉริยะที่แท้จริงต้องมาพร้อมหน้าตา
ตอนที่ 449 อัจฉริยะที่แท้จริงต้องมาพร้อมหน้าตา
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอันใดไปหรือขอรับ ? ”
เมื่อเห็นชวี่เหวินเซี่ยเผยท่าทางสับสนออกมา เย่ฉางชิงก็เลิกคิ้วขึ้น พลางเอ่ยถามเสียงเบา
“ศิษย์น้องเย่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้วันหน้า ให้ข้าเรียกเจ้าว่าท่านเย่น่าจะดีกว่า”
เมื่อชวี่เหวินเซี่ยได้สติ จึงได้อธิบายออกมา “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะเคยบำเพ็ญเพียรที่สำนักชิงหยางด้วยกันมาช่วงหนึ่ง แต่เยี่ยงไรซะที่นี่ก็คือนิกายกระบี่สวรรค์”
เย่ฉางชิงนิ่งอึ้งไปทันที
‘ท่านเย่ ? ’
‘ศิษย์พี่ชวี่กำลังล้อข้าเล่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือศิษย์พี่ชวี่ลงเขามาเพื่อฝึกฝน และต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับนิกายกระบี่สวรรค์อย่างแท้จริง ? ’
‘ฝึกฝนจิตใจ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘แต่คำเรียกขานเช่นนี้ เหตุใดเมื่อออกจากปากของศิษย์พี่ชวี่แล้ว จึงฟังดูแปลกพิลึก’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก
“ศิษย์พี่ชวี่ ข้าว่าเอาเช่นนี้ดีกว่า”
เย่ฉางชิงคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “ต่อไปเวลาอยู่กันเพียงลำพัง ท่านก็เรียกข้าว่าศิษย์น้องเย่เหมือนเดิมเถอะนะ แต่หากมีคนของนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ด้วย ท่านก็ค่อยเรียกข้าว่าท่านเย่ก็แล้วกัน”
ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “จะดีหรือ ? ”
เย่ฉางชิงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “ดีที่สุดแล้วขอรับ”
ชวี่เหวินเซี่ยเห็นเย่ฉางชิงยิ้มออกมา จึงรู้สึกราวกับสายลมยามวสันต์ฤดู ภายในใจอุ่นวาบขึ้นมา จากนั้นจึงพยักหน้าให้เขาน้อย ๆ
……
……
เวลานี้
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากขงซิงเจี้ยนกลับมายังสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ชั้นใน เขาก็ได้กวาดตามองไปรอบ ๆ จนสายตาไปสะดุดอยู่ที่ยอดเขาลูกหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับประตูชั้นในของสำนัก
โดยด้านบนสุดของยอดเขาลูกนี้เต็มไปด้วยป่าไผ่เขียวขจี พืชพรรณเจริญงอกงาม เมฆหมอกล่องลอยอ้อยอิ่ง อาคารโบราณมากมายตั้งเรียงรายกัน
ถูกต้อง !
ยอดเขานี้มีชื่อว่ายอดเขากระบี่ปรารถนา เป็นยอดเขาที่ศิษย์เอกทุกรุ่นของนิกายกระบี่สวรรค์ใช้พำนัก
ทว่า
“อู๋เหิน เจ้าเด็กคนนั้น นับตั้งแต่ได้เป็นศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ เวลาส่วนใหญ่ของเขาล้วนเอาแต่เข้าฌานบำเพ็ญเพียร คุณสมบัติวิถีกระบี่ของเขานั้นโดดเด่นไร้เทียมทาน ทั้งยังขยันถึงเพียงนี้ ความสำเร็จในวิถีกระบี่ภายภาคหน้าจะต้องมิอาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน”
ขงซิงเจี้ยนลูบหนวดของตนเองพลางมองไปยังยอดเขากระบี่ปรารถนา ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อยอดเขากระบี่ปรารถนาก็ว่างอยู่แล้ว เช่นนี้ก็แค่ย้ายที่พำนักบนเขายอดแห่งนี้ ไปไว้ยังยอดเขาที่ท่านเย่เลือกซะก็สิ้นเรื่อง”
คิดได้ดังนั้นขงซิงเจี้ยนก็ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกมา หลังจากโคจรพลังวิญญาณภายในร่างแล้ว รอบกายของเขาก็ได้มีพลังปราณปะทุขึ้น จิตกระบี่แผ่ออกมา
วินาทีต่อมา ขงซิงเจี้ยนได้สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอกระบี่สีเขียวอันรุนแรงสายหนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่าภายในพริบตา ก่อนพุ่งออกไปราวกับลำแสงสายหนึ่งที่พาดผ่านท้องนภา
จากนั้นไอกระบี่ยาวร้อยจั้งสายนี้ก็ได้ตัดผ่านด้านบนสุดของยอดเขากระบี่ปรารถนาในทันที
ทว่าสิ่งที่ทุกคนคาดมิถึงก็คือ
แม้ว่าด้านบนสุดของยอดเขากระบี่ปรารถนาจะถูกไอกระบี่สายนี้ตัดผ่าน ทว่ากลับมิมีอันใดเกิดขึ้น
“ท่านบรรพจารย์ขง ท่านกำลัง……”
เหยาห้าวหยานที่กำลังลูบไล้กระบี่หยกวิญญาณดำอยู่ภายในตำหนักพันกระบี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสถึงจิตกระบี่อันรุนแรง จึงได้เหาะออกไปด้านนอกตำหนักในทันที
มินานเมื่อเขาปรากฏกายขึ้นยังด้านนอกตำหนัก และเห็นไอกระบี่ตัดผ่านยอดเขากระบี่ปรารถนา ก็ถึงกับตกตะลึงงันจนทำอันใดอันใดมิถูก
‘บรรพจารย์ขงครั้งนี้เป็นบ้าอันใดไปอีกล่ะนี่ ? ’
เมื่อได้ยินดังนั้น ขงซิงเจี้ยนก็ปรายตามองเหยาห้าวหยานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างมิแยแสว่า “ท่านเย่จะอยู่บำเพ็ญเพียรภายในสำนักช่วงหนึ่ง ที่ข้ามาก็เพื่อเลือกเรือนที่พักให้เขา”
เหยาห้าวหยานอ้าปากค้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างระอาว่า “ท่านบรรพจารย์ขง นั่นคือยอดเขากระบี่ปรารถนา อีกทั้งยังเป็นที่พำนักของศิษย์เอกทุกรุ่นของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา และยังถือเป็นสัญลักษณ์ของนิกายกระบี่สวรรค์เราด้วยนะขอรับ”
“เสี่ยวเหยา ข้าจะด่าเจ้าเยี่ยงไรดี”
“เจ้าช่างมีสายตาคับแคบยิ่งนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านเย่เป็นผู้ใดกัน ? ”
ขงซิงเจี้ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหมุนกายพร้อมกับถอนหายใจออกมา “ขอเพียงแค่เขาอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์ของเรา อย่างว่าแต่ยอดเขากระบี่ปรารถนาเลย ต่อให้ต้องรื้อทั้งสำนักแล้วจะเป็นไรไปเล่า ? ”
‘รื้อนิกายกระบี่สวรรค์ ? ’
เหยาห้าวหยานมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ท่านบรรพจารย์ขง ท่านเย่ที่ท่านเอ่ยถึง……ก็คือบุรุษหนุ่ม……คนนั้นใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
“บุรุษหนุ่ม ? เจ้าเรียกเขาว่าบุรุษหนุ่มเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ขงซิงเจี้ยนถลึงตาใส่เหยาห้าวหยาน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด “เหยาห้าวหยาน ท่านเย่ได้สาบานเป็นพี่น้องกับท่านประมุขคนแรกของเราเจ้ารู้หรือไม่ ? ”
ท่านประมุขคนแรก ?
สาบานเป็นพี่น้อง ?
เหยาห้าวหยานอ้าปากค้างในทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ข้าว่าอีกห้าปีข้างหน้า เจ้ายกตำแหน่งประมุขให้แก่อู๋เหินซะเถอะ ด้วยสายตาของเจ้าแล้ว ทำให้ข้าอดที่จะกังวลกับอนาคตของนิกายกระบี่สวรรค์มิได้จริง ๆ ”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยออกมาเรียบ ๆ จากนั้นพลังปราณรอบกายก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง นิ้วทั้งห้ากางออก ก่อนจะใช้พลังฟ้าดินมหาศาลยกด้านบนสุดของยอดเขากระบี่ปรารถนาให้ย้ายตามเขาไปในทันที
มิกี่อึดใจต่อมา
ภาพอันตระการตาภาพหนึ่งก็บังเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์
เมื่อเห็นขงซิงเจี้ยนบรรพจารย์แห่งนิกายกระบี่สวรรค์ ใช้มือข้างหนึ่งยกด้านบนของยอดเขากระบี่ปรารถนา และเหาะไปทางส่วนลึกของสำนักชั้นใน
ภาพเช่นนี้ช่างน่าตื่นตระหนกยิ่งนัก !
แต่สิ่งที่ทำให้คนมิเข้าใจก็คือ ท่านบรรพจารย์ขงเกิดบ้าอันใดขึ้นมากันแน่ ถึงได้ยกด้านบนสุดของยอดเขากระบี่ปรารถนาไปด้วยเช่นนั้น ?
วันหน้าหากศิษย์พี่ใหญ่ออกจากฌานมา แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกัน ?
ผ่านไปพักใหญ่
“ท่านประมุข นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ? ”
เมื่อเห็นเหยาห้าวหยานนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ เหล่าผู้อาวุโสที่รีบมาหลังจากทราบข่าว จึงอดมิได้ที่จะเอ่ยปากถาม
เหยาห้าวหยานพึมพำออกมาเสียงเบา ด้วยสีหน้างุนงงว่า “ท่านเย่……สาบานเป็นพี่น้องกับท่านประมุขคนแรก”
วันเดียวกันนั้นทางใต้ของนิกายกระบี่สวรรค์ไกลออกไปร้อยลี้ ลึกเข้าไปในหมอกหนา ได้มียอดเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ลูกหนึ่ง
บนยอดเขาลูกนี้มีถ้ำอยู่หลายสิบถ้ำ ปากถ้ำจะมีประตูสัมฤทธิ์ปิดเอาไว้อยู่
เหมือนมีการวางค่ายกลบางอย่างเอาไว้ด้วย บนประตูสัมฤทธิ์ที่ปิดสนิทมีแสงส่องออกมาระยิบระยับ แผ่กลิ่นอายโบราณและไอพลังที่ทำให้คนหวาดหวั่นออกมา
ที่นี่ก็คือสถานที่เข้าฌานชั้นสูงของนิกายกระบี่สวรรค์
แอ๊ด !
จู่ ๆ ก็เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมา
ทันใดนั้น ก็ได้มีลำแสงมากมายเล็ดลอดออกมาจากรอยแยกของประตูสัมฤทธิ์ ลวดลายค่ายกลโบราณมากมายปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มิกี่อึดใจต่อมา
หลังจากร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาจากประตูสัมฤทธิ์ ไอหมอกหนาแน่นรอบ ๆ พลันพวยพุ่งออกมา
ก่อนที่บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาและมีใบหน้าคมสัน คิ้วหนาหนาได้รูปผู้หนึ่งจะปรากฏกายขึ้น
“ในที่สุดข้า เจี้ยนอู๋เหิน ก็รู้แจ้งในจิตกระบี่หยั่งรู้ระดับสี่แล้ว บัดนี้สำนักเซียนใหญ่ทั้งสี่ของหลิงโจว ในหมู่ผู้อาวุโสระดับเดียวกัน ผู้ใดจะต่อกรกับข้าได้อีก ? ”
“ฮ่า ๆ ……”
เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ก็คือศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่น้อยครั้งนักจะเผยโฉมหน้าให้ผู้ใดเห็น แต่กลับถูกกล่าวขานถึงมากมาย
เจี้ยนอู๋เหิน !
ทันทีที่สิ้นเสียงเจี้ยนอู๋เหินก็ก้าวออกมา กระบี่ยาวที่สร้างมาจากลำแสงอันมืดมิดเล่มหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
จากนั้นเขาก็ได้ขี่กระบี่เซียนไปอย่างรวดเร็ว ผมยาวสลวยปลิวไสว อาภรณ์พัดพลิ้ว สง่างามราวกับเซียนผู้สูงส่ง
ขณะเดียวกัน เมื่อเขาเหาะผ่านสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ชั้นนอก
ด้านล่างพลันเกิดความโกลาหลขึ้น เมื่อบรรดาศิษย์หญิงต่างก็ตะโกนเรียกเขาเพราะคลั่งไคล้ จนเสียงดังก้องไปทั่วภายในพริบตา
ทว่าเจี้ยนอู๋เหินหาได้สนใจมิ เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ เท่านั้น
แต่ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้นยังสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ชั้นใน กลับเงียบกริบมิมีเสียงใด ๆ แม้แต่น้อย
‘เกิดอันใดขึ้น ? ’
‘ศิษย์สายในทำไมถึงมิกรีดร้องใด ๆ หรือตอนนี้ได้มีอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่มีพรสวรรค์สูงส่งมาเป็นศิษย์อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือข้าเข้าฌานนานเกินไป จนศิษย์น้องคิดว่าการบำเพ็ญเพียรของข้าเกิดปัญหาขึ้น ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘ข้า เจี้ยนอู๋เหิน เป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นในรอบพันปี หาใช่คนที่ผู้ใดจะสามารถเทียบเคียงได้ง่าย ๆ ’
‘มิใช่ ! ’
‘หรือว่าผมเผ้าของข้าจะยุ่งเหยิงเกินไป ? ’
คิดถึงตรงนี้เจี้ยนอู๋เหินก็ได้เพ่งสมาธิ ก่อนที่กระจกสัมฤทธิ์บานหนึ่งจะปรากฏขึ้นในมือ
เมื่อเห็นใบหน้าของตนเองในกระจก เจี้ยนอู๋เหินก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ
“บำเพ็ญเพียรมาหลายปี แต่กลับยังหล่อเหลาถึงเพียงนี้ อัจฉริยะที่แท้จริงต้องมาพร้อมหน้าตาสินะ”
หลังจากพึมพำกับตนเองแล้ว เจี้ยนอู๋เหินก็ได้กวาดตามองไปรอบ ๆ ทว่าบัดนี้ยอดเขากระบี่ปรารถนาที่อยู่มิไกลนักกลับถูกตัดและหายไปเสียแล้ว เห็นดังนั้น ร่างทั้งร่างพลันนิ่งงันไปทันที