เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 448 เช่นนี้แล้วลำดับความอาวุโส มิเท่ากับมั่วไปหมดหรอกหรือ ?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 448 เช่นนี้แล้วลำดับความอาวุโส มิเท่ากับมั่วไปหมดหรอกหรือ ?
ตอนที่ 448 เช่นนี้แล้วลำดับความอาวุโส มิเท่ากับมั่วไปหมดหรอกหรือ ?
หลังจากนั้นพวกขงซิงเจี้ยนก็ได้พาเย่ฉางชิงเดินออกจากตำหนักพันกระบี่
ระหว่างที่เดินผ่านเหยาห้าวหยาน
เย่ฉางชิงก็พยักหน้าให้น้อยพร้อมรอยยิ้ม ทว่าขงซิงเจี้ยนกลับถลึงตาใส่เหยาห้าวหยานที่ยังคงมีสีหน้างุนงงด้วยความโมโห
จากนั้นเหยาห้าวหยานก็ได้แต่มองตามหลังกลุ่มคนที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตา
“มิน่าเล่าท่านบรรพจารย์ทั้งสาม ถึงให้ความเคารพบุรุษหนุ่มผู้นี้มากเพียงนี้ แค่มองแวบเดียวก็ทำให้จิตใจรู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด”
“หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ คนผู้นี้คงมิได้ธรรมดาอย่างเช่นที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังมีกระบี่หยกวิญญาณดำอยู่ในมือ……”
หลังจากพึมพำกับตัวเองสักพัก แววตาของเหยาห้าวหยานก็เป็นประกายขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปหากระบี่หยกวิญญาณดำ
……
……
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่พวกเย่ฉางชิงออกจากตำหนักพันกระบี่แล้ว ก็ได้เหาะขึ้นไปบนอากาศ
จากนั้นก็เหาะไปยังส่วนลึกของนิกายกระบี่สวรรค์
โดยส่วนลึกของชั้นในของนิกายกระบี่สวรรค์นั้น ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญของนิกายกระบี่สวรรค์ก็ว่าได้
ที่นี่มีภูเขาและป่าที่เขียวขจี สายน้ำสะอาดใสไหลคดเคี้ยว อบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ ภูเขาสูงตระหง่าน วิวทิวทัศน์งดงามยิ่ง
และเนื่องจากมีค่ายกลรวมวิญญาณขนาดใหญ่หลายค่ายกลถูกวางเอาไว้ จึงทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินในที่นี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก ทุกที่ล้วนเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันนอกจากบรรพจารย์ทั้งสามจะพักอยู่ที่นี่แล้ว ที่แห่งนี้ยังมีลานกระบี่ที่ตั้งมาเนิ่นนาน และมีถ้ำบ่มเพาะยาวิเศษหลายถ้ำ รวมถึงสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ด้วย
“ที่นี่ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ปราณวิญญาณฟ้าดินเข้มข้น เป็นแดนบำเพ็ญเพียรที่หาได้ยากยิ่งจริง ๆ ”
เย่ฉางชิงเหาะอยู่กลางอากาศโดยเอามือไพล่หลัง ก็ได้กวาดสายตามองลงไปสำรวจเบื้องล่าง พลางทอดถอนใจออกมา
“ท่านเย่อาจจะมิทราบ ความจริงแล้วก่อนที่ท่านประมุขคนแรกจะมาสร้างสำนักที่นี่ ที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบโบราณมาก่อนขอรับ”
อู๋ไท่เหอลูบหนวดขาวโพลนของตนเองเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “แม้ว่าหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทว่าทิวทัศน์ของที่นี่กลับมิเลวเลย แม้ว่าภายในจะยังคงมีสถานที่ที่อันตรายและมีจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวซุกซ่อนอยู่”
‘สนามรบโบราณ ? ’
‘จิตสังหาร ? ’
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ แววตาของเย่ฉางชิงก็มีประกายตื่นตระหนกพาดผ่านทันที
‘คิดมิถึงว่าสถานที่ที่มีภูเขาสูงตระหง่านและมีแม่น้ำไหลเย็นเช่นนี้ จะเคยเป็นสนามรบโบราณมาก่อน’
‘มิหนำซ้ำจนถึงวันนี้ก็ยังมีสถานที่ที่อันตรายซ่อนอยู่’
‘ตอนนี้ด้วยตบะบารมีเพียงระดับแดนก่อกำเนิดขั้นต้นของข้า หากหลงเข้าไปยังแดนอันตราย เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะเอาชีวิตรอดก็คงมิมีกระมัง ? ’
‘สมกับที่เป็นโลกบำเพ็ญเพียรจริง ๆ ทุกที่ล้วนแต่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว หากมิระวังแม้เพียงนิดเดียว คงมิอาจรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน’
“แต่เพราะที่นี่มีสถานที่อันตรายซ่อนอยู่ จึงเหมาะจะเป็นสถานที่ที่เอาไว้หลบซ่อนตัว เมื่อนิกายกระบี่สวรรค์เจอวิกฤตได้”
อู๋ไท่เหอเอ่ยแนะนำด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ตอนนั้นเอง ขงซิงเจี้ยนก็ยกมือขึ้นชี้ไปยังยอดเขาหัวโล้นที่อยู่ไกลออกไป พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่ ยอดเขาตรงหน้าลูกนั้นมีนามว่ายอดเขากระบี่ดวงดาว เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของผู้น้อยเองขอรับ”
เย่ฉางชิงชำเลืองมองขงซิงเจี้ยนที่ยิ้มเต็มใบหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังยอดเขากระบี่ดวงดาว ที่ขงซิงเจี้ยนเอ่ยถึง
ก็พบว่าด้านบนยอดเขาขนาดใหญ่ นอกจากตำหนักโบราณที่ดูทรุดโทรมหลังหนึ่ง และป้ายทรงกระบี่มิกี่ป้ายแล้ว ก็มิมีสิ่งใดอีกแม้แต่หญ้าสักต้นก็ยังมิมี
‘กันดาร ! ’
‘กันดารยิ่งนัก ! ’
เย่ฉางชิงจึงแค่พยักหน้ายิ้ม ๆ ให้
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ขณะที่ทั้งสี่คนมาถึงท้องฟ้าเหนือทิวเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยป่าไผ่ หมอกลอยอบอวล
เสียงพิณอันไพเราะอ่อนหวานเสียงหนึ่งก็ดังลอยมา
เย่ฉางชิงมองหาเสียงพิณก็ได้พบยอดเขาหนึ่งที่อยู่มิไกลนัก เขาจึงกวาดสายตาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ
“อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เย่ฉางชิงชี้ไปยังยอดเขายอดหนึ่งที่อยู่มิไกลนัก
ได้ยินดังนั้นอู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนจึงหันไปมองตามทิศทางที่เย่ฉางชิงชี้ไป ก่อนจะลอบสื่อสารกันทางสายตา
เพราะที่ตรงนั้นถือเป็นแดนต้องห้ามของศิษย์น้องหนิง แม้แต่พวกเขาที่เป็นศิษย์พี่ยังมิกล้าก้าวล่วงเข้ามาที่นี่หากมิมีเหตุจำเป็น
อีกทั้งศิษย์น้องหนิงผู้นี้มีความชอบพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง
นั่นก็คือการแช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงได้สั่งให้สร้างสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นที่นี่ด้วย
ส่วนยอดเขาที่เย่ฉางชิงชี้ไปนั้น แม้ว่าจะมิใช่เส้นทางที่จะไปสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทว่าก็อยู่ห่างจากสระน้ำศักดิ์สิทธิ์มิไกลเท่าไรนัก
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก อู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนก็หันไปมองหนิงซู่ซู่ที่มิพูดมิจาใด ๆ
“ศิษย์น้องหนิง เจ้าจะว่าเยี่ยงไร ? ”
อู๋ไท่เหอส่งกระแสจิตถามหนิงซู่ซู่ที่มีท่าทีเย็นชา
หนิงซู่ซู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีที่สับสนว่า “ในเมื่อท่านเย่ต้องการพักอยู่ที่นี่ ผู้น้อยเช่นข้าย่อมมิสามารถขัดเจตจำนงของเขาได้”
อู๋ไท่เหอจึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะพยักหน้าพอใจ
ดังนั้น
“ท่านเย่ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านกับศิษย์พี่อู๋และศิษย์น้องหนิงไปพักผ่อนที่ยอดเขาสตรีหยกกันก่อน ผู้น้อยจะไปจัดการเก็บกวาดยอดเขานี้ให้ท่านเองขอรับ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับรู้ ทว่ากลับอดมิได้ที่จะกำชับว่า “พยายามอย่าทำลายต้นไม้ใด ๆ ของยอดเขานี้ล่ะ”
ก่อนหน้านี้ที่ได้เห็นยอดเขาที่ขงซิงเจี้ยนพักอยู่ เย่ฉางชิงจึงรู้สึกมิไว้ใจขงซิงเจี้ยน
เมื่อได้ยินดังนั้นขงซิงเจี้ยนนิ่งไป ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “แน่นอนขอรับ”
เอ่ยจบก็ยืนส่งพวกเย่ฉางชิงอยู่พักใหญ่
แต่ขงซิงเจี้ยนมิได้ไปที่ยอดเขาในทันที ทว่ากลับเหาะไปทางชั้นในของนิกายกระบี่สวรรค์แทน
มินานเมื่อเย่ฉางชิงโรยตัวลงมายังด้านนอกป่าไผ่บนยอดเขาสตรีหยก
เวลานี้ชวี่เหวินเซี่ยที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าไผ่ยังคงจมดิ่งอยู่กับการดีดพิณ ที่ส่งเสียงอันไพเราะนุ่มนวลออกมา
“ท่านเย่ เชิญเข้าไปนั่งด้านในก่อนเจ้าค่ะ”
หนิงซู่ซู่เอ่ยเชื้อเชิญเย่ฉางชิง
“มิเป็นไร ข้ามีเรื่องจะคุยกับศิษย์พี่ชวี่เสียหน่อย”
เย่ฉางชิงโบกมือน้อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนลึกของป่าไผ่
ถูกต้อง !
เหตุสำคัญที่เย่ฉางชิงเลือกพักอยู่มิไกลจากยอดเขาสตรีหยก ก็เพราะเสียงพิณเมื่อครู่ทำให้เขาได้รู้ว่าชวี่เหวินเซี่ยก็อยู่ที่ยอดเขาสตรีหยกด้วยเช่นกัน
เยี่ยงไรซะก็เป็นศิษย์ที่มาจากสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางเหมือนกัน
และชวี่เหวินเซี่ยคงจะใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างปกปิดไอพลังของตนเอง และมาที่นิกายกระบี่สวรรค์ก็เพื่อฝึกฝนเท่านั้น
ส่วนเขากลับถูกผู้อาวุโสเหล่านี้มโนว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานไปซะได้
ดังนั้นพักใกล้ ๆ กัน หากเจออันตรายอันใด ศิษย์พี่ชวี่จะต้องรีบมาช่วยอย่างแน่นอน
อีกอย่างหากการบำเพ็ญเพียรเจอปัญหาอันใด ก็สามารถมาขอคำชี้แนะได้ทันที
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เย่ฉางชิงเดินตามทางเดินที่ปูด้วยหินเข้าไปหาชวี่เหวินเซี่ย
“ศิษย์พี่ชวี่ มิได้พบกันนานเลยนะขอรับ ! ”
เย่ฉางชิงนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของชวี่เหวินเซี่ยก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบกดหยุดสายพิณและลืมตาขึ้นในทันที
“ศิษย์น้องเย่ ในที่สุดเจ้าก็ลงมาจากบันไดเมฆาแล้ว”
ชวี่เหวินเซี่ยดวงตาเป็นประกาย ขณะมองเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อืม ข้าเพิ่งลงมาจากบันไดเมฆาวันนี้เองขอรับ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “แต่ต่อไปข้าจะได้เป็นเพื่อนบ้านกับท่านแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ขงผู้นั้นเวลานี้กำลังเก็บกวาดยอดเขาให้ข้าอยู่ขอรับ”
ห๊ะ ?
ชวี่เหวินเซี่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะทำสีหน้าสงสัยออกมา
‘ศิษย์น้องเย่ท่านนี้ หลังจากขึ้นไปบนบันไดเมฆา เขาไปพบอันใดมากันแน่ ? ’
‘บรรพจารย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ถึงได้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ หรือว่าเขาฟื้นความทรงจำได้ก่อนกำหนด ? ’
‘นี่มัน ! ! ! ’
‘แต่เหตุใดเขาถึงยังเรียกข้าว่าศิษย์พี่ชวี่เล่า ? ’
ระหว่างที่ชวี่เหวินเซี่ยคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา
“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านมิต้องสงสัยหรอกขอรับ”
เย่ฉางชิงเหมือนจะเดาความคิดของชวี่เหวินเซี่ยออก จึงอธิบายว่า “ที่ข้ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ เป็นเพราะหลังจากขึ้นไปบนบันไดเมฆาขั้นที่ร้อยได้แล้ว ข้าก็ได้พบกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ อีกทั้งพวกเรายังได้สาบานเป็นพี่น้องกันด้วย”
“อีกอย่างข้าได้พบคนคุ้นเคยที่ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างด้วยนะขอรับ และได้ช่วยเขาให้ชนะการเดิมพันหมาก……”
เย่ฉางชิงได้เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านบนบันไดเมฆา และหลังจากลงมาจากบันไดเมฆามาให้ชวี่เหวินเซี่ยฟังอย่างคร่าว ๆ
“ศิษย์พี่ชวี่ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ขอรับ”
สุดท้ายเย่ฉางชิงก็เอ่ยออกมาเพียงเท่านั้น
“นี่มัน……”
ชวี่เหวินเซี่ยจ้องมองเย่ฉางชิง บนใบหน้ารูปไข่เผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
ที่แท้ศิษย์น้องเย่ยังมิได้ปลดผนึกความทรงจำ
แต่ตอนนี้นางเป็นศิษย์สายสืบทอดของหนิงซู่ซู่แล้ว แต่ศิษย์น้องเย่กลับไปสาบานเป็นพี่น้องกับประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ เช่นนั้นฐานะในตอนนี้ก็เทียบเท่ากับบรรพบุรุษของบรรพบุรุษอีกที
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ฐานะของนางที่เป็นศิษย์พี่นั้นสูงกว่าอาจารย์หนิงซู่ซู่สองขั้น
เช่นนี้แล้วลำดับความอาวุโสมิเท่ากับมั่วไปหมดหรอกหรือ ?