เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 429 ศิษย์พี่อู๋ ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว
ตอนที่ 429 ศิษย์พี่อู๋ ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว
เพียงพริบตาการทดสอบศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ก็จบลงไปแล้วกว่าสองเดือน และนับตั้งแต่วันที่เย่ฉางชิงขึ้นไปบนบันไดเมฆา เวลาก็ได้ผ่านไปเกือบสามเดือนแล้ว
ทว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บนบันไดเมฆาก็มิมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลย
วันนี้ บนยอดเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของสำนักนิกายกระบี่สวรรค์
ที่นี่ประกอบไปด้วยภูเขาและสายน้ำ หมู่เมฆเหนือยอดเขาล่องลอย ปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติงดงาม เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเย่ ผ่านไปเกือบสามเดือนแล้ว เจ้าอยู่บนนั้นยังสบายดีหรือไม่นะ ? ”
ร่างอรชรของชวี่เหวินเซี่ยกำลังยืนอยู่ที่หน้าป่าไผ่ ทอดสายตามองไปยังบันไดเมฆาที่อยู่ไกลออกไป พร้อมรำพึงรำพันออกมาด้วยความคิดถึง
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของชวี่เหวินเซี่ย อย่างเงียบกริบราวกับภูตผี
“เหวินเซี่ย มายืนคิดถึงศิษย์น้องเย่ของเจ้าผู้นั้นอีกแล้วหรือ ? ”
เป็นขงซิงเจี้ยนที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
ชวี่เหวินเซี่ยจึงถอนสายตากลับมา ก่อนจะคำนับให้แก่ขงซิงเจี้ยนเล็กน้อย “ศิษย์ชวี่เหวินเซี่ยคารวะอาจารย์ลุงขงเจ้าค่ะ”
ขงซิงเจี้ยนพยักหน้ายิ้ม ๆ พลางลูบหนวดของตนเอง “จริงสิ ศิษย์น้องหนิงยังมิกลับมาอีกหรือ ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยส่ายหน้าน้อย ๆ
ในตอนนั้นเอง ร่างอันงดงามไร้ที่เปรียบร่างหนึ่งก็ได้ลอยลงมาจากฟ้า ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าของทั้งสองคน
“เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ข้ากำลังมีเรื่องจะปรึกษาอยู่พอดี”
ผู้ที่มาก็คือหนิงซู่ซู่ที่ยังคงอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว หลังจากเพิ่งบรรลุได้มินาน
แต่หากเทียบกับก่อนหน้านี้ หนิงซู่ซู่ในเวลานี้สามารถสะกดไอพลังเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ รัศมีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อีกทั้งยังแผ่ไอพลังหลักเต๋าบางอย่างออกมาจาง ๆ อีกด้วย
เมื่อได้ยินดังนั้น ขงซิงเจี้ยนก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกว้างขึ้นอีกหลายเท่า
“ศิษย์น้องหนิง ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
ขงซิงเจี้ยนพินิจร่างของหนิงซู่ซู่เล็กน้อย พลางลูบหนวดของตนเองแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะห่างจากระดับนั้น เพียงแค่เส้นบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้นสินะ ขาดแค่เพียงโอกาสก็เท่านั้น”
หนิงซู่ซู่มิได้ใส่ใจใด ๆ เพียงหันไปมองทางชวี่เหวินเซี่ยที่ย่อตัวลง และคำนับให้นางเล็กน้อย
“คุณสมบัติวิถีเซียนของเจ้ามิเลว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ห้ามละเลยการบำเพ็ญเพียรเป็นอันขาด”
หนิงซู่ซู่เอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อีกอย่างข้าเป็นคนมิใส่ใจในพิธีรีตอง ดังนั้นอยู่ต่อหน้าข้า เจ้ามิต้องคอยระวังตัวถึงเพียงนี้หรอก”
เอ่ยจบหนิงซู่ซู่ก็โบกมือ เป็นสัญญาณให้ชวี่เหวินเซี่ยถอยออกไป
เวลาผ่านไปหนึ่งเคอ
หลังจากชวี่เหวินเซี่ยจากไปแล้ว
หนิงซู่ซู่ก็ได้หันไปมองทางบันไดเมฆา พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “จนถึงบัดนี้บันไดเมฆาก็ยังมิได้ปิดลง คงเป็นเพราะเย่ฉางชิงกระมัง ? ”
“ศิษย์น้องหนิงกล่าวได้ตรงประเด็นจริง ๆ ”
ขงซิงเจี้ยนหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยรับว่า “หลังจากเริ่มการทดสอบบันไดเมฆา เย่ฉางชิงก็เดินขึ้นไปจนถึงหนึ่งร้อยขั้น และก้าวขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว”
“หลังจากการทดสอบศิษย์สิ้นสุดลง ข้าเองเคยไปตรวจสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ตบะบารมีของข้ายังคงมิสามารถรับแรงกดดันด้านบนของบันไดเมฆาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงตัดใจถอยลงมา”
เอ่ยถึงตรงนี้ ขงซิงเจี้ยนก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “บัดนี้คงทำได้เพียงแค่รอเย่ฉางชิงลงมาจากบันไดเมฆาด้วยตนเองเท่านั้น”
หนิงซู่ซู่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ
“จริงสิ”
ขงซิงเจี้ยนเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน จึงเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้องหนิง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า มีเรื่องจะปรึกษาข้า มีเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”
ในที่สุดหนิงซู่ซู่ก็ถอนสายตากลับมา และหันไปมองขงซิงเจี้ยน
“จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ นักพรตเสวียนจี แห่งวังเสวียนจีท่านนั้นได้ออกจากฌานแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้”
หนิงซู่ซู่เอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียด พลางขมวดคิ้วน้อย ๆ
“อันใดนะ! เจ้านั่นมิได้ตายไปตั้งแต่ถูกสวรรค์ลงโทษครั้งนั้นหรอกหรือ ? ”
จากนั้นขงซิงเจี้ยนนิ่งงันไป ก่อนจะเผยสีหน้าเดือดดาลออกมาอย่างอดมิได้ เพราะในบรรดาสี่สำนักเซียนใหญ่ของหลิงโจว ที่ผ่านมานิกายกระบี่สวรรค์และวังเสวียนจีก็เหมือนน้ำกับไฟ
นับตั้งแต่อดีตเพื่อช่วงชิงดินแดนในการบำเพ็ญเพียรโบราณแห่งหนึ่ง ทั้งสองสำนักจึงได้เปิดศึกกันมาหลายสิบครั้ง ซึ่งตลอดเวลาทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้อาวุโสหลายร้อยคน รวมถึงศิษย์อีกหลายพันคน ที่ต้องตายไปในศึกสงคราม
จนเมื่อพันปีก่อน ด้วยการช่วยเหลือจากอีกสองสำนักที่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย สุดท้ายจึงตกลงร่วมกันว่า ให้ทั้งสองฝ่ายส่งยอดฝีมือในวิถีหมากออกมาฝ่ายละหนึ่งคน และใช้วิถีหมากในการประลอง เพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองดินแดนบำเพ็ญเพียรโบราณแห่งนั้นร้อยปี
ตัวแทนที่นิกายกระบี่สวรรค์ส่งไป ก็คือ บรรพจารย์ท่านที่สามของนิกายกระบี่สวรรค์ อู๋ไท่เหอ
ส่วนตัวแทนที่วังเสวียนจีส่งมาก็คือ นักพรตเสวียนจี
ทว่ามิมีผู้ใดคาดคิดว่านักพรตเสวียนจี ที่มิเคยมีผู้ใดได้ยินชื่อเสียงเรียงนามาก่อนของวังเสวียนจีผู้นี้ มิเพียงมีความแตกฉานในวิถีหมากที่สูงส่ง แต่ยังเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย
ขณะที่เขาประลองหมากกับท่านบรรพจารย์อู๋ของนิกายกระบี่สวรรค์นั้น เขาจะหลอกล่อให้คู่ต่อสู้ตายใจเสียก่อน จากนั้นก็หลอกให้คู่ต่อสู้วางเดิมพัน อาทิ เป็นอาวุธเทพขั้นต่ำหนึ่งชิ้น และพลิกเอาชนะไปครึ่งแต้มในตอนสุดท้าย
แต่ที่น่ารังเกียจก็คือเขาจะใช้วิธีนี้ทุกครั้ง จึงทำให้นิกายกระบี่สวรรค์ต้องเสียดินแดนบำเพ็ญเพียรโบราณแห่งนี้ไป มิหนำซ้ำยังต้องแบกรับความอัปยศที่มีต่อวังเสวียนจีไว้อีกด้วย
นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไม หนึ่งพันปีมานี้นิกายกระบี่สวรรค์ถึงค่อย ๆ ตกต่ำลง
มิเพียงเท่านั้น ทุกครั้งหลังจบการประลองหมากล้อม ท่านบรรพจารย์อู๋ของนิกายกระบี่สวรรค์ก็ราวกับถูกครอบงำ และเอาแต่เข้าฌานศึกษาวิถีหมากอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าก่อนหน้านี้มินาน ตามที่สายข่าวแจ้งมา มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนักพรตเสวียนจีผู้นี้จู่ ๆ ก็ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ แต่ผู้ใดเลยจะคิดว่าคนผู้นี้กลับยังมิได้ดับสูญ
บัดนี้ใกล้จะครบรอบหนึ่งร้อยปีแล้ว นี่หมายความว่าการประลองหมากล้อมของคนทั้งคู่ใกล้จะถูกจัดขึ้นอีกครั้งแล้ว
“ตอนนี้ดูเหมือนข่าวลือจะเชื่อมิได้จริง ๆ หากเป็นการลงโทษจากสวรรค์จริง เจ้าคนหน้าด้านไร้ยางอายผู้นี้จะรอดกลับมาได้เยี่ยงไร ? ”
ขงซิงเจี้ยนอดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ใกล้จะครบรอบหนึ่งร้อยปีแล้ว หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดแล้วล่ะก็ นักพรตเสวียนจีคงจะมาเยือนนิกายกระบี่สวรรค์อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้”
หนิงซู่ซู่มิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “บัดนี้คงทำได้เพียงรอดูว่าการรู้แจ้งในด้านหมากล้อมของศิษย์พี่อู๋จะพัฒนาขึ้นมากเพียงใด”
มุมปากของขงซิงเจี้ยนกระตุกอย่างแรง พลางพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับเอ่ยว่า “ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้”
ทันทีที่สิ้นเสียง หนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนก็ทะยานขึ้นฟ้า แปลงกลายเป็นสายรุ้งสองสายเหาะไปทันที
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
ส่วนลึกภายในนิกายกระบี่สวรรค์ เหนือป่าหินอันกว้างใหญ่
กระดานหมากล้อมมายาขนาดใหญ่กระดานหนึ่งปกคลุมอยู่ด้านบน
ลำแสงหลายสายตัดกันไปมาอย่างเป็นระเบียบ ลำแสงของหมากขาวและหมากดำปะปนกันจนแทบจะแยกมิออก ตรงกลางกระดานมีผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงผู้หนึ่ง กำลังนั่งสมาธิอยู่
ใช่แล้ว !
คนผู้นี้ก็คือบรรพจารย์ท่านที่สามของนิกายกระบี่สวรรค์
อู๋ไท่เหอ !
“ศิษย์พี่อู๋ ! ” เสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ
มินานหนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนก็โรยตัวลงมา หยุดลงตรงหน้าอู๋ไท่เหอ
“ศิษย์พี่อู๋ นี่ท่าน ? ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังที่เปลี่ยนแปลงไปของอู๋ไท่เหอ ขงซิงเจี้ยนจึงมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาในทันที
อู๋ไท่เหอที่ดวงตาปิดสนิท กำลังนั่งสมาธิอยู่กลางอากาศ ด้วยท่าทางมิทุกข์มิร้อนใด ๆ
“ถูกแล้ว ข้าบั่นทอนวิถีกระบี่ และได้เปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากแล้ว” อู๋ไท่เหอเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง และน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
วินาทีต่อมา แม้แต่หนิงซู่ซู่ก็ยังอดมิได้ที่จะเอ่ยด้วยความมิพอใจว่า “ศิษย์พี่อู๋ ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว ! ”