เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 379 นั่นน่ะสิ ข้าจะตื่นตระหนกไปทำไม ?
ตอนที่ 379 นั่นน่ะสิ ข้าจะตื่นตระหนกไปทำไม ?
“ศิษย์ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่สั่งสอนขอรับ”
หลังจากเงียบไปสักพัก เย่ฉางชิงก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอีกครั้ง
“ฉางชิง หากมิมีปัญหาอื่นแล้ว เจ้าก็เตรียมตัวเอาไว้ด้วยนะ”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยอีกว่า “อีกครึ่งเดือน เจ้าและเหวินเซี่ยจะต้องเดินทางไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์พร้อมกัน”
‘ทดสอบ ? ’
‘เหวินเซี่ย… ชวี่เหวินเซี่ย ? ’
‘ศิษย์พี่ชวี่เองก็จะไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยงั้นหรือ ? ’
เย่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์พี่ชวี่จะไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยหรือขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นลูบหนวดพลางอธิบายว่า “ถูกต้อง ครานี้มิเพียงแต่เจ้า เหวินเซี่ยเองก็จะไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์กับเจ้าด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียง ใบหน้าหล่อเหลาของเย่ฉางชิง กลับเผยสีหน้างุนงงออกมายิ่งกว่าเดิม
‘นี่มันเรื่องอะไรกันอีก ? ’
‘คุณสมบัติของข้ามิเพียงพอ จึงมิสามารถบำเพ็ญเพียรที่สำนักเซียนลึกลับเช่นสำนักชิงหยางได้’
‘แต่ยอดสตรีเช่นศิษย์พี่ชวี่ เหตุใดต้องเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยเล่า ? ’
คิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเปล่งประกายออกมา
‘จริงด้วย ! ’
‘เมื่อครู่ท่านเจ้าสำนักออกว่า บางคราการบำเพ็ญเพียรมิใช่การต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อ แต่เป็นการต่อสู้กับจิตใจของคน’
‘ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการที่ยอดสตรีเช่นศิษย์พี่ชวี่ ไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ ก็คงเพื่อต้องการทำความเข้าใจจิตใจของคนนั่นเอง’
‘อืม ! ’
‘คงเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
“ฉางชิง เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าต่อให้ไปบำเพ็ญเพียรที่นิกายกระบี่สวรรค์ ต่อให้พรสวรรค์ของเจ้าสูงส่งที่สุดในนิกายกระบี่สวรรค์ ก็ห้ามเกียจคร้านในการบำเพ็ญเพียรอย่างเด็ดขาด”
นักพรตชิงอวิ๋นเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “แม้ว่าหลิงโจวนั้นจะกว้างใหญ่ แต่สวรรค์บูรพามีทั้งหมดถึงสามพันแคว้น อัจฉริยะวิถีเซียนมีมากกว่าสิบล้านคน”
“ต้องจำเอาไว้ตลอดเวลาว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อีกทั้งสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเราแล้ว สวรรค์บูรพาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ได้ยินเช่นนั้นเย่ฉางชิงก็ชะงักงัน ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
เอ่ยจบนักพรตชิงอวิ๋นก็โบกมือไปมา ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไป
เย่ฉางชิงมองดูนักพรตชิงอวิ๋นจากไป
มินานเขาก็เผยสีหน้าจริงจังออกมา
อีกเพียงครึ่งเดือน เขาก็ต้องไปเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว
ทว่าตอนนี้เขายังเปิดจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่งมิครบ
ซึ่งหมายความว่าเขายังมิสามารถบำเพ็ญเพียรอย่างจริงจังได้ และยังนับว่าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่เท่านั้น
แล้วการที่คนธรรมดาคนหนึ่ง ต้องการผ่านการทดสอบ จะยากเย็นเพียงใดกัน ?
เช่นนั้นเขาจะต้องพยายามเปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หก ให้ได้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็หยุดทุกความคิดลง ก่อนจะนั่งลงด้านหน้าแผ่นหินทรงกระบี่ เพื่อเปิดจุดเซินชางตำแหน่งที่หกอีกครั้ง
…………………………..
ขณะเดียวกัน
ในวันนี้เอง
ณ เชิงเขาอวิ๋นชางอันเป็นที่ตั้งของสำนักชิงหยาง
คนและม้าสองกลุ่มได้มารวมตัวกันที่นี่อย่างเงียบ ๆ
เห็นได้ชัดว่า
ผู้นำกลุ่มก็คือ
เจ้าสำนักฉือเซี่ยะ จูหวยเหริน
เจ้าสำนักงูศักดิ์สิทธิ์ เจี่ยเจิ้นเคอ
เวลานี้จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอ รวมทั้งยอดฝีมือของสำนักกลุ่มหนึ่ง ถูกขวางเอาไว้อยู่ด้านนอกด้วยค่ายกลขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเขาอวิ๋นชาง มิอาจก้าวเข้าไปได้แม้เพียงครึ่งก้าว
“คิดมิถึงว่าสำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยาง จะมีค่ายกลป้องภูผาที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ”
จูหวยเหรินเอามือไพล่หลัง เอ่ยด้วยใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มชั่วร้ายเอาไว้ “แต่การจะทำให้ค่ายกลป้องภูผาขนาดใหญ่เช่นนี้ใช้งานได้ ย่อมต้องใช้พลังมิน้อย”
“เช่นนี้ก็แสดงว่าสำนักชิงหยางคงได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่มาจริง ๆ ”
“พี่จู ค่ายกลป้องภูผานี่มิธรรมดาจริง ๆ แล้วพวกเราจะบุกเข้าไปในสำนักชิงหยางเยี่ยงไรกันดี ? ”
เจี่ยเจิ้นเคอที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งขมวดคิ้วมุ่น อดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างกังวล “หากมิสามารถโจมตีสำนักชิงหยางได้ ต่อให้ตาเฒ่าหลี่ชิงอวิ๋นได้รับทรัพยากรมามากมายเพียงใด พวกเราก็ทำได้เพียงกลับไปมือเปล่าอยู่ดี”
“พี่เจี่ย ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
มุมปากของจูหวยเหรินประดับไว้ด้วยรอยยิ้มหยัน พลางเอ่ยว่า “การมาครานี้ข้าได้ทุ่มทุกอย่าง เพื่อเชิญนักสร้างค่ายกลท่านหนึ่งมาด้วย เป็นการป้องกันเหตุมิคาดฝันเอาไว้แล้ว”
เอ่ยเพียงเท่านั้น จูหวยเหรินก็หันไปมองทางด้านหลังมิไกลนัก พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านจาง ดูท่าคงต้องรบกวนให้ท่านแสดงฝีมือแล้ว”
สิ้นเสียงเจี่ยเจิ้นเคอ รวมทั้งคนที่เหลือก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน
‘ท่านจาง ! ’
‘หรือว่าจะเป็นนักสร้างค่ายกลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลานซี จางเฉิงเจิ้น ? ’
‘คงมิใช่หรอกกระมัง ! ’
‘เจ้าสำนักจูถึงกับเชิญบุคคลเช่นนี้มาเชียวหรือ ? ’
มินานชายชรารูปร่างผอมบาง ดวงตาลึกโบ๋ ราวกับภูตผีผู้หนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
“เจ้าสำนักจู หากวันนี้ข้าช่วยท่านเปิดค่ายกลนี้ได้ ต่อไปเราสองคนก็หายกันแล้วนะ”
เสียงของชายชราทั้งแหบแห้งและเย็นชา เพียงแค่ได้ยินก็อดมิได้ที่สันหลังจะรู้สึกเย็นวาบจนขนลุกชัน
จูหวยเหรินมองจางเฉิงเจิ้นนักสร้างค่ายกลชื่อดัง ก่อนนะเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “แน่นอน หากท่านจางสามารถเปิดค่ายกลนี้ได้ พวกเราก็ถือว่าหายกันแล้ว”
จางเฉิงเจิ้นพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือไปมา “ระหว่างที่ข้าทำการเปิดค่ายกล อาจจะไปกระตุ้นกลสังหารบางอย่างได้ เช่นนั้นพวกเจ้าถอยไปก่อนจะดีกว่า”
หลังสิ้นเสียง ทุกคนต่างหันไปสบตากัน ก่อนที่จูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอจะนำทุกคนถอยหลังออกไปนับร้อยจั้ง
มิกี่อึดใจต่อมา
เมื่อทุกคนถอยออกไปแล้ว
จางเฉิงเจิ้นก็เพ่งสมาธิ ก่อนจะหยิบเข็มทิศโบราณที่มีรอยร้าวชิ้นหนึ่งออกมา จากแหวนเก็บสมบัติ
เข็มทิศโบราณชิ้นนี้แม้จะดูเก่าเก็บ ทว่าด้านบนกลับมีรอยสลักสัญลักษณ์ และลวดลายโบราณเอาไว้มากมาย
ขณะเดียวกันยังแผ่ไอพลังแห่งค่ายกลอันเก่าแก่ออกมาอีกด้วย
มินาน หลังจากที่จางเฉิงเจิ้นหยิบเข็มทิศโบราณอันเก่าเก็บชิ้นนั้นออกมา
เขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกไปตรวจสอบดู ขณะที่มือข้างหนึ่งถือเข็มทิศโบราณ ส่วนอีกข้างถือตราประทับโบราณเอาไว้ พร้อมกับก้าวไปด้านหน้า
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
ขณะที่จางเฉิงเจิ้นอยู่ห่างจากวงค่ายกลเพียงครึ่งจั้ง
เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงได้นำตราประทับในมือวางลงไปในเข็มทิศโบราณนั่นทันที
วินาทีต่อมา
“ตูม!”
เข็มทิศโบราณในมือของจางเฉิงเจิ้นพลันเปล่งเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมปล่อยระลอกคลื่นออกมา
จากนั้นสัญลักษณ์โบราณมากมายก็ปรากฏขึ้น ราวกับสะเก็ดไฟ
ใจกลางของเข็มทิศโบราณ ได้มีลำแสงอันเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้น ก่อนจะหายเข้าไปในอากาศ
ทันใดนั้น ห้วงอากาศตรงหน้าของจางเฉิงเจิ้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับหินก้อนหนึ่งที่ตกกระทบจนทำให้เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ทอดยาวไปไกลนับร้อยจั้งภายในพริบตา
แค่ดูก็รู้แล้วว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ ตระการตาและน่าตื่นตระหนกเพียงใด
ในขณะเดียวกัน ค่ายกลที่ปกคลุมทั่วทั้งเขาอวิ๋นชางก็เหมือนถูกเปิดใช้งาน จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
เมื่อทอดมองไกลออกไป กลางอากาศด้านบนมีแสงหลากหลายสีสันไหลเวียน สัญลักษณ์โบราณและลวดลายค่ายกลอันซับซ้อนมากมายได้ปรากฏขึ้น หลอมรวมกันเป็นม่านแสงขนาดใหญ่ ห่อหุ้มทั่วทั้งเขาอวิ๋นชางเอาไว้
เมื่อเห็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจตรงหน้า
พวกจูหวยเหรินและเจี่ยเจิ้นเคอที่ยืนอยู่มิไกล ต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในทันที
“นี่คือฝีมือของท่านจางหรอกหรือนี่ ใช้เวลามิถึงหนึ่งก้านธูป ก็ทำให้ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ปรากฏรูปร่างขึ้นมาได้แล้ว”
“ท่านจางมีชื่อเสียงมานาน ทั่วทั้งหลิงโจว นอกจากสี่สำนักเซียนใหญ่แล้ว ยากจะหานักสร้างค่ายกลที่มีชื่อเสียงเช่นท่านจางได้”
“เจ้าสำนักจู ท่านเชิญบุคคลเช่นท่านจางมาได้เยี่ยงไรงั้นหรือ ? ”
“เฮ้อ พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าเองก็ปวดใจ อีกอย่างข้ารับปากท่านจางเอาไว้ว่าจะมิเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่ผู้ใดอีกเป็นอันขาด”
“ช่างเถอะ ขอเพียงเปิดค่ายกลนี้ได้ พวกเราก็จะสามารถบุกเข้าไปในสำนักชิงหยาง เพื่อชิงทรัพยากรของพวกเขาได้แล้ว”
“……”
“……”
ระหว่างที่กลุ่มคนที่อยู่มิไกลออกไปกำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้น
จางเฉิงเจิ้นที่หันหลังให้พวกเขาอยู่ในขณะนี้ กลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
เพราะขณะที่เขาใช้เข็มทิศโบราณ ทำให้ค่ายกลป้องภูผานี้ปรากฏขึ้นมานั้น
รอบกายของเขากลับเต็มไปด้วยกลสังหารอันน่าสะพรึงกลัวมากมายเต็มไปหมดขึ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตระหนกมากที่สุดก็คือ
เขามิเคยเห็นค่ายกลที่ทั้งน่ากลัวและพิสดารเช่นนี้มาก่อน
จากประสบการณ์ของเขาค่ายกลต้องใช้หินหุนหยวน โดยการดึงเอาพลังงานที่แฝงอยู่ภายในหินหุนหยวนออกมา ทำให้ค่ายกลสามารถทำงานได้
ทว่าค่ายกลนี้กลับต่างออกไป ราวกลับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สอดคล้องเข้ากับทุกอย่างโดยรอบ
หรือค่ายกลนี้มิต้องใช้หินหุนหยวน เพียงแค่ดึงพลังงานจากทุกสิ่งอย่างที่อยู่ใกล้เคียงมาใช้เท่านั้น
อีกทั้งลวดลายค่ายกลและสัญลักษณ์ลึกลับนี่ เมื่อเริ่มทำงานก็จะใช้ปราณวิญญาณทดแทน และกระตุ้นพลังฟ้าดินเพื่อปล่อยการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
สิ่งนี้เท่ากับเป็นการทำลายความเข้าใจในเรื่องค่ายกล ของนักสร้างค่ายกลอย่างจางเฉิงเจิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
อีกด้านหนึ่ง
ณ สำนักชิงหยาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล
ลู่ซานหยางก็ได้รีบไปยังที่พัก ของนักพรตชิงอวิ๋นในทันที
“อาจารย์แย่แล้วขอรับ มีคนต้องการทำลายค่ายกลที่ศิษย์น้องเย่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ขอรับ”
ลู่ซานหยางเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็รีบเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้น
“เข้ามาคุยด้านใน”
นักพรตชิงอวิ๋นเห็นลู่ซานหยางพุ่งตัวเข้ามา จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ซานหยาง เจ้าดูหรือยัง ว่าผู้ใดกันที่ต้องการทำลายค่ายกลของเรา ? ”
ลู่ซานหยางขมวดคิ้วมุ่น พลางส่ายหน้าไปมา “แท้จริงแล้วเป็นใครนั้น ศิษย์เองก็ยังมิทราบ แต่ศิษย์สัมผัสได้ขอรับ”
สัมผัสได้ ?
นักพรตชิงอวิ๋นปรายตามองลู่ซานหยาง ใบหน้าอดมิได้ที่จะเผยสีหน้าเคลือบแคลงออกมา
เห็นได้ชัดว่านักพรตชิงอวิ๋นนั้นมิเชื่อเขาแม้แต่น้อย
ด้วยความแตกฉานในค่ายกลของลู่ซานหยาง จะสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลได้จริง ๆ งั้นหรือ
เจ้าเด็กคนนี้คงมิได้แกล้งเขาอยู่หรอกนะ?
“ศิษย์มิได้ล้อเล่นนะขอรับ ที่พูดมาเป็นความจริงขอรับ ! ”
เห็นท่าทางแปลก ๆ ของนักพรตชิงอวิ๋น เขาจึงเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “อาจารย์ ท่านมิต้องใช้สายตาเช่นนี้มองศิษย์ ศิษย์มิใช่คนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้ศิษย์เป็นอัจฉริยะค่ายกลตัวจริงแล้ว ย่อมสามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลได้จริง ๆ ขอรับ”
นักพรตชิงอวิ๋นนิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นเจ้าสัมผัสได้หรือไม่ว่าค่ายกลเสียหายไปเท่าไรแล้ว ? ”
“เสียหาย ? ”
ลู่ซานหยางแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “อาจารย์ท่านคงจะยังมิรู้ ศิษย์มั่นใจว่าทั่วทั้งหลิงโจวคงมิมีผู้ใด สามารถทำลายค่ายกลที่ศิษย์น้องเย่เป็นผู้วางได้อย่างแน่นอน”
นักพรตชิงอวิ๋นอดมิได้ที่จะกลอกตาเล็กน้อย และมุมปากกระตุกขึ้น “เช่นนั้นเจ้าจะตื่นตระหนกทำไมกัน?”
สิ้นเสียงลู่ซานหยางก็นิ่งอึ้งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ “นั่นน่ะสิ ข้าจะตื่นตระหนกไปทำไม ? ”