เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 358 เชื่อข้าเถอะ มิมีปัญหาแน่นอน
ตอนที่ 358 เชื่อข้าเถอะ มิมีปัญหาแน่นอน
หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว
นักพรตชิงอวิ๋นจึงตัดสินใจไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
พวกนักพรตชิงอวิ๋นก็มาถึงบนหน้าผาที่เขาด้านหลัง
เวลานี้เย่ฉางชิงยังคงหลับตาลงทั้งสองข้าง ขณะนั่งสมาธิอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันไว้ที่ด้านหน้า เพื่อสัมผัสปราณวิญญาณฟ้าดินรอบกาย
เพียงแต่ปราณวิญญาณฟ้าดินที่แผ่อยู่รอบกายของเขา มิใช่มีเพียงปราณวิญญาณธาตุเดียวเท่านั้นที่เกิดการสั่นสะเทือน ทว่าปราณวิญญาณทุก ๆ ธาตุต่างกำลังสั่นสะเทือนไปด้วยเช่นกัน
“หรือว่า… รากวิญญาณของฉางชิงจะเป็นรากวิญญาณรวมศูนย์ในตำนานจริง ๆ ”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นทันทีที่สัมผัสได้
หลี่ซิวหยวนจึงเผยสีหน้าสงสัยออกมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “อาจารย์ หรือว่ารากวิญญาณรวมศูนย์ที่ศิษย์น้องชวี่กล่าวถึง จะสามารถขานรับกับปราณวิญญาณของทุกธาตุได้เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นมิได้เอ่ยอธิบายเพิ่มเติม เพียงแค่ปรายตามองหลี่ซิวหยวนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ชวี่เหวินเซี่ยที่เพิ่งเคยพบหน้าศิษย์น้องเล็กผู้นี้เป็นครั้งแรก
เมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ติของศิษย์น้องเล็ก รวมทั้งลักษณะท่าทางที่แผ่รังสีออกมาจากภายในแล้ว
ทันใดนั้นชวี่เหวินเซี่ยก็อดมิได้ที่จะตาค้างอยู่เช่นนั้น พลางทอดถอนใจ พร้อมเอ่ยราวกับละเมอออกมาว่า “มิน่าเล่าเจ้าเด็กจื่อเหยาคนนั้น ถึงบอกว่าเพียงแค่เห็นหน้าศิษย์น้องเล็กก็ละลายแล้ว คาดมิถึงว่ารูปโฉมและลักษณะท่าทางของคนผู้นี้จะไร้ที่ติเช่นนี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังอดมิได้ที่จะละลายเช่นกัน”
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นก็ขมวดคิ้วขึ้น พลางเอ่ยเตือนเรียบ ๆ ว่า “เหวินเซี่ย เวลาเช่นนี้เจ้าคิดอะไรอยู่ ห๊ะ ! ”
ชวี่เหวินเซี่ยจับจ้องไปยังเย่ฉางชิง ก่อนจะเอ่ยโดยมิมองหน้าผู้ใดอีกว่า “ตาเฒ่าชิงอวิ๋น ข้ายอมรับว่าสายตาของเจ้านั้นช่างแหลมคมยิ่งนัก”
สิ้นเสียงสายตาของนักพรตชิงอวิ๋นก็มีประกายบางอย่างแวบผ่าน บนใบหน้าที่แก่ชรานั้น พลันปรากฏรอยยิ้มดีใจขึ้น
ต้องบอกว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่ศิษย์รองผู้นี้ชมเขาต่อหน้า นับตั้งแต่นางเข้าสำหนักชิงหยางมา
“สายตาของข้าก็เป็นเช่นนี้มาตลอดมิใช่หรือ?”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองเบา ๆ พร้อมใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ชวี่เหวินเซี่ยจึงได้สติอีกครั้ง ก่อนตอบกลับอย่างอารมณ์เสียว่า “ตาเฒ่าชิงอวิ๋น มาตรฐานในการรับศิษย์ของเจ้าที่ผ่านมา มักจะดูเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นมิใช่หรือ ? ”
“เหวินเซี่ย เจ้าคงจะยังมิรู้”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “บรรพจารย์ท่านหนึ่งของสำนักชิงหยางของเรา เคยกล่าวประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า รูปโฉมและลักษณ์ท่าทางที่ดูธรรมดา ส่วนใหญ่แล้วคุณสมบัติในการฝึกเซียนก็มักจะมิโดดเด่น”
“ผลสุดท้ายเป็นเยี่ยงไรเล่า ? ”
ชวี่เหวินเซี่ยแค่นเสียงออกมา “หากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของศิษย์น้องเล็กผู้นี้ เกรงว่าสำนักชิงหยางคงจะล่มสลายด้วยน้ำมือของเจ้าเป็นแน่ เจ้ามิละอายใจบ้างเลยหรือเยี่ยงไร ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างมิใส่ใจ “สำนักชิงหยางของข้ามีมังกรตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว ยังต้องการตัวอื่นอีกทำไม ? ”
ชวี่เหวินเซี่ย : “……”
ตอนนั้นเอง หลี่ซิวหยวนที่คอยสังเกตเย่ฉางชิงอยู่ตลอด จู่ ๆ ก็พูดด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า
“อาจารย์ ศิษย์น้องชวี่ พวกท่านดูนั่นสิ ! ”
“ศิษย์น้องเย่เหมือนจะขานรับกับปราณวิญญาณทุกธาตุจริง ๆ ปราณวิญญาณทั่วทั้งเขา ราวกับจะระเบิดขึ้นก็มิปาน”
ได้ยินเช่นนั้น นักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ยก็เลิกเถียงกันทันที พร้อมกับหลับตาลงเพื่อสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนของปราณวิญญาณอีกครั้ง
มิกี่อึดใจต่อมา
นักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ยก็ลืมตาขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“เหวินเซี่ย ตอนนี้ดูแล้วในกายของฉางชิง คงจะเป็นรากวิญญาณรวมศูนย์ในตำนานจริง ๆ ”
นักพรตชิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มยินดี
“ศิษย์น้องเล็กผู้นี้มิธรรมดาจริง ๆ ภายในกายถึงกลับมีรากวิญญาณรวมศูนย์ในตำนานเช่นนี้อยู่”
ชวี่เหวินเซี่ยพยักหน้ารับ ก่อนจะทอดถอนใจออกมาว่า “น่าเสียดายที่สำนักชิงหยางของเราเป็นเพียงสำนักระดับเก้าเท่านั้น มิเช่นนั้นล่ะก็สำนักชิงหยางในภายภาคหน้า อาจจะเก่งกาจเทียบเคียงกับสี่สำนักเซียนใหญ่ก็เป็นได้”
เอ่ยถึงตรงนี้ ชวี่เหวินเซี่ยก็พ่นลมหายใจออกมา “ตาเฒ่าชิงอวิ๋น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ให้เขาตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
นักพรตชิงอวิ๋นพยักหน้ารับ “เราคงทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ”
เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจะจากไป
ในที่สุดหลี่ซิวหยวนก็ถอนสายตากลับมา พลางเอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “อาจารย์ ยังจะให้ข้าชี้แนะศิษย์น้องเย่ ในเรื่องการบำเพ็ญเพียรต่ออีกหรือขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นจึงหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าเจ้าต้องทำต่อไปน่ะสิ”
หลี่ซิวหยวนอดมิได้ที่จะเอ่ยออกมาอย่างลำบากใจ “อาจารย์ ท่านก็ทราบดี ด้วยตบะบารมีอันน้อยนิดของข้า งานนี้คงสอนเขามิได้จริง ๆ นะขอรับ ! ”
“หลี่ซิวหยวน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดเช่นไร”
เป็นชวี่เหวินเซี่ยที่เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าก็แค่กังวลว่าการสอนของเจ้าจะทำให้ศิษย์น้องเล็กผู้นี้เกิดปัญหาขึ้นก็เท่านั้น”
“แต่เจ้าวางใจเถอะ ศิษย์น้องเล็กผู้นี้มีรากวิญญาณรวมศูนย์ในตำนาน ต่อให้เจ้าตั้งใจสอนเขาผิด ๆ คนที่จะปวดหัวน่าจะเป็นเจ้าซะมากกว่า”
หลี่ซิวหยวนถึงกับนิ่งเงียบ ก่อนจะหันไปมองนักพรตชิงอวิ๋น พลางถามอย่างลังเลว่า “อาจารย์ ข้าจะทำได้จริง ๆ หรือขอรับ ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นและชวี่เหวินเซี่ยสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้
………………………………
ขณะเดียวกัน หลังจากสัมผัสซ้ำไปซ้ำมา
ภายในใจของเย่ฉางชิงก็ยิ่งเกิดความสงสัย
มิผิดแน่ !
เมื่อเขาพบว่าตนเองนั้นสามารถสัมผัสกับปราณวิญญาณได้ทุกธาตุ
ทว่าปัญหาก็คือ
ตามคำแนะนำในตำราคู่มือการบำเพ็ญเพียร
ผู้ที่บำเพ็ญเพียรจะสามารถเปิดรับสัมผัสกับปราณวิญญาณ ได้หนึ่งหรือสองธาตุเท่านั้น
จากนั้นจึงสามารถกำหนดปราณในร่างกาย และเสริมปราณให้แข็งแกร่งได้
‘จริงสิ ! ’
‘ศิษย์พี่ใหญ่บอกเอาไว้ว่า’
‘การค้นหาลมปราณต้องใช้เวลายาวนาน’
‘ส่วนข้าวันนี้เพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเพียร แต่กลับสามารถสัมผัสปราณวิญญาณได้ทุกธาตุแล้ว’
‘แต่นี่ช่างมิสมเหตุสมผลเอาซะเลย’
‘หรือข้าจะใจร้อนเกินไปจริง ๆ ’
คิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็สงบจิตใจที่ฟุ้งซ่านลง เพื่อสัมผัสปราณวิญญาณฟ้าดินรอบ ๆ อีกครั้ง
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปไวราวโกหก
ในวันนี้เอง
ในที่สุดเย่ฉางชิงก็อดทนมิไหวอีกต่อไป
เพราะเขาอยู่ที่เขาด้านหลังมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ทว่าตนเองก็ยังคงสามารถสัมผัสปราณวิญญาณได้ทุกธาตุอยู่เช่นเคย
อีกทั้งความรู้สึกนี้กลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขนาดถึงขั้นสามารถขานรับปราณวิญญาณ ตามที่ตำราคู่มือบำเพ็ญเพียรเขียนเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’
‘ข้าใช้เวลาไปเกือบครึ่งเดือน แต่กลับยังมิสามารถสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณ ที่ควรจะเป็นเพียงธาตุเดียวกับรากวิญญาณตนได้’
‘หรือว่าในโลกนี้เขาก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าอีกแล้ว ? ’
“ศิษย์พี่ใหญ่ ครึ่งเดือนแล้วข้ายังมิสามารถสัมผัสปราณวิญญาณ ที่เป็นเพียงธาตุเดียวกับรากวิญญาณของตนเองได้เลยขอรับ”
เย่ฉางชิงมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่ซิวหยวนที่นั่งอยู่บนขอบหน้าผา พลางเอ่ยขึ้นอย่างท้อแท้ใจเต็มที
ได้ยินเช่นนั้น หลี่ซิวหยวนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พร้อมหันไปมองเย่ฉางชิง
“ศิษย์น้องเย่ เจ้าพบว่าตนเองสามารถสัมผัสกับปราณวิญญาณได้ทุกธาตุใช่หรือไม่ ? ”
หลี่ซิวหยวนยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาเรียบ ๆ
ทว่าความจริงแล้ว เขาอยากให้ศิษย์น้องเย่ผู้นี้ ลุกขึ้นมาถามเขาตั้งนานแล้ว
เพราะช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเย่ฉางชิงได้สัมผัสปราณวิญญาณฟ้าดินอยู่ตลอด ทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินบริเวณนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง !
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวเขาเองก็มิอาจที่จะบำเพ็ญเพียรได้
แต่ขณะที่แสดงละครตบตาเย่ฉางชิง ว่าตนนั้นเป็นยอดฝีมือที่สูงส่ง
และในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ย่อมมิสามารถไปสารภาพความจริงนี้ต่อหน้าเย่ฉางชิงได้
“ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้ามีถึงรากวิญญาณรวมศูนย์ในตำนาน สามารถขานรับปราณวิญญาณได้ทุกธาตุ”
“เช่นนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องลำบากสัมผัสปราณวิญญาณเพียงธาตุใดธาตุหนึ่งอีกแล้ว”
“เจ้าจงขานรับปราณวิญญาณอย่างอิสระเถอะ ! ”
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงพลันนิ่งงันไปทันที แววตาที่มองหลี่ซิวหยวนฉายแววเลื่อมใสออกมา
‘ศิษย์พี่ใหญ่ช่างเก่งกาจจริง ๆ สามารถรู้ถึงปัญหาของข้าได้ตั้งนานแล้ว’
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านทราบแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงจึงประสานมือให้แก่หลี่ซิวหยวน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
หลี่ซิวหยวนพยักหน้ารับ พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “ศิษย์น้องเย่ รากวิญญาณของเจ้าพิเศษกว่าคนอื่น เช่นนั้นเจ้ามิต้องใส่ใจธาตุของปราณวิญญาณอีกแล้ว จงขานรับและนำธาตุของปราณวิญญาณที่สัมผัสได้ เข้ามาภายในร่างอย่างที่เจ้าต้องการเถอะ”
“ห๊ะ ? ”
เย่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดสงสัยมิได้ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ จะมิเป็นอันตรายหรือขอรับ ? ”
หลี่ซิวหยวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เชื่อข้าเถอะ มิมีปัญหาแน่นอน”
เย่ฉางชิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปยังที่เดิมของตัวเองก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง