เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 349 เจ้าเด็กคนนี้กล้าดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 349 เจ้าเด็กคนนี้กล้าดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
หลังจากนิมิตภาพเทพปีศาจโบราณปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ก็กลายเป็ นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งสานักชิงหยาง
ขณะที่เย่ฉางชิงยังคงนั่งอยู่ด้านหน้าของภาพเทพปีศาจโบราณ ภาพนั้น
เพียงแต่เขาเหมือนก าลังตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง
แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะปิดสนิท แต่กลับสามารถเห็นภาพเทพ ปีศาจโบราณได้อย่างชัดเจน
ทว่าเวลานี้ในสายตาเขาภาพเทพปี ศาจโบราณภาพนี้กลับ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เหมือนมีประตูของโลกอีกใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
และเมื่อเย่ฉางชิงมองเข้าไป โลกหลังประตูบานนี้กลับดูวุ่นวายยิ่ง นัก
ทว่ากลับมีแผ่นหลังที่กว้างใหญ่ของคนผู้หนึ่ง กาลังนั่งขัดสมาธิ อยู่ท่ามกลางความโกลาหลนั้น
รอบกายมืดมิด มีสายฟ้ าอันทรงพลังสว่างวาบขึ้นมาเป็ นระยะ ดวงดาวนับล้านลอยต่าลง ตะวันและจันทราลอยเด่น และมีสามพัน มหามรรคาล่องลอย…
แค่ดูก็รู ้แล้วว่าภาพเช่นนี้น่าตื่นตระหนกมากเพียงใด !
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ขณะที่เย่ฉางชิงตั้งสมาธิให้มั่น และต้องการที่จะค้นหาวิธีบาเพ็ญ เพียรขั้นสูงสุดอยู่นั้น
จู่ ๆ เสียงที่ดูลึกลับราวกับผ่านกาลเวลามายาวนาน ก็ดังขึ้นมา จากอีกห้วงเวลาหนึ่ง
“เคล็ดเทพปีศาจโบราณ ! ”
“เคล็ดเทพปีศาจโบราณเป็ นวิธีการบาเพ็ญเพียรขั้นสูงสุด ที่ต้อง ฝึกฝนทั้งร่างกายและเคล็ดวิชาควบคู่กัน แต่การจะฝึกฝนด้วยวิธีนี้ จะต้องมีความมุ่งมั่นอดทนอย่างมาก”
“อีกทั้งหลังจากบาเพ็ญเพียรด้วยวิธีขั้นสูงสุดนี้แล้ว จะมิสามารถ เปลี่ยนไปบาเพ็ญเพียรวิธีอื่นได้อีก…”
จนเวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป
หลังจากเสียงที่ดูลึกลับค่อย ๆ จางหายไป
ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ได้หลุดจากภวังค์นั้น ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
แต่ถึงแม้เขาจะได้เคล็ดวิชาเทพปีศาจโบราณมา
หรือรู ้ถึงวิธีการบาเพ็ญเพียรขั้นสูงสุดที่ภาพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถึง ทว่าเขากลับรู ้สึกดีใจมิออก
ซึ่งต้องยอมรับว่าวิธีบาเพ็ญเพียรที่เคล็ดเทพปีศาจโบราณเล่มนี้ เอ่ยถึงนั้นมิธรรมดาจริง ๆ
ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกับวิธีการบาเพ็ญเพียรอื่น ๆ ก็คือ
วิธีการบาเพ็ญเพียรปกตินั้นจะเน้นเสริมสร ้างรากวิญญาณอย่าง ต่อเนื่องเสียก่อน เพื่อเป็ นการหล่อเลี้ยงรากวิญญาณ ทาให้ราก วิญญาณเกิดการพัฒนาและก้าวหน้าขึ้น
แต่เคล็ดเทพปีศาจโบราณเล่มนี้
กลับบอกว่าในช่วงเริ่มต้นของการบาเพ็ญเพียรนั้น ผู้บาเพ็ญ เพียรจะต้องทาการเปิ ดจุดเซินฉางภายในร่างกายทั้งหกตาแหน่ง
เสียก่อน จากนั้นให้ใช ้แก่นแท้ภายในจุดเซินฉางทาการหล่อเลี้ยง รากวิญญาณแทน
เช่นนี้ก็หมายความว่า
ในการบาเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาขั้นสูงด้วยเคล็ดเทพปีศาจโบราณ ผู้บ าเพ็ญเพียรจะต้องท าการการฝึกฝนร่างกายเสียก่อน แล้วค่อยฝึก เคล็ดวิชา
ข้อดีของการฝึกด้วยวิธีนี้ก็คือสามารถกลายเป็ นผู้ไร ้พ่าย เมื่อ เทียบกับผู้บ าเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน ถึงขนาดมีโอกาสสังหาร ศัตรูที่มีระดับเหนือกว่าได้อีกด้วย
แต่การจะเปิดจุดเซินฉางภายในร่างกายทั้งหกตาแหน่ง เหตุใด ถึงได้ยากเพียงนี้เล่า !
อีกทั้งขั้นตอนในการเปิดจุดเซินฉางยังเต็มไปด้วยอันตราย หาก มิระวังอาจมิสามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกตลอดกาล
และที่สาคัญที่สุดก็คือ ภาพการเดินลมปราณของเคล็ดเทพ ปีศาจโบราณนั้น กลับแตกต่างจากเคล็ดวิชาอื่นโดยสิ้นเชิง
เช่นนั้นหากเริ่มบาเพ็ญเพียรไปแล้ว ก็ทาได้เพียงเดินไปให้สุด ทางเท่านั้น
นี่จึงเป็ นสิ่งที่ทาให้เย่ฉางชิงปวดหัวเป็ นอย่างมาก
สองโลกก่อนหน้านี้
เขาเป็ นคนขี้แพ้มาโดยตลอด
มาในโลกนี้
เพียงแค่ตื่นขึ้นมา เขาก็บังเอิญจับพลัดจับผลูได้เข้ามาอยู่สานัก เซียนลึกลับ อย่างส านักชิงหยางโดยง่ายดาย
เช่นนั้นในโลกนี้เขาคงถูกกาหนดเอาไว้แล้ว ว่ามิอาจเป็ นคน ธรรมดาได้อีก
ทว่าเขาเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในสานักชิงหยางได้มิทันไร แต่กลับต้อง มาเจอทางเลือกที่ลาบากใจเช่นนี้เสียแล้ว
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
“บัดนี้สุดยอดเคล็ดวิชาวางอยู่ตรงหน้า”
“หากบ าเพ็ญเพียรด้วยเคล็ดเทพปีศาจโบราณ และสามารถเปิด จุดเซินฉางภายในร่างกายทั้งหกตาแหน่งไปได้อย่างราบรื่น ภายภาค หน้าจะต้องเดินอยู่บนเส้นทางที่ไร ้พ่ายอย่างแน่นอน”
เย่ฉางชิงพูดกับตัวเอง พลางใช ้มือลูบหน้าผากตัวเองไปด้วย อย่างอดมิได้ “แต่หากเลือกบ าเพ็ญเพียรด้วยเคล็ดเทพปีศาจโบราณ แล้ว หากขณะที่ทาการเปิดจุดเซินฉางแล้วเกิดมีเรื่องที่มิฝันขึ้นมา นั่นก็จะหมายความว่าในโลกใบนี้ ข้าคงถูกกาหนดให้กลายเป็ นคนไร ้ ค่าอีกครา”
“แต่ค าโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า การบ าเพ็ญเพียรแต่เดิมก็เป็ น การแสวงหาทางเอาชีวิตรอดจากรอยแยกอยู่แล้ว หากปล่อยเคล็ด วิชาขั้นสูงเช่นนี้ไป แล้วจะต่างอะไรกับพวกกระจอกกันเล่า ? ”
หลังจากเย่ฉางชิงคิดทบทวนดูแล้ว ก็เหมือนจะนึกบางอย่าง ขึ้นมาได้
“จริงสิ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เก้าได้บอกเอาไว้ว่า พรุ่งนี้ศิษย์พี่ใหญ่ จะพาข้าไปบาเพ็ญเพียรที่เขาด้านหลัง ถึงตอนนั้นข้าค่อยถามความ คิดเห็นจากศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้นี่นา”
“หากศิษย์พี่ใหญ่เองก็บาเพ็ญเพียรด้วยเคล็ดวิชาขั้นสูงนี้ เหมือนกัน และให้คาชี้แนะข้าได้ ข้าก็จะมีโอกาสเปิดจุดเซินฉางได้ ส าเร็จ”
“อืม เอาตามนี้ก็แล้วกัน ! ”
ขณะเดียวกัน หลังจากรู ้ว่าเป็ นเพราะเย่ฉางชิงรู ้แจ้งในภาพเทพ ปีศาจโบราณ จึงทาให้นิมิตอันน่ากลัวเช่นนี้ปรากฏขึ้น
เมื่อความรู ้สึกตื่นเต้นยินดีจางหายไปแล้ว นักพรตชิงอวิ๋นก็เรียก รวมตัวศิษย์ทั้งเก้าของตน ที่โถงประชุมกลางดึกทันที
“พวกเจ้าทั้งเก้าคน เวลานี้คงรู ้ถึงคุณสมบัติของฉางชิงแล้ว กระมัง ? ”
นักพรตชิงอวิ๋นนั่งอยู่ด้านบนสุดมีท่าทีสงบนิ่ง แม้ใบหน้าจะมิบ่ง บอกอารมณ์ใด ๆ แต่ภายในดวงตากลับมีประกายระยิบระยับเต้นอยู่
“รู ้แล้วจะอย่างไร มิรู ้แล้วจะอย่างไร ? ”
ศิษย์รองชวี่เหวินเซี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างของนักพรตชิงอวิ๋น แค่น เสียงออกมาเบา ๆ “แม้ศิษย์ที่มาใหม่ผู้นี้จะมีคุณสมบัติของเซียนที่ ยอดเยี่ยม ความสาเร็จในภายภาคหน้ามิอาจประเมินได้ แต่อีกครึ่งปี ก็ต้องไปอยู่นิกายกระบี่สวรรค์อยู่ดี”
ได้ยินเช่นนั้น
“เหวินเซี่ย เจ้าพูดอะไรของเจ้า ! ”
นักพรตชิงอวิ๋นปรายตามองชวี่เหวินเซี่ย พลางเอ่ยว่า “ขอเพียง อีกครึ่งปี ฉางชิงสามารถเข้าสู่นิกายกระบี่สวรรค์ได้สาเร็จ ดูจาก คุณสมบัติที่เขามีแล้ว เกรงว่าเขาอาจได้เป็ นศิษย์สายตรง ของผู้ อาวุโสท่านนั้นก็เป็ นไปได้”
“นั่นก็หมายความว่าสานักชิงหยางของเราก็จะสามารถกลับมา รุ่งเรืองได้อีกครา หรือสามารถเลื่อนขึ้นเป็ นสานักอันดับสองเลยก็ เป็ นได้”
เอ่ยถึงตรงนี้ นักพรตชิงอวิ๋นก็ลอบชาเลืองมองหลี่ซิวหยวนที่นั่ง อยู่อีกข้างหนึ่ง
เดิมเขาอยากจะขอความคิดเห็นจากศิษย์เอกผู้นี้
แต่สุดท้ายกลับพบว่าสายตาที่หลี่ซิวหยวนมองตนนั้น กลับมีเลศ นัยบางอย่างแฝงอยู่
“ซิวหยวน เจ้าเห็นเป็ นเช่นไรบ้าง ? ”
หลังจากชั่งใจเล็กน้อย นักพรตชิงอวิ๋นก็ได้เอ่ยถามหลี่ซิวหยวน ที่มีท่าทางแปลก ๆ พร ้อมกลับสายตาที่มีเลศนัยนั้น
หลี่ซิวหยวนที่กาลังใจลอยอยู่จึงได้สติขึ้นมา พร ้อมเอ่ยขึ้นทัน ควันว่า “ขอรับ อาจารย์ ศิษย์จะมิชกที่หน้าอย่างเด็ดขาด”
นักพรตชิงอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะคารามออกมาด้วยความ โมโห “ศิษย์ชั่ว เจ้าว่าอะไรนะ ! ”
“อาจารย์ ศิษย์มิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ”
หลี่ซิวหยวนเพิ่งจะรู ้ตัว จึงรีบอธิบายว่า “ศิษย์คิดว่าศิษย์น้องเห วินเซี่ยมิควรพูดกับท่านเช่นนั้นขอรับ”
นักพรตชิงอวิ๋นเม้มริมฝี ปากเล็กน้อย พร ้อมกับถลึงตาอย่างมิ พอใจใส่หลี่ซิวหยวน
ทว่าคนปากจัดเช่นชวี่เหวินเซี่ยเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหลี่ซิวหยวนอย่างเหน็บแนมว่า “หลี่ซิวหยวน ในเมื่อศิษย์ผู้ มาใหม่สามารถรู ้แจ้งภาพเทพปีศาจโบราณภาพนี้ได้ เช่นนั้นคงช่วย แก้ปมฝังใจนี้ให้เจ้าได้แล้วกระมัง ? ”
ตอนนั้นเอง จื่อเหยาผู้มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ คล้ายกับจะนึกถึง เรื่องเก่าบางเรื่องขึ้นมาได้
“ศิษย์พี่รองพูดถูก ข้าจาได้ว่าตอนนั้นอาจารย์ได้เอ่ยท้าศิษย์พี่ ใหญ่เอาไว้ว่า หากมีคนสามารถรู ้แจ้งในภาพเทพปี ศาจโบราณ เมื่อใด จะให้ศิษย์พี่ใหญ่เอาคืนได้”
จื่อเหยาเอ่ยขึ้นอย่างมิได้คิดอะไร
สิ้นเสียง ภายในห้องโถงที่มีเพียงแสงสลัว ๆ พลันไร ้ซึ่งเสียงใด ๆ ในทันที
ทุกคนเหลือบมองไปยังนักพรตชิงอวิ๋นที่มีสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นก็ หันไปมองศิษย์เอกหลี่ซิวหยวน
ทว่าในเวลานี้หลี่ซิวหยวนเองก็มิได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มอง นักพรตชิงอวิ๋นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
หลังจากเงียบอยู่สักพัก
“พวกเจ้าฟังให้ดี ! ”
นักพรตชิงอวิ๋นลอบกลืนน้าลาย ก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้ฉางชิง เกี่ยวพันถึงอนาคตของสานักชิงหยาง จากนี้ไปหากใครกล้าเผยพิรุธ ต่อหน้าฉางชิงล่ะก็ ก็อย่าหาว่าข้ามิเตือนก็แล้วกัน”
เอ่ยเพียงเท่านั้นนักพรตชิงอวิ๋นก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก พร ้อม กับหมุนตัวเตรียมจากไป
ทว่าในตอนนั้นเอง หลี่ซิวหยวนกลับเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “อาจารย์…”
ทันใดนั้น นอกจากคนที่เหลือจะที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่ชวี่เห วินเซี่ยที่มิค่อยลงรอยกับหลี่ซิวหยวน ยังตาเป็ นประกายขึ้นมาทันที อย่างห้ามมิได้
เจ้าเด็กคนนี้กล้าดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?