เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 336 อันดับฉางชิง ลัทธิเต๋าในใต้หล้าเคารพผู้ อาวุโสเย่
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน
- ตอนที่ 336 อันดับฉางชิง ลัทธิเต๋าในใต้หล้าเคารพผู้ อาวุโสเย่
มินาน หลังจากข่าวดีแพร่สะพัดไปยังลัทธิเต๋าทั่วทั้งจงหยวน
เวลาผ่านไปมินาน ผู้นาสานักเต๋าต่าง ๆ ต่างก็มารวมตัวกัน ที่ดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
พวกเขารู ้ดีว่าผู้ที่สามารถทาให้กองทัพฝ่ ายมารนับแสนตน หายไปอย่างไร ้ร่องรอยเช่นนี้ได้
และสังหารสิ่งมีชีวิตโบราณที่อยู่ในส่วนลึกของแดนต้องห้ามให้ สิ้นซากลงได้
ฝีมือเช่นนี้ !
ยุคสมัยนี้เกรงว่าคงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มีความสามารถเช่นนี้
ผู้อาวุโสเย่ !
มิมีทางเป็ นใครอื่น นอกจากเขาอีกแล้ว !
ทว่านี่ยังเป็ นการส่งสัญญาณบางอย่างให้แก่ลัทธิเต๋าในจงหยวน อีกด้วย
ว่ามีความเป็ นไปได้สูง ที่ผู้อาวุโสเย่จะขึ้นสวรรค์ในเร็ว ๆ นี้แล้ว
นี่จึงเป็ นสาเหตุให้เหล่าผู้นาสานักต่าง ๆ ในจงหยวน มารวมตัว กันยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในวันนี้
ในหัวข้อผู้อาวุโสเย่กาลังจะไปจากโลกใบนี้แล้ว
เยี่ยงไรเสียพวกเขาซึ่งเป็ นผู้น้อยก็ควรจะน้อมส่งผู้อาวุโสเย่เป็ น ครั้งสุดท้าย
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ณ ต าหนักไท่เสวียน
“ทุกท่าน ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกมินานผู้อาวุโสเย่ก็คงไปจากที่นี่ แล้ว”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสเย่ยื่นมือเข้ามาช่วยขับไล่กองทัพมารนับแสน ด้วยตัวเอง ทั้งยังให้ผู้ติดตามของเขาไล่สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณ มากมายที่ออกมาจากส่วนลึกของแดนต้องห้าม จากสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้แสดงว่าเขาคงใกล้จะจากไปแล้วจริง ๆ ”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้ามีโอกาสทาความรู ้จักกับผู้อาวุโสเย่ช ้า เกินไป จึงมิทันได้แสดงความกตัญญู ช่างน่าเศร ้ายิ่งนัก”
“ที่พี่ชายท่านนี้กล่าวมานั้นมิผิด”
“เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสเย่ หากเขามิต้องการที่จะ เปิดเผยตัว ต่อให้เดินกระทบไหล่กันพวกเราก็คงมิอาจจะรู ้ได้อยู่ดี”
ระหว่างที่ผู้นาสานักต่าง ๆ ทอดถอนใจออกมานั้น
เจ้าสานักจื่อชิง สวีฉิงเทียน ก็หันไปมองนักพรตฉางเสวียน ที่มีสี หน้าสับสนอยู่ในตอนนี้
“พี่เหอ ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้อาวุโสเย่จะไปจากโลกใบนี้เมื่อใด กันแน่ ? ”
สวีฉิงเทียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็ นกังวล
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ
อีกทั้งเพราะความสัมพันธ ์ระหว่างท่านบรรพจารย์เย่กับ จักรพรรดิมารตนนั้น
ทาให้หลายวันมานี้นักพรตฉางเสวียนรู ้สึกหนักใจอย่างมาก
จนกระทั่งวันนี้ หลังได้รับข่าวอันน่าพิศวงทั้งสองข่าวแล้ว เขาจึง รู ้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกขึ้นมาทันใด
แต่ด้วยเหตุนี้ ในเวลานี้เขาจึงรู ้สึกละอายใจอย่างมาก
เขามองว่าบางทีท่านบรรพจารย์เย่ คงจะคิดว่าสาเหตุหลัก ๆ ที่ ทาให้ลัทธิเต๋าค่อย ๆ ตกต่าลงนั้นเป็ นเพราะ
นับตั้งแต่สมัยบรรพกาลมาจนถึงบัดนี้ ลัทธิเต๋าอยู่กันอย่างสุข สบายเกินไป
เช่นนั้นจึงเป็ นผู้อยู่เบื้องหลัง และทาให้เกิดศึกระหว่างเต๋าและมาร ขึ้น
แม้สงครามแดนเหนือและแดนใต้จะคร่าชีวิตศิษย์ลัทธิเต๋าไปนับ แสนคน แต่เพราะเหตุนี้ผู้บาเพ็ญเพียรลัทธิเต๋าทั่วใต้หล้าก็จะได้ ตระหนักถึงวิกฤตเสียที
ยิ่งไปกว่านั้น หนทางการบาเพ็ญเพียรเพื่อเป็ นเซียนแต่เดิมก็ อันตรายมากพอแล้ว ในการสู้กับฟ้ าดินเพื่อแสวงหาโอกาส หาก ประมาทแม้เพียงนิดเดียวก็จะทาให้กายสลายเต๋าสูญสิ้นได้ทุกเมื่อ
คิดถึงตรงนี้ นักพรตฉางเสวียนก็ได้ลุกขึ้นยืน
“ทุกท่าน ตอนนี้ข้าเองก็มิอาจทราบได้ว่าท่านบรรพจารย์เย่ จะ ไปจากโลกใบนี้เมื่อใดกันแน่”
นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองทุกคน พลางเอ่ยด้วยน้าเสียง เคร่งขรึมว่า “อีกทั้งข้ามองว่าท่านบรรพจารย์เย่อาจมิได้ต้องการที่จะ เห็นพวกเรา ก่อนไปจากโลกนี้ก็เป็ นได้”
ได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างก็สบตากัน ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความ สงสัย
เจ้าสานักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ จึงเอ่ยถามขึ้รว่า “พี่ฉางเสวียน ท่านหมายความเช่นไรกัน ? ”
“คิดว่าทุกท่านคงจะยังมิลืมว่าในศึกแดนเหนือและแดนใต้ ลัทธิ เต๋าของเราสูญเสียศิษย์ไปมากมายเพียงใด ? ”
นักพรตฉางเสวียนหันไปมองต้วนฉางเต๋อ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคน ณ ที่นั้นด้วยเสียงจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ใคร่ครวญมาตลอด ว่า เหตุใดท่านบรรพจารย์เย่ต้องคอยสนับสนุนให้เกิดศึกใหญ่ในครานี้ ด้วย”
“แต่วันนี้หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวดีทั้งสองเรื่องนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้ เข้าใจเสียที”
เอ่ยถึงตรงนี้ นักพรตฉางเสวียนก็แสร ้งหยุดลง เพื่อให้เวลาทุก คนได้ลองไตร่ตรองดู
จนเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป
นักพรตฉางเสวียนจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เห็นได้ชัดว่าท่าน บรรพจารย์เย่นั้นคิดสิ่งใดอยู่ เขาคงมองว่านับตั้งแต่สมัยบรรพกาลมา
จนถึงบัดนี้ ลัทธิเต๋าของเรานั้นอยู่กันอย่างสุขสบายจนเกินไป จึงทา ให้ลัทธิเต๋าถดถอยและตกต่าลงอย่างที่เป็ นอยู่ทุกวันนี้”
“อีกอย่างทุกท่านอย่าได้ลืมว่า เหตุผลหลักในการบ าเพ็ญเพียร ของพวกเรานั้น เพื่อต่อสู้กับฟ้ าดิน แสวงหาโอกาส และหลุดพ้นขึ้น สวรรค์ ! ”
ทันใดนั้น เหล่าผู้นาลัทธิเต๋าที่นั่งอยู่พลันนิ่งเงียบลง
มินาน ก็มีคนทอดถอนใจออกมา พร ้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
บางคนก็มีท่าทางโศกเศร ้า จนขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา
……………………………
จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
เจ้าสานักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่หัวคนใหม่ นักพรตอี่เจ๋อ จึงถอน หายใจยาวออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ที่เจ้าสานักไท่เสวียนพูดมานั้นถูกต้องแล้ว”
นักพรตอี่เจ๋อจึงถอนหายใจอีกครั้ง พลางเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว หาก มิใช่ผู้อาวุโสเย่เป็ นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในครานี้ รออีกหมื่นปี แสนปี หรือ นานกว่านั้น หากเกิดศึกระหว่างเต๋าและมารขึ้น”
“เกรงว่าถึงตอนนั้นโลกใบนี้คงมิมีที่ยืนสาหรับลัทธิเต๋าอีกแล้ว และเผ่ามนุษย์ของเราก็คงจะตกเป็ นทาสของมารและปี ศาจอย่าง แน่นอน ชีวิตคงมิต่างอะไรกับต้นหญ้าที่ผู้อื่นพร ้อมจะเด็ดทิ้งได้ทุก เมื่อ”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้นาสานักต่าง ๆ ก็สบตากันอีกครั้ง ก่อนจะพยัก หน้าเห็นด้วย พร ้อมทอดถอนใจออกมา
“ต้องบอกว่าที่พี่ฉางเสวียนและพี่อี่เจ๋อพูดมาล้วนมีเหตุผลยิ่งนัก”
มินานเจ้าสานักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง ที่ได้นั่งใคร่ครวญอยู่นานก็ ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกท่าน ข้าเห็นว่าเราจาเป็ นจะต้อง เปิดการจัดอันดับเต๋า และปัดฝุ่นมันขึ้นมาอีกคราแล้วล่ะ”
“นับแต่นี้ต่อไป ศิษย์ส านักเต๋าต่าง ๆ จะสามารถประลองกันได้ ทุกเมื่อ รวมทั้งอนุญาตให้ศิษย์สานักต่าง ๆ สามารถสังหารกันได้ ขณะที่มีการประลอง และระหว่างสานักเต๋าเองก็ควรจะมีการจัดการ ประลองกันขึ้นด้วย เพราะคงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ลัทธิเต๋าของเราถึง จะสามารถฟื้นฟูกลับมารุ่งเรือง ดังเช่นในสมัยบรรพกาลได้อีกครา”
สิ้นเสียงผู้นาสานักต่าง ๆ พลันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ท่าทางเต็มไปด้วยความสับสน
ความจริงแล้ว ตามที่บันทึกเอาไว้ในตาราโบราณมากมาย
ในสมัยบรรพกาล ส านักเต๋าน้อยใหญ่ในจงหยวนหาได้ปรองดอง กันเช่นในทุกวันนี้ไม่ แต่กลับเต็มไปด้วย การชิงไหวชิงพริบและการ เข่นฆ่า
ภายหลังที่ลัทธิเต๋าได้ร่วมมือกันขับไล่ปีศาจเผ่าต่าง ๆ และฝ่ าย มารให้ออกจากจงหยวนได้ จากนั้นผู้นาสานักต่าง ๆ ก็ได้ ปรึกษาหารือกันว่า
เพื่ออนาคตของลัทธิเต๋า พวกเขาจึงได้เห็นพ้องต้องกันให้มีการ ยกเลิกจัดอันดับเต๋า ท าให้ส านักเต๋าทุกส านักอยู่กันอย่างปรองดอง นับแต่นั้นเป็ นต้นมา
ทว่าความเจริญรุ่งเรืองของลัทธิเต๋าจนถึงปัจจุบันนี้ กลับมิได้ เป็ นไปตามความคาดหวังของเหล่าบรรพบุรุษ มิหนาซ้ายังทาให้ลัทธิ เต๋านั้นตกต่าลงเรื่อย ๆ
แต่ว่าหากมีการรื้อฟื้นการจัดอันดับเต๋าขึ้นมาอีกครั้ง นั่น หมายความว่า
ลัทธิเต๋าจะเกิดการนองเลือดไปทุกหย่อมหญ้า และอาจลุกลาม จนเกิดศึกชิงสานักขึ้นได้
จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เจ้าสานักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นด้วยกับ การจัดอันดับเต๋า แต่ข้ามองว่าเราควรเปลี่ยนชื่ออันดับเต๋าเสียใหม่”
‘ห๊ะ ? ’
‘เปลี่ยนชื่องั้นหรือ ? ’
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ผู้น าส านักต่าง ๆ ก็คิดตรงกันว่า ควรเปลี่ยนเป็ น
อันดับฉางชิง !
อันดับเต๋าสามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้ แต่นับจากนี้ต่อไป
ลัทธิเต๋าในจงหยวนจะต้องเคารพผู้อาวุโสเย่ !
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก หลัวชุนเฟิ ง ก็พยักหน้าลง “ข้าเห็น ด้วย นับแต่นี้ต่อไปอันดับเต๋าจะเปลี่ยนชื่อเป็ น อันดับฉางชิง และลัทธิ เต๋าในจงหยวนต้องเคารพผู้อาวุโสเย่”
วินาทีต่อมา ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องต้องกัน
…………………………..
ขณะที่วันนี้สานักเต๋าในจงหยวน ได้ประชุมหารือและเกิดการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
เย่ฉางชิงและตู๋กูชิงเฟิงก็ได้มาถึงเมืองหลวงของแคว้นต้าเยี่ยน แล้ว และกาลังชื่นชมบรรยากาศของเมืองหลวงอันรุ่งเรืองแห่งนี้อยู่
“ฉางชิง เจ้าเคยมาที่นี่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ตู๋กูชิงเฟิ งก็หันมาถามเย่ฉางชิงที่ ขมวดคิ้วเบา ๆ ด้วยน้าเสียงที่นุ่มนวล
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยอย่างลังเลว่า “เราไปทางนี้กัน เถอะ ข้าอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“ห๊ะ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงอดมิได้ที่จะมีสีหน้าสงสัยขึ้นมา
เย่ฉางชิงเก่งกาจเพียงใดกันแน่นั้น แม้แต่ระดับของนางในตอนนี้ ก็ยังมิอาจจะคาดเดาได้
แต่บัดนี้เย่ฉางชิงกลับพานางมาเยือนเมืองหลวงของมนุษย์ เพื่อ พิสูจน์อะไรบางอย่าง
สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ถึงทาให้ผู้เก่งกาจอย่างเย่ฉางชิงต้องมาหา ข้อพิสูจน์ด้วยตัวเองเช่นนี้
แม้ตู๋กูชิงเฟิงจะมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่นางก็มิได้เอ่ย ถามอะไรต่ออีก
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเฟิ ง พวกเราเข้าไปกัน เถอะ”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็พยักหน้ารับน้อย ๆ