เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 269 เปลี่ยนแปลง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 269 เปลี่ยนแปลง
เล่มที่ 9 ตอนที่ 269 เปลี่ยนแปลง
ไม่รอให้องค์ชายเจ็ดรับสั่งโจวฉี่เยี่ยนก็ลากร่างที่ยังไม่หายดีทะยานออกไป ยังคิดว่าเป็นซูเช่อที่ส่งคนชั่วมาแต่เมื่อเดินไปใกล้ก็ปรากฏว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง
“เซิงเอ๋อร์?” องค์ชายเจ็ดมองสตรีผู้ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งมีท่าทีขลาดกลัวต่างไปจากปกติ
เขามีกฎว่ายามที่กำลังพูดคุยจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน เซิงเอ๋อร์ที่เข้าใจว่าสิ่งใดควรไม่ควรอยู่เสมอไม่เคยฝ่าฝืนกฎนี้ แล้ววันนี้เกิดอันใดขึ้นกัน?
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันมาส่งน้ำแกงให้เหยียเพคะ คาดไม่ถึงว่าคุณชายโจวก็อยู่ด้วยขออภัยเพคะ เหยีย หม่อมฉัน…”
เซิงเอ๋อร์เพราะได้ยินคำพูดเมื่อครู่จึงมิได้พูดความจริง ลูกตากลิ้งกลอกไปมากำลังคิดหาข้อแก้ตัว
“ช่างเถิดในเมื่อไม่ได้ตั้งใจเหยียย่อมไม่ลงโทษ” ขัดเซิงเอ๋อร์ที่ยังพูดไม่จบประโยค ก่อนที่องค์ชายเจ็ดจะมองไปที่โจวฉี่เยี่ยนอีกครา “เรื่องเมื่อครู่รอให้บาดแผลของเจ้าหายดีข้าค่อยมอบหมายให้อีกครา กลับไปรักษาตัวให้ดีมีอันใดที่ต้องการความช่วยเหลือก็ไปหาผู้ดูแลตำหนักเสีย”
เจ้านายไม่ลงโทษเขาทั้งยังปลอบใจเขา ในใจโจวฉี่เยี่ยนก็ซาบซึ้งยิ่ง “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา!”
เมื่อเห็นว่าโจวฉี่เยี่ยนออกไปจากตำหนักองค์ชายเจ็ดแล้ว เซิงเอ๋อร์พุ่งเข้าไปข้างกายองค์ชายเจ็ด “เหยียวันนี้ท่านมิได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเหตุใดต้องโกหกเขาหรือเพคะ? เมื่อครู่เพราะหม่อมฉันไม่รู้ว่าโจวฉี่เยี่ยนอยู่ที่นี่จึงบุกเข้ามา พระองค์จะไม่ลงโทษเซิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่เพคะ?”
ส่งสัญญาณให้นางวางน้ำแกงลงบนโต๊ะข้างๆ องค์ชายเจ็ดก็เอามือตบที่ตักตัวเองให้นางนั่งลง มือข้างหนึ่งยึดเอวของนางไว้มืออีกข้างก็เล่มเส้นผมของนาง “เจ้าเป็นสนมรักของข้าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้าจะถือสาเจ้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีอันใดที่ฟังไม่ได้”
เมื่อนึกถึงท่าทีของโจวฉี่เยี่ยนที่มีต่อเขาเมื่อครู่องค์ชายเจ็ดก็รู้สึกเพียงความน่าขัน “เมื่อทำหน้าที่ไม่สำเร็จเป็นธรรมดาที่ข้าจะลงโทษเขา แต่หากทำเช่นนั้นเขาย่อมเสียความรู้สึก ทว่าหากเพียงทำเช่นนี้เขาก็จะยิ่งจงรักภักดีต่อข้ามากขึ้นมิใช่หรือ?”
เห็นองค์ชายเจ็ดคิดคำนวณไว้อย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นเซิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าเหยียที่อยู่ตรงหน้านางแปลกไป
เมื่อก่อนเขาไม่เคยลงแรงกับการเล่นสนุกมากถึงเพียงนี้ แต่ในยามนี้ราวกับเขาคล้ายจะมืดมิดขึ้น
“เหยียพระองค์จงใจให้โจวฉี่เยี่ยนคิดว่าเขาสำคัญยิ่ง เช่นนี้ครั้งหน้าจะได้พยายามทำงานเพื่อท่านมากขึ้น แต่ทรงทำเช่นนี้จะกดดันเขาไปถึงทางตันนะเพคะ” เซิงเอ๋อร์กังวลอยู่บ้าง
องค์ชายเจ็ดหยุดมือที่เล่นผมนาง ทั้งร่างมีโทสะคุกรุ่นขึ้นมาอย่างเลือนราง
เห็นเขามีโทสะเซิงเอ๋อร์รีบลุกจากตักของเขาโค้งกายด้วยสีหน้ายอมรับผิด “เป็นเซิงเอ่อร์ผิดเองเพคะ เซิงเอ๋อร์ไม่ควรถามเรื่องของเหยีย คำพูดเช่นนี้เซิงเอ๋อร์จะไม่พูดอีกแล้วเพคะ”
“เด็กดีข้ารู้ว่าเจ้ารู้ความที่สุดมาโดยตลอด” องค์ชายเจ็ดพอใจกับการแสดงออกของนางยิ่งแต่ก็ไม่ได้ดึงนางมานั่งบนตักอีก
เซิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้างมองเขาดื่มชาคนเดียว แม้ว่าหลังจากเข้าตำหนักองค์ชายเจ็ดมาแล้วเหยียจะยังคงปฏิบัติกับนางอย่างดียิ่ง แต่กฎเกณฑ์ก็มากกว่าเมื่อก่อน มีเรื่องที่ไม่ให้ทำมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนับวันเหยียยิ่งไม่พอใจกับเรื่องเล็กน้อย
นางครุ่นคิดมาตลอดว่าแท้จริงแล้วสิ่งใดที่เปลี่ยนไป ในยามนี้จึงคิดจนเข้าใจแล้วไม่ใช่เพราะนางเข้ามาในตำหนักองค์ชายเจ็ดแล้วกลายเป็นเช่อเฟยหรือ?
สถานะเปลี่ยนหลายสิ่งก็ล้วนค่อยๆ เปลี่ยนไป
ในใจมีคำพูดมากมายที่เขาไม่บอกกับนางเพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยความลับหรือ? เมื่อก่อนเหยียเชื่อใจนางที่สุด
“เหยีย เซิงเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องพระองค์ แต่ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่เพคะ” น้ำเสียงของนางเบาบาง หากไม่ตั้งใจฟังก็จะได้ยินไม่ชัดเจน
ในยามนี้เองที่ตระหนักได้ว่าสตรีผู้นี้ห่างเหินกับตนยิ่ง สีหน้าขององค์ชายเจ็ดเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “สาวน้อยผู้นี้วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ความหยิ่งยโสที่จะนั่งอยู่บนหัวข้าเช่นเมื่อก่อนหายไปไหนเสียแล้วเล่า?”
พูดไปก็พานางมานั่งบนตักอีกครา สีหน้ามีเพียงความรักต่อนาง
นี่คือเหยียที่รักและทะนุถนอมนาง
ภายในใจเซิงเอ๋อร์มีความสุข “เหยียล้อข้าเล่นแล้วเพคะ”
“ข้าย่อมไม่กล้า” องค์ชายเจ็ดอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ริมฝีปากแดงอยู่ตรงปลายหูของนาง “ข้าจะกล้าล้อเจ้าเล่นได้อย่างไร หากเจ้าฉวยโอกาส ‘สั่งสอน’ ข้าตอนกลางคืนจะทำอย่างไรเล่า?”
พูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมนี้เพื่อเย้าแหย่นาง
คำพูดนี้กระตุ้นให้ใบหน้าของเซิงเอ๋อร์แดงก่ำ พูดอย่างแสร้งทำเป็นโกรธ “เหยีย…”
“ได้ๆ คืนนี้ค่อยไปจัดการเจ้า พูดมาเถิดว่าเจ้าอยากขอสิ่งใดจากเหยีย?” องค์ชายเจ็ดอารมณ์ดียิ่ง “ถูกใจเครื่องประดับอันใดหรือถูกใจสมบัติหาอยากชิ้นไหน เรื่องพวกนี้เจ้าไปบอกผู้ดูแลตำหนักก็เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาขอความเห็นของข้าทุกเรื่องก็ได้”
ในด้านวัตถุองค์ชายเจ็ดใจกว้างต่อนางเป็นพิเศษ ตามคำพูดของเหยียนี่เป็นสิ่งที่ชดเชยให้นาง
เหยียคิดว่าเมื่อก่อนนางไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นหลังจากมาที่ตำหนักองค์ชายแห่งนี้นางก็ได้รับสิทธิมากมาย แม้สถานะของนางจะต่ำกว่าสนมขององค์ชายเจ็ด แต่นางเป็นที่โปรดปรานเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าเจิ้งกงเหนียงเหนียงไปนานแล้ว
นี่ทำให้เซิงเอ๋อร์คิดว่าคำถามนี้ จะได้รับการตอบรับจากเหยียโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
“เหยียไม่ฆ่าเสียนหวางได้หรือไม่เพคะ”
ตูม
หลังจากได้ยินคำพูดนี้อารมณ์อันดีทั้งหมดขององค์ชายเจ็ดก็ราวกับดอกไม้ไฟที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง
เขามองไปยังเซิงเอ๋อร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าพูดอันใด?”
เซิงเอ๋อร์รู้ว่าเหยียเข้าใจตนผิดนางรีบเอ่ยปากอธิบาย “เหยียก็รู้ว่าหม่อมฉันกับมู่เอ๋อร์เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเพคะ เมื่อไม่กี่วันก่อนในวังหลวงถูกเสด็จแม่ทำให้ลำบากใจก็เป็นมู่เอ๋อร์ที่มาช่วยหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันทำเช่นนี้ทั้งหมดก็เพื่อมู่เอ๋อร์”
องค์ชายเจ็ดใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
“ที่แท้องค์ชายรองผู้นั้นก็คือซั่งกวนเซ่าเฉินในอดีต หม่อมฉันได้ยินว่ามู่เอ๋อร์แยกทางกับเขาแล้วแต่เรื่องที่เสียนหวางมีใจให้นางทุกคนล้วนรู้ดีเพคะ หม่อมฉันเพียงคิดว่าเหยียสามารถปล่อยให้เสียนหวางมีชีวิตรอดได้หรือไม่เพคะ เพราะบางทีสุดท้ายแล้วเขาอาจเป็นผู้ที่มู่เอ๋อร์ตบแต่งด้วยเพคะ”
เซิงเอ๋อร์พูดอย่างระมัดระวังแต่ผ่านไปนานก็ยังไม่มีการตอบรับ
นางกอดแขนของเขาอย่างออดอ้อน “เหยียเพคะในยามนี้มู่เอ๋อร์เหลือเพียงเสียนหวางแล้ว อีกทั้งหม่อมฉันยังมีนางเป็นพี่น้องเพียงคนเดียว พระองค์ก็รู้นี่เพคะว่าในคราแรกก่อนที่จะเข้ามาในตำหนักองค์ชาย หากไม่ใช่นางที่คอยห่วงใยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเกรงว่าเซิงเอ๋อร์คง…”
“เพราะสิ่งเหล่านี้เจ้าคิดให้ข้าอดกลั้นความโกรธแค้นไว้หรือ?” องค์ชายเจ็ดผิดหวังในตัวเซิงเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าน่าจะรู้ว่าหากวันนั้นไม่ใช่เพราะข้าระแคะระคายเสียก่อน พรุ่งนี้หลันเชี่ยนหยิ่งคงไม่ได้ตบแต่งเข้าตำหนักไท่จื่อแต่เป็นที่นี่ หรือเจ้าหวังให้ผลลัพธ์เป็นเช่นนั้น?”
เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้เหยียก็หาได้ปิดบังทำให้เซิงเอ๋อร์มีความสุขยิ่ง นางรีบส่ายหัวในทันใด “แน่นอนว่าไม่อยากเพคะ” แต่ไม่นานนางก็เริ่มเข้าไปกอดแขนของเขา “แต่เหยียของพวกเราเป็นคนเช่นไรเพคะ หาใช่ผู้ที่ขอเพียงเป็นสตรีก็ล้วนต้องการ หลันเชี่ยนหยิ่งผู้นั้นแม้จะงดงามแต่ไม่รู้จักเอาตัวรอด เหยียของพวกเราไม่แม้แต่จะชายตามองยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตบแต่งเข้าตำหนักเลยเพคะ”
“เหอะ เจ้าเชื่อข้าหรือ?” องค์ชายเจ็ดถูกทำให้รู้สึกขัน “ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงสตรีผู้งดงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง หากนางยอมพลีกายด้วยตัวเองบุรุษธรรมดาทั่วไปย่อมทนไม่ไหว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ถูกล่อลวง?”
“เหยียบอกว่าหากเป็นคนธรรมดา แต่เหยียของพวกเราหาใช่คนธรรมดาเพคะ!”
ริมฝีปากที่ทาชาดแดงของเซิงเอ๋อร์อยู่ที่ใบหูของเขา เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิดอยู่ตรงส่วนที่ไวสัมผัสที่สุดของเขา “เหยียเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในมุมมองของเซิงเอ๋อร์เพคะ”
“เช่นนั้นวันนี้ก็ให้วีรบุรุษได้แสดงความน่าเกรงขามสักหน่อย!”
ทันใดนั้นองค์ชายเจ็ดก็อุ้มนางไปกดลงบนเตียง เซิงเอ๋อร์หลบเลี่ยง “เหยีย เซิงเอ๋อร์ยังพูดไม่จบเพคะ”
องค์ชายเจ็ดไม่ชอบใจเมื่อยามที่เขาสนใจกลับถูกผู้ที่ไม่เข้าใจบรรยากาศทำลายจนเขามีโทสะ “เจ้าแน่ใจหรือว่าในยามนี้อยากให้ข้าไปหาสตรีอื่น?”
“เซิงเอ๋อร์รู้ว่าเสียนหวางผู้นั้นวางแผนร้ายต่อเหยีย ทั้งชีวิตนี้เหยียไม่อาจปล่อยเขา แต่เป็นเพราะมู่เอ๋อร์ให้สมบัติชิ้นหนึ่งแก่หม่อมฉันมาเพคะ นางบอกว่า…” นางตั้งใจเรียกความสนใจหลังจากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “สามารถทำให้หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้เพคะ”
เรื่องที่ตลอดมาเซิงเอ๋อร์ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้หาใช่ความลับของตำหนักองค์ชาย
แรกเริ่มยามที่องค์ชายเจ็ดอยากให้นางมาอยู่ข้างกายก็เคยหาหมอที่มีชื่อเสียงแต่ละคนมายืนยันเรื่องนี้แล้ว ตั้งแต่ต้นเป็นเพราะนางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เสด็จแม่จึงไม่เห็นด้วยที่จะตบแต่งนางเข้ามา ในภายหลังหากไม่ใช่เพราะข่มขู่พระชายาขององค์ชายเจ็ด เกรงว่าในยามนี้นางก็ยังถูกทิ้งไว้ให้เฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกวันที่เรือนแยก
ได้ยินข่าวว่านางสามารถตั้งครรภ์ได้ภายในใจองค์ชายเจ็ดก็มีความสุข “จริงหรือ? หลิงมู่เอ๋อร์หาวิธีช่วยรักษาร่างกายของเจ้าได้แล้วหรือ?”
เซิงเอ๋อร์พยักหน้า “ในคราแรกหม่อมฉันก็ไม่เชื่อเช่นกันเพคะ แต่ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเพียงว่าร่างกายต่างไปจากเดิมเพคะ”
พูดจบนางก็ลูบท้องที่ยังราบเรียบเบาๆ “เหยียว่าตรงนี้มีลูกของพวกเราอยู่หรือไม่เพคะ?”
เขายังจะกล้ากดนางอีกได้อย่างไร องค์ชายเจ็ดรีบกระโดดออกมาจากร่างของนาง “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่รีบบอก!”
เซิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา “คำว่าแปดยังไม่ทันขีดเส้นแรกของตัวอักษร [1] เซิงเอ๋อร์กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังแล้วทำให้เหยียผิดหวังเพคะ”
พิงอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชายเจ็ด เซิงเอ๋อร์จินตนาการภาพความสุขว่านางสามารถตั้งครรภ์ได้ “มู่เอ๋อร์บอกว่ายานี้มีอยู่น้อยดังนั้นจึงยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่หม่อมฉันคิดว่าช่วงนี้ร่างกายเปลี่ยนไปแล้วคิดว่าย่อมมีผลลัพธ์ที่ดีเพคะ เหยียของพวกเราเป็นผู้ที่มีบุญกุศลถึงเพียงนี้สวรรค์ย่อมไม่ทำให้เหยียผิดหวัง เหยียว่าถูกต้องหรือไม่เพคะ?”
องค์ชายเจ็ดไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงแค่จุมพิตที่หน้าผากของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด
“เหยียคิดว่าท้องของเซิงเอ๋อร์จะมีทายาทมังกรหรือไม่เพคะ?” นางเงยหน้าด้วยสีหน้าคาดหวัง
“แน่นอน!” องค์ชายเจ็ดตอบกลับไปอย่างหนักแน่น
ผู้อื่นอาจไม่เชื่อแต่เขาต้องการมีลูกกับเซิงเอ๋อร์จากใจจริง
เซิงเอ๋อร์แม้จะเกิดที่หอนางโลมแต่กลับฟังคำพูดของเขาและเข้าใจเขามากที่สุด
ก่อนหน้านี้ความเสียดายใหญ่หลวงที่สุดคือการที่รู้จักกับเซิงเอ๋อร์ช้าไป หากพบนางเร็วกว่านี้อีกเสียหน่อยนางคงไม่ต้องประสบกับชีวิตเช่นนี้ เป็นประสงค์ของสวรรค์ที่ทำให้ร่างกายของนางพิการ ดังนั้นหลังจากนั้นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการได้พบเซียนแพทย์ผู้หนึ่ง ที่จะสามารถรักษาร่างกายที่บุบสลายของนางได้
คาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะคิดวิธีขึ้นมาได้จริงๆ
“บอกข้าหน่อยว่าหลิงมู่เอ๋อร์ให้ยาวิเศษอันใดกับเจ้า หากพูดถูกใจข้าบางทีข้าอาจยกโทษไม่ให้ซูเช่อตาย”
สุดท้ายเมื่อเห็นเหยียผ่อนคลายเช่นนี้เซิงเอ๋อร์ก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด
นางทำท่าทีมีลับลมคมในกล่าวออกมาทีละคำ “หลิงมู่เอ๋อร์บอกว่าชื่อของยานี้คือไป่-หลิง-เซียนเพคะ”
เดิมทีคิดว่าเหยียได้ยินชื่อของยานี้แล้วจะแปลกใจเหมือนนาง และถามว่าสิ่งนั้นคืออันใด แต่ใครจะคิดว่าทันใดนั้นเหยียก็ราวกับเสียสติ ยกนางขึ้นมาจากเตียงอย่างรุนแรง
ถูกต้อง ฝ่ามือใหญ่ที่เอื้ออารีของเขาออกแรงคว้าคอเสื้อของนางยกทั้งร่างของนางขึ้นมาจากเตียง
สีหน้าของเขาดุร้ายบิดเบี้ยวราวกับบ้าคลั่งขึ้นมาโดยพลัน น้ำเสียงกลายเป็นเย็นชาและโหดเหี้ยม “ไป่หลิงเซียนหรือ? ของสิ่งนั้นอยู่ที่ใดส่งมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เซิงเอ๋อร์ตะลึงงัน อยู่ข้างกายเขามาหลายปีเคยเห็นเขาเดือดดาลเช่นนี้เสียที่ไหน?
นางตีแขนเขาไม่หยุดเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาปล่อยมือก่อน “เหยีย เหยีย…”
คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดที่ยังตกตะลึงเมื่อเรียกสติกลับมามุมปากก็กระตุก พูดเกลี้ยกล่อมออกมา “เด็กดี เซิงเอ๋อร์เด็กดีส่งไป่หลิงเซียนมาให้ข้า”
เชิงอรรถ
[1] คำว่าแปดยังไม่ทันขีดเส้นแรกของตัวอักษร หมายถึง เรื่องยังไม่ได้เริ่มต้น เรื่องยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้น หรือยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเรื่องราวจะสำเร็จ