เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 266 แยกทาง
เล่มที่ 9 ตอนที่ 266 แยกทาง
“คุณหนูท่านเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ?”
ซางจือมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่เซื่องซึมอย่างเป็นกังวล อีกทั้งสายตายังมองตรงไปที่ห้องด้านหลังเป็นครั้งคราว
โบกมือเป็นสัญญาณว่าตัวเองไม่เป็นอันใดหลิงมู่เอ๋อร์ก้าวเดินอย่างเด็ดเดี่ยว เสียงตะโกนของบุรุษจากเบื้องหลังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย “อีกสักพักเจ้าไปเอาเงินที่จุดรับเงินไปหานายหน้า ซื้อตัวยอดฝีมือที่ฝีมือไม่เลวมาสักสองคนเพื่อปกป้องหลังเรือนแล้วค่อยกลับมา ให้คอยเฝ้าหลังเรือนให้ดี และรับรองกับข้าว่าที่โรงหมอแห่งนี้นับแต่นี้ต่อไปอย่าให้ผู้ใดสามารถบุกรุกเข้ามาได้อีก!”
เห็นน้ำเสียงที่ไม่ใคร่จะพอใจอันเด็ดขาดของคุณหนู ซางจือก็ไม่กล้าถามว่าตกลงแล้วเกิดอันใดขึ้น ก่อนรีบหมุนกายรับคำแล้วจากไป “เจ้าค่ะ!”
วันนี้มีคนจำนวนมากมาตรวจโรค เกือบฟ้ามืดหลิงมู่เอ๋อร์จึงเพิ่งได้กลับจวน แทบจะทันทีที่ก้าวเข้าไปก็ถูกหยางซื่อดึงไปด้านข้าง
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะท่านแม่ เหตุใดจึงดูมีลับลมคมในถึงเพียงนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม
“ในบ้านมีแขกมาถึงตั้งแต่ช่วงสายพวกเราคิดจะส่งคนไปบอกเจ้าแต่เขายืนกรานที่จะรอมาจนถึงยามนี้ มู่เอ๋อร์หากเจ้าไม่อยากพบหน้าไม่สู้กลับไปอยู่ที่โรงหมอสักคืนเล่า หากเขารอเจ้ากลับมาไม่ไหวก็จำต้องกลับไปเอง” หยางซื่อไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของลูกสาวผิดปกติ สายตามองไปข้างหลังเป็นครั้งคราวเกรงว่าแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นจะออกมาอย่างกะทันหัน
“ท่านแม่ผู้ใดทำให้ท่านกลัวถึงเพียงนี้เจ้าคะ? แต่ในเมื่อรอข้าอยู่เช่นนั้นข้าจะไปพบสักหน่อยเจ้าค่ะ”
แม้ในใจหลิงมู่เอ๋อร์จะคาดเดาได้หลายส่วน แต่ยามที่เห็นแผ่นหลังของซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยตาของตัวเองหัวใจก็ยังเต้นผิดจังหวะ
ยืนอยู่หน้าประตูฟังท่านพ่อกับท่านยายต่อว่าเขาจากที่ไกลๆ
“พ่อหนุ่มเฉิน โธ่เอ๋ย ต้องเป็นองค์ชายรองสิจึงจะถูก ข้ารู้ว่าสามัญชมต่ำต้อยคนหนึ่งเช่นข้ามาพูดเช่นนี้ในใจเจ้าย่อมไม่มีความสุข แต่เจ้าฟังข้าเถอะข้าจะไม่ยอมให้เจ้ารังแกมู่เอ๋อร์ของพวกเราอีกแล้ว! ข้าได้ยินว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำแต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ปิดบังพวกเราก่อน ความผิดนี้พวกเราไม่ให้อภัย เช่นนั้นเจ้ากลับไปเถอะ!” หลิงต้าจื้อนั่งอยู่บนที่นั่งของเจ้าบ้านอย่างเกรี้ยวกราดไล่เขาราวกับขอทาน
“ใช่เฉินเอ๋อร์ พวกเราล้วนปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเหมือนลูกเหมือนหลานตั้งแต่แรก อย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะปิดบังเรื่องสำคัญเช่นนี้กับพวกเรา! อีกทั้งในเมื่อเจ้ายังสูญเสียความทรงจำไปแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกันเสียเถิด หลังจากนี้ก็ไม่ต้องมาหามู่เอ๋อร์อีก!” ท่านยายก็แสดงความเคร่งขรึมและน่าเกรงขามเช่นเดียวกัน ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยว่าองค์ชายตรงหน้าของพวกเขาจะด่าว่าพวกเขาหรือไม่
“ท่านลุงหลิง ท่านยายข้าคิดว่าพวกท่านอาจเข้าใจข้าผิดไปบ้าง”
มุมริมฝีปากของซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏรอยยิ้มอยู่ตลอด ราวกับไม่ได้ยินการขับไล่ของพวกเขา
“เข้าใจผิดหรือ?” หลิงต้าจื้อยิ้มเจื่อน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเรารู้สึกอย่างไรยามที่เห็นเจ้านั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรบนทางเดิน? พวกเราคิดจริงๆ ว่าเจ้าเป็นเพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง คาดไม่ถึงว่าแท้จริงเจ้าจะเป็นองค์ชาย! กล่าวได้ว่าเป็นคู่ครองที่ไม่เหมาะสม งานแต่งครั้งนี้ของพวกเจ้าพวกเราไม่อาจเห็นด้วยได้!”
หลิงต้าจื้อหันหน้าไปอย่างหัวรั้นไม่มองตาเขาแม้แต่น้อย ราวกับหากมองมากไปตัวเองอาจใจอ่อนได้
“เฉินเอ๋อร์ยายชอบเจ้ามากจริงๆ ในคราแรกวันที่เจ้าเลือกจะแต่งงานกับมู่เอ๋อร์ข้าดีใจยิ่งนัก แต่เจ้ารังแกคนมากเกินไปตกลงแล้วเจ้าเห็นว่ามู่เอ๋อร์ของพวกเราเป็นอันใดกันแน่?”
เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินอยากอธิบายบางสิ่งท่านยายก็ชี้หน้าเขาในทันใด “หากไม่ใช่เพราะมู่เอ๋อร์ไปค่ายทหารครานี้ทั้งชีวิตเจ้าคงไม่บอกตัวตนที่แท้จริงให้นางรู้กระมัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเผยโฉมหน้าที่แท้จริงเช่นนี้อีกกระมัง? จิตใจเจ้าไม่ซื่อตรงเช่นนี้พวกเราจะไม่ยอมยกมู่เอ๋อร์ให้คนเช่นเจ้าเด็ดขาด! แม้ข้าจะรู้ว่าเจ้าเป็นองค์ชายพูดกับเจ้าถึงเพียงนี้อาจถูกตัดหัวได้ แต่ถึงแม้ต้องทิ้งชีวิตคนแก่เช่นข้า ข้าก็ต้องปกป้องมู่เอ๋อร์ให้ได้ เจ้า…กลับไปเสียเถอะ!”
โบกมือคราหนึ่งอย่างเกรี้ยวกราดด้วยกลิ่นอายองอาจของนายหญิงของตระกูล
แต่ด้วยการชี้ครั้งนี้ทำให้ทุกคนเพิ่งรู้ตัวว่าหลิงมู่เอ๋อร์กลับมาแล้ว
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ดูเหนื่อยล้าทั้งยังมีความประหลาดใจอยู่บ้าง มุมปากซั่งกวนเซ่าเฉินก็แขวนรอยยิ้มชั่วร้าย “ผู้น้อยต้องขออภัยเรื่องที่ปิดบังทุกท่านในอดีต แต่ก็ยังอยากจะขอให้ทุกท่านให้โอกาสข้าอธิบายสักครั้ง”
ไม่รอให้หลิงต้าจื้อและท่านยายเห็นชอบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เดินไปข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์จับมือของนางบังคับเดินออกไป
หลิงมู่เอ๋อร์หาได้ดิ้นรนขัดขืนยอมโดนเขาจับจูงไป
หลิงต้าจื้อเห็นเช่นนั้นก็คิดจะลุกขึ้นไล่ตามออกไปแต่กลับถูกหยางซื่อขวางไว้ “เรื่องของพวกเด็กๆ ก็ให้พวกเขาแก้ไขกันเอาเองเถอะ”
“พวกเขาจะแก้ไขอันใด? องค์ชาย คนผู้นั้นเป็นองค์ชาย มู่เอ๋อร์ของพวกเรากับเขามีสถานะแตกต่างกันมาก หรืออยากแต่งเข้าไปเป็นอนุหรือ?”
หลิงต้าจื้อไม่ยอมทั้งยังไม่สบายใจ “ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาชอบมู่เอ๋อร์จริงเหตุใดต้องปิดบังตัวตน? ไม่สิข้าจะต้องตามไปจับตาดูด้วย”
หลิงต้าจื้อก้าวออกไปเพื่อไล่ตาม แต่ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำสองคนปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ราวกับเทพเฝ้าประตูสององค์ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาโดยพลัน
คาดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าในบ้านตัวเองจะมีชายชุดดำด้วย หลิงต้าจื้อกลับสูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงดันคิดจะฝ่าออกไป ชายชุดดำทั้งสองคนก็กางแขนทั้งสองข้างคนละด้านขวางทางไปของเขา
“เพ้ย ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่าที่นี่คือจวนตระกูลหลิงพวกเจ้าหลีกไปเสีย!”
ทั้งสองคนกลับไม่พูดอันใดราวกับเป็นใบ้ยืนกรานขวางทางไปของหลิงต้าจื้อ สีหน้าดุร้ายท่าทีแน่วแน่ไม่ว่าหลิงต้าจื้อจะพุ่งออกไปเช่นไรก็ยืนกรานไม่ปล่อยให้คนไป
“ท่านมาทำอันใดที่นี่?” ปล่อยให้ซั่งกวนเซ่าเฉินดึงออกมา น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชายิ่งเมื่อได้ยินก็รู้ว่านางอารมณ์ไม่ดีนัก
“พาข้าไป” สามพยางค์ง่ายๆ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ขยับดวงตากลมโตมองเขาอย่างสงสัย
“พาข้าไปห้องของเจ้า ไม่ใช่บอกว่าเป็นคู่หมายข้าหรือ ไม่ใช่บอกว่าข้าไม่เข้าใจเจ้าหรือ เช่นนั้นให้ข้าได้เข้าใจเจ้าอีกครั้งเถอะ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกชวนหัวยิ่ง “องค์ชายรองว่างมากหรือเพคะ? วังหลวงใหญ่โตไม่พอท่านจึงยังต้องวนเวียนมาเล่นที่จวนตระกูลหลิงหรือเพคะ?”
“ข้ารอเจ้ามาตั้งแต่เที่ยงจนถึงยามนี้เจ้าควรรู้ว่าหากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าย่อมไม่ยอมออกไป” ซั่งกวนเซ่าเฉินเข้ามาใกล้นาง แสงจันทร์ตกลงมายังร่างของเขา เงาของต้นไม้ตกลงมายังซีกหน้าของเขายิ่งเพิ่มเสน่ห์อย่างร้ายกาจ “ยิ่งไปกว่านั้นหากกดดันให้ข้าร้อนใจจนทำอันใดกับเจ้าที่นี่เจ้าก็อย่ามาเสียใจทีหลังเล่า”
“ท่าน…”
หลิงมู่เอ๋อร์เกลียดซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งที่คุกคามนางอยู่ตลอด
นิสัยของชายผู้นี้เหมือนกับใบหน้าของเขาจริงๆ ช่างหยิ่งทะนงนัก
“อย่างที่คิดพี่ใหญ่เมื่อก่อนมีเสน่ห์ดึงดูดให้รู้สึกชอบมากกว่า ไม่สู้องค์ชายรองสวมหน้ากากกลับไปอีกครั้งเล่า ข้าอาจพิจารณาว่าท่านคือพี่ใหญ่ของข้าอีกครา!”
แม้จะพูดประชดออกไปเช่นนี้แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยังก้าวไปเบื้องหน้าของตน
เมื่อมาถึงห้องของนางก็เห็นสิ่งรอบตัวที่น่าอัศจรรย์นัก การตกแต่งทั้งหมดนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินเหลือเพียงความ ‘ตะลึง’ สองพยางค์เท่านั้น
แต่การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่งฉวยโอกาสที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวกดนางเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง “ใครบอกว่าข้าอยากเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า?”
ก่อนมาที่นี่ก็คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเขาควรทำความเข้าใจหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้อีกครา อาจช่วยให้ความทรงจำสามปีนั้นกลับมา
แม้เป็นเพราะเรื่องในยามนั้นทำให้นิสัยเขาเปลี่ยนไปมาก แต่เขาไม่เชื่อว่ารสนิยมการชอบพอของใครสักคนจะเปลี่ยนไปได้ง่ายดายนัก สตรีผู้นี้จะต้องมีบางสิ่งที่พิเศษซึ่งดึงดูดเขาเป็นแน่นอกจากเสน่ห์จากร่างกายของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ผลักร่างของเขาออกอย่างแรงเพิ่มระยะห่างกับเขาทันที “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ชอบเข้าวังหลวงจะให้ไปเป็นเช่อเฟยยิ่งเป็นไปไม่ได้ หากท่านมาเพื่อเรื่องนี้ก็เชิญท่านกลับไปเถอะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเดินอ้อมมาเบื้องหน้านางจับไหล่ของนางโน้มร่างลงมา ใบหน้าหล่อเหลากับใบหน้าของนางเหลือเพียงช่องว่างระหว่างจมูกเท่านั้น “ขอเพียงเป็นเช่อเฟยก็สามารถค่อยๆ ทำให้เจ้ากลายเป็นเจิ้งเฟยได้ ไม่เช่นนั้นหากเสด็จพ่อไม่เห็นด้วยเหตุใดเจ้าจึงไม่อาจเสียสละเพื่อข้าสักหน่อยเล่า?”
เห็นนางเปิดปากต้องการโต้แย้งเขาก็ยื่นมือปิดปากนางไว้แน่นโดยพลัน “เจ้าไม่ชอบวังหลวงเช่นนั้นพวกเราย้ายออกไปก็ได้ ตำหนักนอกวังหลวงก็มีมากมายเจ้าเลือกที่ชอบสักตำหนักตามใจได้ หรือเช่นนี้ก็ยังไม่ดีหรือ?”
ประโยคสุดท้ายคำว่า ‘ไม่ดี’ ราวกับย้อนกลับไปในยามนั้นที่ซั่งกวนเซ่าเฉินโปรดปรานและตามใจนางทุกอย่าง
ใต้แสงเทียนสลัวแม้ว่าสีหน้าจะเปลี่ยนไปแต่น้ำเสียงและคำที่พูดกลับไม่เปลี่ยนแปลง ชั่วขณะนั้นหลิงมู่เอ๋อร์คิดอยากกอดเขาแน่นๆ อยากพูดอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างออดอ้อนว่า ‘พี่ใหญ่มู่เอ๋อร์คิดถึงท่านมาก’
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มหยันตัวเอง
“ท่านรักข้าจริงหรือ? หรือเป็นเพราะเพียงแค่ข้าเป็นคู่หมายของท่านในอดีต?”
เด็กสาวตัวน้อยเชิดหน้าขึ้นริมฝีปากแดงเย้ายวนคนเดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด ทำให้คนแทบทนไม่ไหวคิดอยากจูบนาง แต่ในดวงตาเฉียบแหลมที่เจ็บปวดคู่นั้นทำให้เขาอดทนที่จะไม่รังแกนาง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่เขาก็ไม่พูดอันใด ความหยอกเย้าที่มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งชัดเจนขึ้น
“หรือที่พูดมาทั้งสองอย่างนั้นล้วนถูกต้อง? เช่นนั้นข้าขอบังอาจคาดเดาได้หรือไม่ว่าท่านคงทำเพราะความซาบซึ้งและสงสัยใคร่รู้กระมัง?”
เห็นดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินหลุบลง หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่าตัวเองเดาถูก
ก้นบึ้งหัวใจที่อ่อนนุ่มที่สุดราวกับถูกคนใช้แรงฉีกกระชากจนกลายเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น
นางออกมาจากแขนทั้งสองข้างของเขามายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองดวงจันทร์ที่ทั้งสว่างไสวทั้งกลมโตแต่ก็ยังหลบซ่อนอยู่ในหมู่เมฆ ราวกับใจของนางในยามนี้ที่มืดครึ้ม
พวกเขายังไม่ได้บอกลากันอย่างจริงจัง ซั่งกวนเซ่าเฉินในอดีตหายไปจากชีวิตของนางแล้ว
หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางสัญญาว่าจะไม่เถียงกับเขาก่อนวันที่เขาต้องออกจากเมืองหลวงเด็ดขาด จะอ่อนโยนดั่งแมวในอ้อมแขนของเขาที่ต่อให้ไล่ก็ไม่ไป
“ซั่งกวนเซ่าเฉินพวกเราแยกทางกันอย่างจริงจังเถอะ ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาชอบเพราะสงสาร!”
ในที่สุดหลิงมู่เอ๋อร์ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวหันหน้าไปมองเขาอย่างแรง กลับพบว่าซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังดูบางสิ่งอยู่
นางพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง “ท่านเคลื่อนย้ายของของข้าตามใจชอบได้อย่างไร?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงถึงอย่างไรก็ไม่ให้นาง “บนนี้เป็นลายมือของข้าพูดให้ถูกก็ควรเป็นของข้าไม่ใช่หรือ?”
ไม่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกระโดดอย่างไรก็ไม่ถึงจดหมายในมือของเขา นางกระวนกระวายจนแทบร้องไห้ “นั่นเป็นสิ่งรำลึกสุดท้ายที่ท่านเหลือไว้ให้ข้าก่อนจะจากโลกของข้าไป ท่านคืนมันมาให้ข้าเสีย!”
“อันใดคือก่อนจะจากไป ทำราวกับข้าตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น หรือเจ้าอยากให้ข้าตายถึงเพียงนี้เลย?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าจดหมายฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่เขาส่งให้นางหลังไปชายแดนไม่นาน นอกจากส่งข่าวเรื่องความปลอดภัยก็บอกวันกลับชัดเจน แม้ในตัวอักษรจะไม่มีส่วนที่แสดงความรักมากมาย แต่จากนิสัยของเขาในยามนั้นหากสามารถให้คำมั่นสตรีผู้หนึ่งได้เช่นนี้ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นคนที่ต้องปกป้องด้วยชีวิตแล้ว
รวมกับบนชื่อผู้รับมีคำว่า ‘คิดถึงเจ้า’ แม้แต่นิสัยในยามนี้เขาก็ไม่อาจคิดคะนึงถึงสตรีผู้ใดอย่างตรงไปตรงมาได้เช่นนี้ เห็นได้ว่าในคราแรกเขาห่วงใยนางมากเพียงใด
จดหมายวางในฝ่ามือของนางอีกครา หลิงมู่เอ๋อร์รีบซ่อนมันไว้ในอ้อมแขนด้วยเกรงว่าจะถูกเขาฉกฉวยไปอีกครา
ท่าทางชวนหัวเช่นนี้ทำให้มุมปากซั่งกวนเซ่าเฉินอมยิ้ม ทันใดนั้นก็กอดนางเอาไว้แน่น “ฟังนะ ข้าจะพยายามนึกเรื่องในอดีตของพวกเราให้ออก หากช่วงนี้มีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าไม่พอใจเจ้าก็เก็บไว้ให้หมด รอหลังจากที่ข้านึกออกแล้วเจ้าค่อยเอาคืนทีละนิด แต่ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าและข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทิ้งข้า!”