เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 264 ลอบสังหาร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 264 ลอบสังหาร
เล่มที่ 9 ตอนที่ 264 ลอบสังหาร
“คุณหนู เป็นคุณหนูจริงๆ หรือเจ้าคะ ช่างดีนักในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
เดิมทีซางจือวางแผนจะออกไปซื้อของข้างนอก เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ผ่านไปนางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เมื่อยืนยันว่าเป็นคุณหนูของตนนางก็เข้ามาทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจ “เจี้ยงเซียง เจี้ยงเซียงเจ้ารีบมาดูเร็วว่าใครกลับมาแล้ว!”
“มีเรื่องอันใดเหตุใดจึงร้องตะโกนเสียงดังเช่นนี้ ข้ายังมีผู้ป่วยอยู่ข้างใน…” เมื่อสิ้นเสียงเจี้ยงเซียงก็เงยหน้า หลังจากเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็อ้าปากอย่างตกตะลึง
“อา!” เด็กสาวทั้งสองพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียง “คุณหนูพวกเราคิดถึงท่านแทบแย่เจ้าค่ะ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
ตบไหล่ของพวกนางเพื่อสื่อว่าพวกนางอย่าได้ตื่นเต้นเกินไป หลังหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในโรงหมอก็มองไปรอบด้าน แม้ผู้ป่วยจะมีเพียงไม่กี่คนแต่โรงหมอก็ถูกพวกนางจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นางรู้สึกชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง “เอาเถิดพวกเจ้าสองคนยอดเยี่ยมนัก ยามนี้ก็ล้วนสามารถให้พวกเจ้าดูแลเองได้แล้ว”
ซางจือก้มศีรษะอย่างลำบากใจ “คุณหนูล้อพวกเราเล่นแล้วเจ้าค่ะ”
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูท่านลองดูสิเจ้าคะว่าช่วงที่ท่านไม่อยู่โรงหมอเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะผู้ป่วยเหล่านี้เชื่อใจพวกเราเกรงว่าโรงหมอคงต้องปิดตัวแล้วเจ้าค่ะ!” เจี้ยงเซียงพูดจบเพียงชั่วพริบตาก็วิ่งออกไปที่ตะโกนเรียกหาผู้ป่วยที่หน้าประตูโดยพลัน
“ท่านลุงท่านป้าพี่ชายพี่สาวทุกท่าน แม่นางเซียนแพทย์ของพวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ได้ยินข่าวคราวเหล่าชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็พรั่งพรูกันเข้ามา
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพลางส่ายหน้า “เจี้ยงเซียงนี่ก็…”
“คุณหนูท่านอย่าโทษนางเลยเจ้าค่ะ ความจริงช่วงที่ท่านจากไปมีชาวบ้านจำนวนมากมาหาท่านเพื่อตรวจอาการ และทักษะแพทย์ของข้ากับเจี้ยงเซียงมีขีดจำกัดจึงจำใจต้องให้กลับไป พวกเราได้ยินว่ามีคนป่วยจำนวนมากที่ล้วนรอให้ท่านกลับมาโดยที่อดทนต่อความเจ็บปวดเจ้าค่ะ”
ได้ยินคำอธิบายของซางจือ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงความละอายใจ
มีชาวบ้านหลายคนที่พุ่งเข้ามาเมื่อเห็นว่าเป็นหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ ก็พากันยื่นแขนออกมา “แม่นางเซียนแพทย์รีบดูอาการให้ข้าหน่อยเถิด ข้าเกรงว่าจะถูกวางยาพิษเสียแล้วร่างกายจึงรู้สึกไม่สบายยิ่ง”
“แม่นางดูอาการให้เฉวี่ยนเอ๋อร์ของข้าก่อนเถิด เด็กคนนี้ปวดท้องอย่างรุนแรงรอให้ท่านกลับมาอยู่หลายวันแล้ว”
“แม่นางเซียนแพทย์…”
ซ้ายคนขวาคนแทบจะในชั่วพริบตาเดียว โรงหมอที่ว่างเปล่าเมื่อครู่ก็แน่นขนัดโดยพลัน
หากไม่รู้ก็ยังคิดว่าที่นี่มีขายผักลดราคา
“ทุกท่านเงียบหน่อยเถิดทุกท่านเงียบก่อน ในเมื่อข้ากลับมาแล้วรับรองว่าคนไข้ทุกท่านจะได้รับการตรวจทั้งหมด!” หลิงมู่เอ๋อร์แจ้งแต่ก็ยังไม่อาจควบคุมสถานการณ์ที่ปะทุขึ้นมาในยามนี้ได้ “เอาเช่นนี้ อาการของใครอันตรายกว่าก็มาก่อน หากไม่เร่งด่วนให้ทำตามกฎไปรับหมายเลขลำดับทางด้านนั้น เพื่อเป็นการแสดงความรู้สึกผิดต่อทุกท่าน วันนี้การตรวจโรคจะไม่รับค่าตรวจอันใดทั้งสิ้น ทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร!”
“แม่นางเซียนแพทย์ ท่านเป็นคนดีจริงๆ!”
เมื่อมีคนตะโกนเสียงดังรอบข้างก็ต่างพากันกล่าวขอบคุณโดยพลัน
หากอาหารไม่ร้ายแรงก็ให้ไปรับป้ายที่เจี้ยงเซียงทันที ทุกคนเข้าใจกฎนี้นานแล้วจึงไม่มีความวุ่นวาย
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างปลื้มใจมองซางจือและเจี้ยงเซียง “เดิมทีคิดว่าจะมาดูพวกเจ้าสองคนเสียหน่อย เอาเถิดเช่นนั้นก็คงยุ่งขึ้นอีก”
กลับมาที่แท่นตรวจอีกครั้งในใจหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน นางพบว่าที่นี่เหมาะกับนางที่สุดอย่างที่คิดไว้
“ได้ยินว่าเมื่อวานที่เข้าไปในวังหลวง แม่นางเซียนแพทย์ปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้เข้าไปเป็นหมอหลวงของฮ่องเต้ พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”
ในฝูงชนที่ต่อแถวรออยู่มีคนเริ่มถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“จริงหรือ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? หมอหลวงในวังหลวงเหตุใดแม่นางเซียนแพทย์จึงไม่เป็นเล่า? เจ้าไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด?” มีคนรู้สึกไม่เชื่อ
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน พี่ชายข้าทำงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในวังหลวง เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน เขาได้ยินแม่นางเซียนแพทย์ปฏิเสธเองกับหู!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมาอย่างตัดตะปูตัดเหล็ก[1] ยามที่พูดก็ยังมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์เป็นครั้งคราว “แม่นางเซียนแพทย์เป็นคนดีอย่างยิ่ง นางรู้ว่าสามัญชนยากจนแบบพวกเราไม่สนใจอาการเจ็บป่วย หากนางเข้าวังหลวงไปแล้วพวกเราก็ไม่มีหมอที่ดีถึงเพียงนี้อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงยอมทิ้งอนาคต เกียรติยศและความมั่งคั่งทั้งหมดก็เพื่อพวกเรา พวกเราต้องขอบคุณแม่นางแล้ว!”
ได้ยินคำพูดนี้เหล่าผู้คนที่เมื่อครู่ไม่เชื่อก็มองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้ามองตรงไปก็คลี่ยิ้มอันงดงามให้ทุกคน ไม่ยิ้มก็ยังไม่เป็นอันใดแต่รอยยิ้มอ่อนโยนที่ประดับอยู่เต็มใบหน้า ราวกับเทพเซียนลงมายังโลกมนุษย์ทุกคนคุกเข่าลง ‘ตึก’ อยู่เบื้องหน้าโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงัน “นี่พวกท่านทำอันใดกัน?”
“แม่นางท่านคือพระโพธิสัตว์จุติบนโลก ข้าขอแสดงความเคารพต่อท่านแม่นางเซียนแพทย์!”
ราวกับปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว คนหลายสิบคนคุกเข่าก้มหัวคำนับนางอย่างเป็นระเบียบ หากไม่รู้คงคิดว่านางใช้พิษหนอนกู่กับพวกเขาไปแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งเข้าไปพยุงทุกคนขึ้นมา “พวกท่านทำแบบนี้ข้าแทบหัวใจวายแล้ว!”
“เป็นความเมตตากรุณาของแม่นางแล้วที่ยอมทิ้งโอกาสอันดีในการเข้าวังหลวงเพื่อพวกเรา แม่นางที่มีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์จะต้องได้รับการคุ้มครองเป็นแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหญิงเฒ่าผู้หนึ่งอย่างสะเทือนใจ นางยิ้มพลางส่ายหัว “เป็นจริงครึ่งหนึ่งที่ข้าไม่อยากให้สามัญชนที่ยากจนไม่มีสถานที่ได้ตรวจอาการป่วย แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าเช่นนี้ พวกท่านวางใจเถิดข้าเปิดโรงหมอมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดเรื่องรายได้ เพียงแค่ต้องการช่วยรักษาเหล่าคนยากไร้ที่เจ็บป่วย ตราบใดที่ข้าหลิงมู่เอ๋อร์ยังอยู่กฎเกณฑ์นี้จะไม่มีวันถูกทำลาย แน่นอนว่าทุกท่านยังต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้มาก อย่างไรข้าก็ไม่อยากเจอทุกท่านที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”
หนึ่งหมอหนึ่งโรงหมอตรวจอาการเจ็บป่วยโดยไม่รับเงิน ทั้งยังห่วงใยสามัญชนที่ยากจนแบบนี้
ทุกคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ในใจยิ่งเคารพหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับพระโพธิสัตว์
โรงหมอที่ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ว่างเปล่ากลับแน่นขนัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซางจือและเจี้ยงเซียงที่ยังไม่คุ้นชินแม้แต่พวกนางก็เปลี่ยนจากคนตรวจกลายเป็นผู้ช่วย ทว่าในใจล้วนมีความสุขอย่างยิ่งยวดไม่มีความทุกข์แม้แต่น้อย
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ที่ไม่ยุ่งกับงานมานานถึงเพียงนี้เหนื่อยล้าไปนานแล้ว เดิมทีนางยังคิดอยากกัดฟันยืนหยัดต่อไป แต่เหล่าผู้คนเห็นว่านางอ่อนล้าถึงเพียงนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไปล้วนอาสากลับมาอีกคราวันพรุ่งนี้ด้วยตัวเอง
เผชิญหน้ากับเหล่าชาวบ้านที่มีจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกผิด นางตัดสินใจว่าต้องการส่งเสริมทักษะแพทย์ของนางให้เฟื่องฟูยิ่งขึ้นไปอีก
“แม่นางไปหาอะไรทานก่อนเถิด อาการเจ็บป่วยของหญิงเฒ่าเช่นข้าเป็นโรคชรา หากไม่ใช่เพราะมาจากอำเภออื่นและวันนี้ต้องรีบกลับไปก็คงกลับไปพร้อมกลุ่มคนเมื่อครู่แล้ว แต่ในยามนี้ข้ายังรอให้อีกครู่หนึ่ง” หญิงเฒ่ามองริมฝีปากของหลิงมู่เอ๋อร์ที่แห้งผากอย่างปวดใจ
เห็นทุกคนล้วนปฏิบัติต่อนางอย่างมีไมตรีจิตเช่นนี้ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกผิด “หาใช่เรื่องร้ายแรงไม่ ท่านยายหลังจากข้าตรวจให้ท่านเสร็จแล้วจะไปพักสักครู่…ปัง!”
แทบจะทันทีที่พูดจบทันใดนั้นที่ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นมาหนึ่งสาย
พวกหลิงมู่เอ๋อร์ตกใจ นางขมวดคิ้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้ซางจือ ให้นางไปตรวจสอบสถานการณ์
“อันใดกัน เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่โรงหมอหรือ?” หญิงเฒ่าเป็นกังวลหลังจากคิดใคร่ครวญก็หดแขนกลับไป “ไม่เช่นนั้นแม่นางลองไปดูด้วยตัวเองเถิด”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านยาย อาการป่วยของท่านไม่ร้ายแรงข้าฝังเข็มให้ท่านก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเงินขึ้นมาฝังเข็มตามจุดฝังเข็มบนแขนอย่างต่อเนื่อง หญิงเฒ่าเห็นนางยืนกรานก็ไม่ได้พูดอันใดให้มากความอีก
ในโรงหมอที่เงียบสงัดเหลือผู้ป่วยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ อีกไม่กี่กลุ่ม นางได้ยินชายสองคนกำลังพูดคุยบางอย่างกันจากที่ไกลๆ อย่างเลือนราง
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อวานที่จวนเสียนหวางพบมือสังหาร” เมื่อคำพูดนี้ออกมาสีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ตกตะลึง
ขณะที่นางกำลังคิดจะถามก็ได้ยินเสียงของชายอีกคนหนึ่งพูด “จวนเสียนหวางหรือ? เป็นจวนเสียนหวางที่ฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เมื่อวานหรือ? หรือเป็นเพราะเพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์มาทำให้ดึงดูดพวกคนชั่วที่อิจฉาตาร้อน แล้วเจอโจรหรือไม่?”
ชายคนแรกที่พูดหัวเราะเสียงเบา “หากบอกว่าเจ้าไร้ความรู้ก็หาใช่ว่าจะไม่ยุติธรรมต่อเจ้าแล้ว จวนเสียนหวาง จวิ้นอ๋องน้อยเป็นผู้ใดกัน? โจรธรรมดาจะกล้าบุกเข้าไปหรือ? ข้าได้ยินมาว่าพวกนั้นมิใช่มือสังหารธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินว่าการต่อสู้เมื่อคืนรุนแรงยิ่งเห็นว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว!”
ได้ยินคำพูดประโยคท้ายใบหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ก็กลายเป็นขาวซีด
ในยามนี้เองที่ซางจือกลับมาอยู่ข้างกาย แม้นางจะไม่ได้พูดอันใดสักคำทว่าสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด
“ท่านยายแม้แขนซ้ายของท่านจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง แต่หลังจากข้าฝังเข็มไปแล้วภายในหนึ่งเดือนนี้พยายามอย่ายกของหนัก ท่านไปทางด้านนั้นจะมีคนเอายาให้ท่านกลับไปใช้ทาภายนอกอีกไม่นานก็จะหายดี”
หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความร้อนรนจึงรีบพาหญิงชราไปให้เจี้ยงเซียงจัดการ นางรีบตามซางจือกลับไปที่หลังโรงหมอ
“เกิดอันใดขึ้นสถานการณ์ร้ายแรงหรือ?”
สีหน้าหลิงมู่เอ๋อร์เคร่งขรึมคิ้วทั้งสองข้างยิ่งขมวดแน่น
เมื่อครู่ซางจือกลับมาบอกว่าเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่เป็นคนผู้หนึ่งตกลงมาหลังคาโรงหมอ อีกทั้งคนผู้นั้นคือคนรู้จักเก่าของนาง โจวฉี่เยี่ยน
“อาการของพี่ใหญ่โจวดูแล้วไม่สู้ดีนัก คุณหนูอีกครู่หนึ่งท่านอย่าตกใจเกินไปนะเจ้าคะ”
ซางจือเตือนก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก กลิ่นคาวเลือดเสียดแทงจมูกทำให้ในท้องของหลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะปั่นป่วน
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงถึงเพียงนี้เห็นได้ชัดว่าโจวฉี่เยี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์เร่งรุดเข้าไปเห็นเพียงโจวฉี่เยี่ยนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วพิงกายข้างเตียงของนาง มือข้างหนึ่งกำลังคิดจะดึงกระบี่คมออกมาจากอก
“อย่าขยับ!” นางรีบเตือน หลังจากเตือนให้ซางจือเฝ้าดูข้างนอกไว้ นางก็รีบไปที่ข้างตัวของโจวฉี่เยี่ยน
กระบี่เล่มหนึ่งอยู่ที่กลางอกของโจวฉี่เยี่ยน กระบี่อันแหลมคมแทงทะลุหน้าอก เลือดสีแดงฉานจำนวนมากไหลรินออกมา
ขาซ้ายที่ใช้การไม่ได้ของเขาก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง และที่หนักที่สุดจนดูไม่ได้คือแขนขวาของเขา ผิวภายนอกราวกับถูกพิษกัดกร่อนจนสภาพน่าเวทนาเกินจะทนดูได้
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์เคร่งเครียดถึงขีดสุด รีบก้าวไปหน้าข้างเพื่อตรวจสอบบาดแผลของเขา หากยังไม่เห็นก็นับว่าไม่เป็นไรแต่เมื่อเห็นแล้วก็ทำให้ตกใจจริงๆ
บาดแผลที่แขนซ้ายหากเป็นผู้อื่นอาจแยกแยะไม่ออก แต่เมื่อนางเห็นก็สามารถจดจำต้นเหตุของพิษได้ทันที เมื่อนึกถึงบทสนทนาของชายทั้งสองคนที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่อีกคราสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
“พี่ใหญ่โจวเมื่อคืนท่านไปทำอันใดมา?”
ฝืนทนต่อความเจ็บปวดโจวฉี่เยี่ยนสบสายตากับหลิงมู่เอ๋อร์อย่างยากลำบาก สายตาที่พร่ามัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแจ่มชัด เห็นใบหน้าที่ไม่ได้พบมานานมุมปากของโจวฉี่เยี่ยนก็ยกขึ้นกล่าวอย่างยากลำบาก “มู่เอ๋อร์เจ้า…เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
“ข้ากำลังถามท่านอยู่ ท่านได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ได้อย่างไร? ผู้ที่ไปลอบสังหารที่จวนเสียนหวางเมื่อคืนคือท่านหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กดเสียงเค้นถาม ในยามนี้เองที่นอกประตูก็มีเสียงอันสั่นเทาของซางจือดังขึ้น “คุณหนูเจ้าคะมี…มีแขกสูงศักดิ์มาให้ท่านตรวจอาการเจ้าค่ะ คนมาถึงนอกประตูแล้วเจ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ตัดตะปูตัดเหล็ก หมายถึง ทำบางสิ่งหรือพูดบางสิ่งอย่างเด็ดขาด