เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 9 ตอนที่ 258 โศกเศร้า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 9 ตอนที่ 258 โศกเศร้า
เล่มที่ 9 ตอนที่ 258 โศกเศร้า
ในดวงตางดงามมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่
“หลังกลับมาที่วังหลวงเจ้าเป็นคนแรกที่เตือนให้ข้าระวังตัว” อี้กุ้ยเฟยสะอื้นไห้ “มู่เอ๋อร์เง็กเซียนฮ่องเต้ช่างเห็นใจข้าเสียจริง ยามที่ข้ากำลังจะตายก็ได้พบกับเจ้า เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่ดีจริงๆ”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกโศกเศร้าจากก้นบึ้งของหัวใจ
“วันนี้เหนียงเหนียงมีบุญคุณช่วยข้าไว้มู่เอ๋อร์จะจดจำเอาไว้เพคะ หลังจากนี้หากมีอันใดที่มู่เอ๋อร์สามารถช่วยได้อย่าได้เกรงใจเลยเพคะ”
อี้กุ้ยเฟยยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ไม่เกรงใจ ข้าจะไม่เกรงใจแน่นอน” แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว “ข้ากลับมาที่วังหลวงอีกคราทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไม่รู้ว่าในที่ลับมีผู้ที่ได้รับโทษไปกี่มากน้อยแล้ว ในยามนี้ย่อมมีคนมากมายที่ต้องการชีวิตของข้า เกรงว่าต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“เหนียงเหนียงไม่พูดมู่เอ๋อร์ก็เข้าใจเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากอก
นั่นคือไป่หลิงเซียนกลีบดอกสุดท้าย
“เหนียงเหนียงรับสิ่งนี้ไว้เถิดเพคะ แม้หม่อมฉันไม่อาจรับรองได้ว่าจะถึงขั้นร้อยพิษไม่กล้ำกราย แต่ย่อมส่งผลดีต่อร่างกายของพระองค์แน่นอนเพคะ ส่วนคนอื่นในวังหลวงยังต้องพึ่งเหนียงเหนียงเองแล้วเพคะ”
รับขวดยาไปอย่างชอบใจอี้กุ้ยเฟยวางไว้ในอ้อมแขนราวกับสมบัติล้ำค่า “ยามนี้ที่วังหลวงข้าสามารถเชื่อใจได้เพียงเจ้าผู้เดียว ของสิ่งนี้จะต้องล้ำค่ายิ่งเป็นแน่กระมัง?”
ยามที่เสียสติก่อนที่จะได้พบหลิงมู่เอ๋อร์ ฮูหยินผู้เฒ่าซูเคยพาหมอมาให้นางหลายคนและให้นางได้ใช้ยามามากมาย นางกลายเป็นหม้อต้มยาจีน [1] มานานแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้กลิ่นที่หอมถึงเพียงนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายานี้ย่อมปรุงไม่ง่าย
นางพูดพลางส่งสายตาให้นางกำนัล เพียงชั่วพริบตากล่องสีสันงดงามกล่องหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
“เหนียงเหนียงหม่อมฉันรับไว้ไม่ได้เพคะ!”
ไม่ยอมให้หลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธ อี้กุ้ยเฟยก็เอากำไลข้อมือสวมไว้ที่มือของนางด้วยตัวเอง “ไม่ใช่ของล้ำค่าอันใด เจ้าช่วยข้าไว้มากถึงเพียงนี้ข้าไม่รู้ควรจะขอบคุณเจ้าเช่นไรแล้ว แต่เจ้าต้องรับไว้เมื่อคนนอกเห็นสิ่งนี้จะได้ไม่อาจทำร้ายเจ้าได้อีก”
กำไลข้อมืออันเดียวมีอำนาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วนางกำนัลชราที่อยู่ด้านข้างพูดอธิบาย “นี่เป็นของแทนใจที่ฝ่าบาททรงมอบให้เหนียงเหนียงเมื่อตอนนั้น แม่นางจะต้องเก็บไว้ให้ดี”
เดิมทีคิดจะสวมเล่นๆ เมื่อได้ยินนางกำนัลพูดเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถอดกำไลออกทันที “มันมีค่าเกินไปหม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้เพคะ”
“กำไลข้อมือแม้จะยังเป็นกำไลเช่นกาลก่อนแต่ความรู้สึกหาได้เหมือนเช่นกาลก่อน ร่างกายข้ามีสภาพเช่นไรเจ้าก็ล้วนเข้าใจดี เจ้าก็น่าจะเดาได้ว่าในตอนนั้นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น น่าจะสงสัยมาตลอดว่าผู้ใดเป็นคนทำเช่นนี้กระมัง?”
ได้ยินคำพูดของอี้กุ้ยเฟยหลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงข่าวที่นางเคยแท้งลูกไปสามครา
“เช่นนี้ดูท่าแล้วเป็นฝ่าบาทหรือเพคะ?”
ในดวงตาของอี้กุ้ยเฟยฉายแววอ้างว้าง “ถูกต้อง ในตอนนั้นข้าถูกคนใส่ร้าย ฝ่าบาททรงไม่เชื่อใจข้าแม้แต่น้อยถึงขั้นเอาข้าไปไว้ในตำหนักเย็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเยื่อใย ทุกครั้งยามที่เขาไม่มีความสุขก็จะไปเยี่ยมข้าที่ตำหนักเย็นเป็นเช่นนี้อยู่นาน คาดไม่ถึงว่า…”
ประโยคสุดท้ายนางไม่ได้พูดออกมาที่หางตาก็มีน้ำตาสองสายไหลลงมา
พูดว่ามาเยี่ยมแต่แท้จริงแล้วคือการทรมานหรือ?
ฮ่องเต้ไม่อาจปล่อยสตรีผู้หนึ่งไปได้ แต่กลับถูกคนวางแผนร้ายเป็นอย่างดีจนถูกขังไว้ในตำหนักเย็น ทว่าฮ่องเต้ทำร้ายคนที่เป็นห่วงมากที่สุดเช่นนี้ได้อย่างไร
“ในตอนนั้นคนที่ใส่ร้ายท่านคือหวางโฮ่วในยามนี้หรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามลองเชิง ในใจยิ่งหวนนึกเสียใจทีหลังที่ช่วยนางไว้ตั้งแต่แรก
“ถูกต้อง นางอยากได้ตำแหน่งของข้ามาโดยตลอด ทั้งยังเคียดแค้นที่ฝ่าบาทโปรดปรานข้าเพียงผู้เดียวมาหลายปี นางทำทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายข้าทำให้ข้าถูกฝ่าบาทปฏิบัติอย่างเย็นชาถึงขนาด…ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังไม่ยอมหยุด นางสั่งให้คนลอบเข้าไปที่ตำหนักเย็นถึงขั้นวางแผนเผาข้าให้ตาย!” นึกถึงตอนนั้นที่นางขอความช่วยเหลืออยู่ในกองเพลิงไม่หยุด นางร้องตะโกนไม่หยุดแต่กลับไม่มีสักคนที่มาช่วย ความเจ็บปวดนั้นความสิ้นหวังนั้นจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ลืมเลือน
“เคราะห์ดีที่ข้าหนีออกมาได้แต่ไม่ระวังจึงถูกนางวางยาพิษ ตั้งแต่นั้นมาข้าก็กลายเป็นคนเสียสติ หากไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าซูมาช่วยข้าไว้ได้ทันเวลาเกรงว่า…” สีหน้าของอี้กุ้ยเฟยเศร้าโศกเย็นชา
เกรงว่าบนโลกนี้จะไม่มีคนเช่นนี้มานานแล้ว
“เพราะฝ่าบาทรู้สึกละอายใจครั้งนี้จึงให้พระองค์เข้าวังหลัง และแต่งตั้งให้ท่านเป็นกุ้ยเฟยหรือเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม ในใจกลับยิ่งรังเกียจฮ่องเต้
นิสัยที่ทั้งน่าสงสัยและใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อนเช่นนี้ นางไม่รู้สึกว่าเขาเป็นกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดจริงๆ
“เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยการเป็นกุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงรับปากว่าจะให้เจ้านายของพวกเรารับตำแหน่งหวางโฮ่ว” นางกำนัลเชิดหน้าด้วยความหยิ่งยโสยิ่ง
ในวังหลังแห่งนี้หากเจ้านายมีเกียรติเป็นธรรมดาที่จะทำให้คนใช้สูงส่งขึ้นไปด้วย
ได้ยินเช่นนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตกตะลึง “ตำแหน่งหวางโฮ่วหรือเพคะ? หรือว่าฝ่าบาททรงรู้ทุกอย่างในตอนนั้นแล้วหรือเพคะ?’
“หากไม่รู้จะรู้สึกละอายใจต่อข้าได้อย่างไร?” อี้กุ้ยเฟยยิ้มหยัน “แต่เรื่องก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หากข้าที่เพิ่งกลับมาวังหลวงแล้วคิดเล็กคิดน้อยมากมายจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ตอบรับการที่จะให้เขาเอาตำแหน่งหวางโฮ่วกลับมาให้ข้า”
“แม้พระองค์จะไม่ต้องกลับคืนตำแหน่งหวางโฮ่วแต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงโปรดปราน พระองค์เป็นกุ้ยเฟยที่มีเกียรติยิ่งกว่าหวางโฮ่วเพคะ” จู่ๆ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่าน่าขันแทนหวางโฮ่ว
ตัวเองพยายามมานานถึงเพียงนี้วางแผนมานานถึงเพียงนี้ สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่แข่งของสตรีผู้หนึ่งที่เคยอยู่ห่างจากวังหลังมานานหลายปี
“ฝ่าบาททรงรู้สึกผิดเป็นธรรมดาที่จะทำดีต่อข้าจนคนผู้นั้นกลัวข้าถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะนางเป็นวัวสันหลังหวะ!”
เมื่อเข้าใจต้นสายปลายเหตุทุกอย่างแล้วหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงว่าโชคชะตาของนางช่างอาภัพยิ่ง
“แต่วันนี้ท่านตั้งใจเป็นศัตรูกับนางเพื่อมู่เอ๋อร์เกรงว่านางย่อมไม่ยอมเพคะ เหนียงเหนียงอยู่ในวังหลวงทรงดูแลตัวเองให้มากนะเพคะ”
อี้กุ้ยเฟยที่ชอบหลิงมู่เอ๋อร์เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งชอบจริงๆ “มียาขนานวิเศษของเจ้าอยู่ข้าเชื่อว่านางจะไม่อาจทำร้ายข้าได้ อย่างน้อยนางก็ไม่อาจทำได้ในเวลาอันสั้น”
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์อยากถามว่าเหตุใดจึงเชื่อมั่นถึงเพียงนี้ แต่เมื่อหวนนึกกลับไปก็เข้าใจ “หากท่านที่เพิ่งกลับวังหลวงได้รับบาดเจ็บฝ่าบาทย่อมสงสัยหวางโฮ่วเพคะ ในตอนนั้นถูกนางข่มเหงฝ่าบาทไม่คิดจะเอาความเป็นธรรมมาให้ท่านเป็นเพราะไม่อยากทำลายความสงบสุขทั้งหมด แต่หากหวางโฮ่วจะใช้กลอุบายอันใดอีกฝ่าบาทย่อมไปปล่อยไปง่ายๆ อีกเพคะ”
ส่งสายตาชื่นชมให้นางอี้กุ้ยเฟยราวกับเก็บสมบัติล้ำค่าได้ “สาวน้อยผู้นี้เหตุใดถึงฉลาดถึงเพียงนี้ หากไม่รู้ว่าเจ้ามีคนในใจอยู่ข้าคงคิดจะให้ลูกชายของข้าไปพยายามช่วงชิงด้วยแล้ว”
หากไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็นับว่าไม่เป็นไรแต่เมื่อยกขึ้นมาหลิงมู่เอ๋อร์ก็ขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมา “เหนียงเหนียงอย่าล้อมู่เอ๋อร์เล่นเลยเพคะ”
“ข้าจะห้ามใจไม่ล้อเจ้าเล่นได้อย่างไร?” อี้กุ้ยเฟยพูดหยิบบางสิ่งออกมาจากในตะกร้าไม้ไผ่บนโต๊ะส่งให้ตรงหน้านาง “เจ้าลองดูเถิดว่านี่คืออันใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์ในคราแรกยังรู้สึกเพียงว่าคุ้นตา แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนก็นึกได้ “นี่คือผ้าปักของพระองค์ยามที่ยังอยู่จวนจวิ้นอ๋องในตอนนั้นหรือเพคะ?”
“ถูกต้อง ของสิ่งนี้จะสามารถยืนยันความอัปยศของข้าในช่วงนั้นที่ผ่านมาได้ มันจะเตือนให้ข้าได้สติอยู่เสมอว่าให้ระมัดระวังคนข้างกาย! แม้ว่าในตอนนั้นจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าซูช่วยไว้ แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นชีวิตนี้ข้าล้วนไม่อาจลืม ข้าจะไม่มีวันลืมที่ทุกคนมองข้าด้วยสายตาราวกับมองปีศาจแต่เจ้าต่างออกไป”
อี้กุ้ยเฟยลูบมือของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน “มู่เอ๋อร์ข้าชมชอบเจ้าจากใจจริงและรู้สึกขอบคุณเจ้าจากใจจริงเช่นกัน หากไม่มีเจ้าก็ย่อมไม่มีข้าในวันนี้ และข้าคงไม่อาจจำฝ่าบาทได้อีกแล้วทั้งยังไม่อาจได้หวนกลับมาสู่ตำแหน่งเดิม เจ้าจำไว้ว่าคำพูดเมื่อครู่ข้างนอกนั่นข้าหาได้พูดลอยๆ ต่อจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน!”
หลิงมู่เอ๋อร์เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่านางย่อมเป็นคนที่พูดจริงทำจริง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมไปต่อต้านหวางโฮ่วตรงๆ เพราะต้องการปกป้องนาง
“หม่อมฉันเพียงแค่พยายามทำหน้าที่ของหมอคนหนึ่งเพคะ คนที่เหนียงเหนียงควรขอบคุณความจริงแล้วคือเสียนหวางเพคะ”
อี้กุ้ยเฟยพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าล้วนได้ยินมาแล้ว หากไม่มีเสียนหวางให้ความช่วยเหลือในที่ลับ ข้าย่อมไม่อาจเข้าวังหลวงมาพบฝ่าบาทได้ราบรื่นเช่นนี้ ลูกชายของข้าก็ย่อมไม่อาจหวนคืนสู่ตำแหน่งไท่จื่อได้อีกเช่นกัน เจ้าสองคนล้วนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา”
“เสด็จแม่…”
เสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง “ไม่ทราบว่าเสด็จแม่ทรงรีบส่งคนไปเรียกข้าเข้าตำหนักด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เห็นไท่จื่อผู้สวมเสื้อคลุมผ้าไหมงดงามเปล่งประกายสาวเท้าก้าวเดินเข้ามาอย่างว่องไว “ร่างกายไม่สบายตรงไหนหรือลูก…”
พูดยังไม่ทันจบเมื่อหันมาเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไท่จื่อก็ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง “หลิงมู่เอ๋อร์เหตุใดจึงเป็นเจ้า?”
“หม่อมฉันถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ”
แม้จะรังเกียจคนชั่วหัวรั้นผู้นี้เป็นอย่างยิ่งแต่นางก็ไม่ลืมมารยาทที่พึงมี
“เหอะ เจ้ารู้ด้วยเรือว่าข้าเป็นไท่จื่อ?” ไท่จื่อยิ้มหยันคว้าคอเสื้อหลิงมู่เอ๋อร์ยกนางขึ้นมา “ดีนี่หลิงมู่เอ๋อร์ เปิ่นไท่จื่อยังไม่ไปหาเจ้าเพื่อคิดบัญชี เจ้ากลับส่งตัวเองมาถึงหน้าประตู วันนี้เปิ่นไท่จื่อ…”
“บังอาจ!”
อี้กุ้ยเฟยตะโกนอย่างเดือดดาลรีบพุ่งไปข้างหน้าตีมือไท่จื่อทิ้ง “ชั่วช้า เจ้าทำเช่นนี้กับผู้มีพระคุณของแม่ได้อย่างไร?”
เมื่อถูกตำหนิอย่างเกรี้ยวกราดเขาก็มองไปยังเสด็จแม่ก่อนจะมองไปยังหลิงมู่เอ๋อร์ ในใจรู้สึกไม่ยินยอม “เสด็จแม่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้ช่วยท่านก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นติดค้างนางเลยพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่รู้หรือว่าที่ลูกถูกปลดจากตำแหน่งไท่จื่อทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนาง!”
ยามที่อี้กุ้ยเฟยปรากฏตัวอย่างกะทันหันทั้งยังทำดีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง นางก็ยังสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจยังไม่รู้ว่าที่ไท่จื่อถูกปลดตั้งแต่แรกเป็นเพราะนาง
ยามนี้ไท่จื่อได้พูดออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองไปอี้กุ้ยเฟยอย่างเป็นกังวล
เดิมทีคิดว่านางจะโกรธแต่คาดไม่ถึงว่านางจะตบหน้าของไท่จื่อ
“เสด็จแม่!”
ไท่จื่อตะลึงงันหลิงมู่เอ๋อร์ก็ตกตะลึงเช่นกัน
อี้กุ้ยเฟยผู้นี้ดูเหมือนคนที่ชอบตีคนหรือ?
“สารเลว! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพราะมู่เอ๋อร์ตั้งแต่ต้นหรือ?” อี้กุ้ยเฟยถามกลับใบหน้าดุร้ายเหมือนยามที่เป็นศัตรูกับหวางโฮ่วเมื่อครู่ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำเรื่องโสมมอันใดไว้ตั้งแต่ต้น! ข้า…ข้าให้กำเนิดคนต่ำช้าเช่นเจ้าออกมาได้อย่างไร”
มองลูกของตัวเองราวกับมองคนที่เป็นศัตรู อี้กุ้ยเฟยถอนหายใจอย่างเดือดดาล พูดได้ว่าไม่มีความเมตตาที่แม่ควรมีแม้แต่น้อย
“เสด็จแม่เหตุใดท่านจึงต้องปกป้องนางเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าไม่ปกป้องนางแล้วจะให้ข้าไปปกป้องเจ้าหรือ? เจ้าในฐานะไท่จื่อคาดไม่ถึงว่าแค่ได้ยินข่าวลือจากผู้อื่นแล้วจะไปทำเรื่องไร้มโนธรรมเช่นนั้นกับมู่เอ๋อร์! ตั้งแต่แรกหากไม่มีเสียนหวางยื่นมือมาช่วยเหลือวันนี้ข้าคงให้ฝ่าบาทสังหารเจ้าไปแล้ว!”
ไม่มองไท่จื่ออีกแม้แต่คราเดียว อี้กุ้ยเฟยรีบปกป้องหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ข้างหลัง “สาวน้อยทั้งหมดเป็นเพราะไท่จื่อดื้อรั้นไม่รู้จักเชื่อฟัง ขอให้เจ้าเห็นแก่หน้าข้าอย่าไปสนใจคนเช่นเขาเลย”
“เสด็จแม่!” ไท่จื่อคาดไม่ถึงว่าเสด็จแม่ของตนจะถ่อมตัวต่อศัตรูคนหนึ่งถึงเพียงนี้
“หุบปาก!” อี้กุ้ยเฟยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่รู้หรือว่าวันนี้เปิ่นกงเรียกเจ้ามาทำอันใด? ให้มาเพื่อขอโทษมู่เอ๋อร์!”
“ขอโทษหรือพ่ะย่ะค่ะ? เสด็จแม่จะให้ข้าขอโทษนางหรือ?” ไท่จื่อคิดว่าได้ยินเรื่องพันหนึ่งราตรี “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นไท่จื่อผู้ผ่าเผย สตรีในใต้หล้าล้วนเป็นของข้าและเสด็จพ่อ หากข้าต้องการนางจะมีอันใดไม่ถูกต้องหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดข้าต้องขอโทษนางด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นเสียนหวางและองค์ชายรองในตอนนี้ยังเคยทำให้ข้าอับอาย แค้นนี้ข้าย่อมต้องชำระ!”
อี้กุ้ยเฟยเดือดดาลยิ่งจนใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่เข่าของเขา “ลูกเวร วันนี้เปิ่นกงไม่เพียงแต่จะให้เจ้าขอโทษ แต่เจ้าต้องคุกเข่าให้ข้าด้วย!”
เชิงอรรถ
[1] หม้อต้มยาจีน หมายถึง คนที่ป่วยจึงต้องกินยาอยู่ตลอดมักมีความหมายในเชิงลบ