เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 60 เข้าเรียน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 60 เข้าเรียน
เล่มที่ 2 บทที่ 60 เข้าเรียน
หลิงมู่เอ๋อร์รู้มาก่อนแล้วว่าจะไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าจะปากแข็งเพียงใด แต่หนังสือสองเล่มนี้ก็จะงัดปากออกมาได้อย่างถึงที่สุดแน่นอน
นางปล่อยเด็กทั้งสามคนไว้ ให้พวกเขาตั้งใจเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรจากที่นี่กลับไปยังบ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก ในทุกวันตอนเที่ยงนางจะส่งคนมาส่งข้าวให้กับพวกเขาเอง
เดิมทีหลิงจื่ออวี้มีอาการของโรคเก็บตัวอยู่บ้าง หลังจากผ่านการโน้มนำชี้แนะอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงระยะนี้ ก็สามารถแก้ไขนิสัยของเขาได้มากแล้ว
ทว่าคนที่เขาเชื่อใจที่สุดก็ยังคงเป็นคนในครอบครัวของเขา โดยเฉพาะพี่สาวผู้นี้ ดังเช่นในตอนนี้ที่หลิงมู่เอ๋อร์จะต้องกลับไป สีหน้าของหลิงจื่ออวี้ก็แสดงความอาลัยอาวรณ์ออกมา ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะด้านข้างมีหยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อน เกรงว่าเขาต้องเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน
“จื่ออวี้ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลเดือนหกกับเดือนเจ็ดเป็นอย่างดี เจ้ากลับบ้านก็จะได้เจอพวกเขาแล้ว เจ้าเป็นลูกผู้ชายตัวน้อย จะต้องมีสักวันที่จะต้องห่างจากคนในครอบครัว เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัวของพวกเรา เจ้าจงตั้งใจเล่าเรียน ถ้าหากสามารถสอบได้ผลงานและตำแหน่งที่มีชื่อเสียง คนในครอบครัวของพวกเราก็จะได้อาศัยบารมีของเจ้าไปด้วย แต่ถึงแม้จะสอบไม่ได้ การที่สามารถเรียนรู้ตัวหนังสือได้ ต่อไปก็สามารถเป็นบัญชีได้ นั่นดีกว่าไปกลับไปทำนาปลูกข้าวมากนัก พี่สาวอยากเห็นจื่ออวี้เล่าเรียนเขียนอ่านหนังสือ เพราะเจ้าจะต้องดูดีที่สุดเป็นแน่ จื่ออวี้ เจ้าจะไม่ทำให้พี่สาวผิดหวังใช่หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองหลิงจื่ออวี้อย่างคาดหวัง สายตาของนางมีความจริงใจ ทำให้แววตาของเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าแน่วแน่ขึ้นมา
“พี่หญิง ท่านวางใจเถิด ข้าจะดูแลจื่ออวี้เองขอรับ” หยางเสี่ยวหู่ตบไปที่หน้าอกตนเองพลางเอ่ยขึ้น “หากผู้ใดกล้ารังแกเขา อันดับแรกจะต้องถามข้าก่อนว่าข้ายินยอมหรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครั้นตอนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ ยังเหนียมอายกันอยู่เลย บัดนี้กลับทำตัวเปลี่ยนเป็นผู้ใดมาก็สนิทหมด แต่ว่ามีเขาคอยดูแลอยู่ นางก็วางใจได้มากเลยทีเดียว
หยางเสี่ยวหู่ หลิงจื่ออวี้และฝูเอ๋อร์ยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษา มองหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งเดินห่างจากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ แล้วหายไปจากสายตาของพวกเขา หยางเสี่ยวหู่สูดลมหายใจ แสร้งทำท่าทีเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พวกเราเข้าไปด้านในกันเถิด!ตอนนี้พวกเราต้องตั้งใจเล่าเรียน ขอเพียงแค่สอบได้ตำแหน่งมีชื่อเสียง คนในครอบครัวก็จะได้มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว”
หลิงจื่ออวี้กำหมัดน้อยๆ ของเขา พยักหน้าอย่างมุ่งมั่น “อืม”
หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาถึงเหลาอาหารสกุลหลิง ในขณะนั้นการค้าภายในร้านกำลังดี ทุกคนยุ่งมากจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ แต่ว่าเพราะได้เพิ่มกำลังคนแล้ว ดังนั้นเลยเป็นการยุ่งที่เป็นระเบียบแบบแผน ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกวุ่นวาย นางช่วยงานอยู่ครู่หนึ่ง แน่ใจแล้วว่าทุกคนจะสามารถรับมือได้ แล้วค่อยกลับไปในห้อง ก่อนที่นางจะกลับไปที่ห้อง นางได้กำชับว่าให้หยางต้าหนิวไปส่งอาหารที่สำนักศึกษาให้พวกเด็กสามคนด้วย
เมื่อกลับเข้าไปในห้อง นางก็รีบเข้าไปในมิติทันที แล้วเริ่มดูแลสวนยาสมุนไพรและสวนผัก ภายในมิติตอนนี้มีผักและผลไม้ที่สุกงอมเก็บไว้มากมาย ส่วนสมุนไพรเหล่านั้น นางเลือกที่เหมาะสมกับการนำมากลั่นเป็นโอสถเม็ด นางนำโอสถเพิ่มความงามหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปาก ครั้นโอสถเม็ดนั้นเข้าไปในปากก็ละลายทันที ทั้งยังแผ่กระจายส่งกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ
นางหาที่นั่งจากนั้นจึงนั่งลง แล้วเริ่มนั่งฝึกพลังลมปราณ ในเวลานี้ภายในกายของนางมีกำลังภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ตอนที่นางออกมาจากในมิติ สีของท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว หยางซื่อกับหลิงต้าจื้อและคนอื่นๆ ต่างปิดร้านกันเรียบร้อยแล้ว
“แย่แล้ว ข้าลืมไปรับน้องเล็กเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตบที่หน้าผากของตนเองพลางเอ่ย
“เจ้าเด็กโง่ พ่อแม่และท่านลุงของเจ้ายังอยู่ที่นี่นะ?เจ้าลืมแล้ว แต่พวกข้าไม่ได้ลืม” หยางซื่อเดินออกมาจากในห้องครัว เห็นฉากที่หลิงมู่เอ๋อร์ตบหน้าผากของตนเอง ก็กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “พวกเขากลับมากันแล้ว ตอนนี้อยู่ในห้องกำลังอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนอยู่”
หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้น แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า “วันนี้พวกเขาเรียนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?น้องเล็กคงไม่ได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกระมัง!”
“เด็กคนนั้นรู้ความแล้ว” เมื่อกล่าวถึงหลิงจื่ออวี้ ดวงตาของหยางซื่อก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นใจ “หลังจากกลับมาก็ไปห้องหนังสือเลย กล่าวว่าท่านอาจารย์ให้การบ้านมา เขาจะทำการบ้านให้เสร็จก่อน ค่อยออกมาพูดคุยกับพวกเรา พวกข้าไม่กล้าไปรบกวนเขา รอเขาทำการบ้านเสร็จแล้วค่อยว่าเรื่องอื่นกัน”
“ดูเหมือนว่าจะปรับตัวได้ไม่เลว” หลิงมู่เอ๋อร์พูดเองตอบเอง
“มู่เอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด!ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว ตอนนี้เรื่องในร้านมีพวกข้าคอยดูแลอยู่ เจ้าไม่ต้องลำบากแบบนั้น” หยางซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่ผอมโซ ดวงตาก็ฉายประกายเจ็บปวดใจออกมา โชคดีที่สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ยังดีอยู่ ถึงแม้ว่ารอบเอวผอมแล้ว แต่ว่าผิวพรรณก็ยังคงละเอียดลออละอ่อนนุ่มอยู่ มิเช่นนั้นนางจะยิ่งเจ็บปวดใจไปมากกว่านี้
หลิงมู่เอ๋อร์วางแผนที่จะมอบหมายเรื่องในร้านให้หยางซื่อ นางไม่เคยคิดที่จะเอาเวลาทั้งหมดมาใช้ในร้าน
นางเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแพทย์แผนโบราณ แน่นอนว่าควรมีหน้าที่คอยช่วยเหลือผู้ที่กำลังสิ้นใจหรือได้รับบาดเจ็บ รอนางได้พักอีกสักระยะหนึ่ง แล้วดูว่าจะสามารถกลับไปทำอาชีพเดิมได้หรือไม่ เพียงแต่ว่า ที่นี่คือยุคโบราณ สตรีที่จะเป็นหมอนั้น เกรงแต่ว่าจะไม่ค่อยสะดวกนัก หรือว่านางจะแต่งกายเป็นบุรุษ?นี่ดูเหมือนว่า… ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีเช่นกัน
วันรุ่งขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์พาหลิงจื่ออวี้และเด็กๆ ไปส่งที่สำนักศึกษาด้วยตนเอง จากนั้นก็เดินเที่ยวเตร่ไปตามท้องถนน
คนในยุคสมัยโบราณค่อนข้างขยัน ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ผู้คนก็สัญจรเดินไปเดินมาบนท้องถนนแล้ว นางเลือกผักสดจำนวนหนึ่ง และซื้อเครื่องในหมูอีกเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็สั่งให้พวกเขานำไปส่งที่ร้าน ดังเช่นในตอนนี้เหลาอาหารสกุลหลิงก็นับว่ามีชื่ออยู่บ้างสำหรับที่นี่ เพียงแค่เอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา พวกเขาก็ย่อมหาตำแหน่งที่ตั้งของร้านได้อยู่ นี่ก็ทำให้นางประหยัดแรงได้ไม่น้อย
“หืม?นั้นมิใช่…” หลิงมู่เอ๋อร์มองเห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่แต่งตัวงามเพริศพริ้งยืนอยู่ตรงมุมของถนน หญิงสาวนางนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นเสี่ยวฟางซื่อลูกสะใภ้ของบุตรชายคนโตหลิงจื่อชิ่งของท่านลุงสองนั่นเอง
ในขณะนั้นเสี่ยวฟางซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าบดบังปากเล็กๆ ที่ทาชาดของนางนั้นไว้ แย้มรอยยิ้มอย่างหวานหยาดเยิ้ม คนที่ยืนอยู่ด้านหน้านางเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำ ชายหนุ่มอยากจับมือของเสี่ยวฟางซื่อ เสี่ยวฟางซื่อมองรอบๆ ข้างอย่างตื่นตระหนก เมื่อไม่เห็นคนที่รู้จัก ก็แสร้งทำเป็นไม่ยินยอมอยู่กึ่งหนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาได้สัมผัส
จุ๊จุ๊ มีเรื่องแล้ว
เพียงแต่ว่า เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับนางกัน ถึงแม้ว่าหลิงจือชิ่งจะถูกสวมเขา นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองดูงิ้วสนุกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหมุนกายเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
นางเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นเงาดำหนึ่งสายกระโดดข้ามผ่านข้างกายของนางไป นางคลำหาถุงเงินที่บริเวณเอว และพบว่าที่ตรงนั้นก็ว่างเปล่าอย่างที่คิดไว้จริงๆ นางขมวดคิ้ว แล้ววิ่งตามเงาดำนั้นไป “จับหัวขโมย”
เงาดำสายนั้นได้ยินเสียง ก็ยิ่งเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้นไปอีก
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ยอมแพ้ ยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ
เงาดำสายนั้นพานางไปที่ตรอกเล็กๆ สายหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ไม่นานก็ไม่พบเงาคนผู้นั้นแล้ว
ในตรอกเล็กมีผู้คนมากมาย เกือบทั้งหมดแทบจะเป็นคนยากจน บ้านเรือนของที่นี่เก่าทรุดโทรม บางหลังก็โอนเอนจวนจะล้มมิล้มแหล่ เดิมทีก็เป็นบ้านที่พังจนไม่อาจอาศัยอยู่ได้แล้ว ตอนนี้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่หากไม่ใช่ขอทานก็เป็นคนพเนจร
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิด แล้วไม่ได้ไล่ตามไปอีก
ที่จริงแล้วในถุงเงินนั้นมีเงินอยู่แค่สิบอีแปะเท่านั้น นี่เป็นเงินที่เหลือจากการซื้อเนื้อสัตว์เมื่อสักครู่ เงินที่ส่วนอื่นๆ ล้วนอยู่ในมิติ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดที่จะขโมยไปได้
เมื่อตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะเดินจากไปนั้น ก็ได้ยินเสียงทุกข์ระทมดังมาจากบ้านหลังทรุดโทรมที่อยู่ตรงข้าม “พี่ชาย… พี่ชายท่านอย่าตายนะขอรับ…”
ฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์หยุดชะงักอย่างฉับพลัน มองไปที่บ้านทรุดโทรมหลังนั้น
ในตอนนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งก็วิ่งออกมาจากด้านใน
หลิงมู่เอ๋อร์มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่านั่นคือคนที่ขโมยถุงเงินของนางไป เห็นเขาวิ่งออกมาให้นางจับถึงที่ นางก็ดึงรั้งเขาไว้ พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ถุงเงินของข้าล่ะ?คืนมาเดี๋ยวนี้!”
นั่นเป็นเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าของคนขอทาน บนกายส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน เขาถูกหลิงมู่เอ๋อร์จับเอาไว้ ในเบ้าตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้าปล่อยข้า!เจ้าปล่อยนะ!ข้าจะไปหาท่านหมอให้พี่ชายของข้า” เด็กน้อยคนนั้นร้องตะโกนเสียงดัง “พี่ชายของข้าใกล้จะสิ้นใจแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางปล่อยมือ เด็กน้อยคนนั้นเตรียมที่จะจากไป ในตอนที่เขากำลังจะวิ่งไปนั้น นางก็จับเขาเอาไว้ แล้วกล่าวนิ่งๆ ว่า “ข้ารู้วิชาแพทย์”
เด็กน้อยคนนั้นตกตะลึง มองที่นางอย่างสงสัยแล้วกล่าวว่า “เจ้า…รู้วิชาแพทย์?จริงหรือ?”
“อืม” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าไม่มีเงิน ถึงแม้ว่าจะไปหาหมอพวกนั้น พวกเขาก็ไม่ช่วยเจ้าตรวจโรคหรอก มิสู้พาข้าไปดูอาการพี่ชายเจ้าดีกว่า”
ตอนนี้เด็กน้อยคนนั้นอกสั่นขวัญหายไปแล้ว ขอเพียงแค่สามารถช่วยชีวิตพี่ชายไว้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดเขาก็ยินยอมที่จะลองทั้งหมด และเขาก็รู้ว่าที่สตรีที่อยู่ตรงหน้าพูดไม่ผิด เขาเป็นเพียงขอทาน ไม่มีเงินไปเชิญหมอมาให้ท่านพี่ ในเมื่อสตรีผู้นี้บอกว่าตนเองรู้วิชาแพทย์ ทั้งยังยินยอมที่จะตรวจรักษาโรคให้พี่ชายของเขา เช่นนั้นก็ให้นางตรวจดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ถ้าหากไม่ได้…
นัยน์ตาของเด็กน้อยคนนั้นหรี่ลง แล้วส่งสายตาอาฆาตไปที่นาง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจในสายตาของเด็กน้อยผู้นั้น นางสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปในบ้านทรุดโทรม
เด็กน้อยผู้นั้นก็วิ่งตามนางเข้าไปติดๆ
บ้านทรุดโทรมหลังนี้เป็นบ้านที่ผู้อื่นปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ด้านในเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าไป นางก็เห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น
เมื่อเดินเข้าไปมองใกล้ๆ นั่นเป็นชายหนุ่มร่างกำยำที่อายุยี่สิบปีต้นๆ เสื้อผ้าของชายหนุ่มผู้นั้นก็ขาดรุ่งริ่งเช่นกัน ผิวพรรณทั้งดำทั้งหยาบกระด้าง มองดูแล้วก็รู้ว่าตกอยู่ในที่นั่งลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นบริเวณหน้าอกของเขาก็มีรูบาดแผลและเลือดไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“เหตุใดเขาถึงบาดเจ็บจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าอย่าเพิ่งไปสนใจว่าเขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร เจ้ารีบดูอาการก่อนว่าสามารถรักษาได้หรือไม่ ถ้ารักษาไม่ได้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องไปแย่งชิงมา ข้าก็จะแย่งชิงหมอกลับมาให้ได้” เด็กน้อยคนนั้นเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งยองๆ ลง จับที่ชีพจรของชายหนุ่มผู้นั้น “ชีพจรยังนับว่าคงที่อยู่ ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ว่า… บาดเจ็บจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ระวังอาจจะเกิดการอักเสบ”
“เจ้าช่วยพี่ชายข้าได้หรือไม่?” ครั้นเด็กน้อยผู้นั้นได้ยินว่าพี่ชายของเขาไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ดวงตาก็แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขาคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อย่างรุนแรง กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “แม่นาง… แม่นาง… ขอร้องล่ะ… ได้โปรดช่วยชีวิตพี่ชายของข้าด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์ล้วงหากระเป๋าเข็มออกมาจากอกและทำการห้ามเลือดให้ชายผู้นั้นก่อน รอให้รูเลือดบริเวณหน้าอกของเขาไม่มีเลือดไหลออกมาด้านนอกแล้วจึงนำเอาโอสถหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปากเขา เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ นางจึงกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “โอสถเม็ดที่ข้าใช้รักษาเขาเป็นโอสถที่ข้าปรุงขึ้นมาเอง สำหรับบาดแผลภายนอก…ข้าจะต้องไปจัดยาที่ร้านยา”
“เรื่องเมื่อสักครู่…” เด็กน้อยผู้นั้นยื่นถุงเงินที่ขโมยไปจากหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยมือทั้งสองข้าง “พวกข้าไม่มีเงิน แต่ว่าข้ายินยอมที่จะเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า”
“เป็นวัวเป็นม้าอะไรนั่นช่างมันเถิด เจ้าอย่าได้มาหาเรื่องข้าอีกก็เป็นพอแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างไม่พอใจ “อายุยังน้อยก็ทำเรื่องไม่ดี ทำอะไรไม่ทำ เหตุใดจึงเป็นหัวขโมยกัน?ดูจากท่าทางของเจ้า ก็นับว่าร่างกายสมประกอบไม่ได้พิการแต่อย่างใด แม้ว่าจะหางานใช้แรงงานเล็กๆ น้อยๆ ทำ เช่นนั้นก็ยังพอมีคนรับ เหตุใดจึงต้องทำอาชีพที่ถูกผู้คนรังเกียจเดียดฉันท์เช่นนี้?”
“แม่นาง…” เด็กน้อยคนนั้นปาดน้ำตาพลางกล่าว “เมื่อก่อนข้าไม่เคยขโมยของจริงๆ เป็นเพราะครั้งนี้พี่ชายของข้าบาดเจ็บสาหัสเกินไป ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะตาย ถึงได้กระทำแบบนี้”
“ต่อจากนี้ไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีก” หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเขากล่าวอย่างนั้น สีหน้าของนางก็อ่อนลงมาบางส่วน “เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายของเจ้าเถิด!อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนมาส่งยาให้เจ้า”