เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 59 ข้ารับใช้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 59 ข้ารับใช้
เล่มที่ 2 บทที่ 59 ข้ารับใช้
สามีภรรยาที่เดิมทีมีแววตาว่างเปล่าได้ยินประโยคสุดท้ายของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยถามออกมาตามสัญชาตญาณ “แม่นางพูดจริงหรือเจ้าคะ?ถ้าพวกข้าทำได้ดี ท่านก็จะให้ฝูเอ๋อร์ของพวกข้าเรียนหนังสือ? ”
“แน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์แอบลอบยิ้มอยู่ในใจ นางรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นจุดอ่อนของพวกเขา ควรจะกล่าวว่า ในใจของพ่อกับแม่ทุกคน บุตรล้วนเป็นจุดอ่อนของพวกเขาทั้งสิ้น
“แม่นางวางใจ ในเมื่อพวกข้าเป็นข้ารับใช้ของพวกท่านแล้ว ก็จะทำงานให้แม่นางอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ” หญิงผู้นั้นพูดอย่างเคารพนบนอบ
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้านิ่งๆ “เมื่อครู่พวกเจ้ากล่าวว่าบุตรของพวกเจ้านามว่าฝูเอ๋อร์ เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะเรียกพวกเจ้าว่าอาฝูกับอาสะใภ้ฝูก็แล้วกัน!”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ” อาฝูกับอาสะใภ้ฝูตอบรับพร้อมกัน
“ขอเพียงแค่พวกเจ้าทำออกมาได้ดี จะได้เงินค่าแรงหนึ่งตำลึงเงินต่อเดือน” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสายตาคาดหวังของคนอื่นๆ มองมาที่นาง จึงกล่าวว่า “พวกเจ้าก็จะได้เช่นกัน”
“ขอบคุณแม่นางยิ่งเจ้าค่ะ” ทุกคนต่างกล่าวขอบคุณออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกคนเหล่านี้ล้วนเป็นข้ารับใช้ที่หลิงต้าจื้อเลือกกลับมา สัญญาขายทาสของพวกเขาอยู่ในมือของคนสกุลหลิง ขอเพียงแค่สกุลหลิงให้ข้าวพวกเขากิน ไม่ต้องให้เงินค่าแรงพวกเขา พวกเขาก็จะคอยปรนนิบัติต่อคนในสกุลหลิงอย่างสุดจิตสุดใจแล้ว ถึงแม้ว่าในใจจะไม่ยินยอมแต่ก็ไม่กล้าทำสิ่งใด ในยุคสมัยนี้บทลงโทษที่ทาสหลบหนีนั้นโหดร้ายมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทาสรับใช้กล้าหนีออกไป
เป็นเพราะว่าในอดีตนี้เคยมีเหตุการณ์ทาสปลิดชีพเจ้านายและหลบหนีไป ในภายหลังจึงมีประกาศจากราชสำนักเกี่ยวกับกฎหมายในเรื่องนี้
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากตามจับกลับมาได้จะมีบทลงโทษด้วยการประหารชีวิตแล่เนื้อเถือหนัง นั่นจึงเป็นการอยู่มิสู้ตกตายอย่างแท้จริง ฉะนั้นขอเพียงแค่เจ้านายเหลือหนทางที่พอจะมีชีวิตรอดให้กับทาสรับใช้ พวกทาสรับใช้ก็ไม่มีทางที่จะกล้าอกตัญญูต่อเจ้านายแน่นอน แม้ว่าจะตายในน้ำมือของเจ้านาย นั่นก็ดีกว่าการประหารชีวิตด้วยการแล่เนื้อเถือหนังแล้วปล่อยให้สิ้นใจตายอย่างช้าๆ หลายเท่านัก
ฝูเอ๋อร์ยังเด็ก นอกจากจะคอยเล่นเป็นเพื่อนหลิงจื่ออวี้และหยางเสี่ยวหู่แล้ว ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ในความเป็นจริง ตอนแรกที่หลิงต้าจื้อซื้อครอบครัวสามคนนี้ ก็เป็นเพราะทนไม่ได้ที่จะให้พวกเขาพรากจากกัน ฝูเอ๋อร์ผู้นั้นยังเด็กมาก หลิงต้าจื้อจึงใช้เงินสองตำลึงเงินซื้อเขามา ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ก็คงไม่มีทางทำการค้าที่ขาดทุนแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรเด็กเล็กก็ทำงานอันใดไม่ได้อยู่แล้ว ยังต้องเลี้ยงดูอีกหลายปีกว่าจะใช้งานได้ เงินก้อนนี้ยังมิสู้เอาไปซื้อคนงานที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาเสียยังดีกว่า นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่อาฝูและอาสะใภ้ฝูยอมปฏิบัติรับใช้อย่างสู้ตายถวายศีรษะต่อคนในสกุลหลิง
แม่เฒ่าสองคนนั้นผู้หนึ่งแซ่หลี่ อีกผู้หนึ่งแซ่หวัง ทุกคนเรียกพวกนางว่าป้าหลี่กับป้าหวัง สองคนนี้นอกจากทำงานทั่วไปแล้ว ยังสามารถทำงานเย็บปักถักร้อยได้ด้วย เสื้อผ้าของทุกคนล้วนมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของหญิงทั้งสองคนนี้ในการเย็บปักแล้ว
สำหรับคนวัยหนุ่มแน่นสองคนนั้นผู้หนึ่งนามว่าหูเฉิง อีกผู้หนึ่งนามว่าซ่งหวา เมื่อข้ารับใช้มาถึงบ้านของเจ้านายใหม่ ชื่อก็เป็นเจ้านายคนใหม่ตั้งให้ หลิงมู่เอ๋อร์ตัดสินใจเปลี่ยนนามให้พวกเขาเป็นหลิงเฉิงกับหลิงหวา
เมื่อมีคนเหล่านี้แล้ว การค้าของเหลาอาหารแห่งสกุลหลิงก็เข้าที่เข้าทางมากขึ้น โดยเฉพาะอาฝูกับอาสะใภ้ฝู หลิงมู่เอ๋อร์มีพวกเขาเข้ามาช่วยงาน ตอนนี้ก็สามารถเป็นเจ้าของร้านคอยชี้นิ้วสั่งการได้แล้ว
เดิมทีอาฝูกับอาสะใภ้ฝูเป็นคนคอยจัดการเรื่องงานในห้องครัวของเรือนตระกูลสูงศักดิ์ พวกเขาไม่เพียงแต่เรียนรู้การทำอาหารของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเดียว ตัวพวกเขาเองก็ทำอาหารได้หลายสิบกว่าชนิด หลิงมู่เอ๋อร์เลือกอาหารที่มีวัตถุดิบทั่วไปสิบชนิด นำพวกมันเพิ่มลงไปในรายการอาหาร ด้วยผักในมิติที่นางจัดหาให้ รสชาติที่ผัดออกมาก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก แน่นอนว่าเหล่าลูกค้าต่างจะต้องหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“วันนี้ข้าจะไปส่งพวกเด็กๆ ไปสำนักศึกษา เรื่องในร้านก็มอบให้พวกเจ้าแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวมอบหมายงานไม่กี่ประโยค
ตอนนี้มีคนทำงานทั่วไป หลิงต้าจื้อ หยางซื่อ หยางต้าหนิวรวมถึงหลิงจื่อเซวียนก็ไม่ต้องอยู่แต่ในห้องครัวแล้ว พวกเขามีหน้าที่แค่ดูแลจัดการข้ารับใช้เหล่านี้ก็พอ
หลิงมู่เอ๋อร์จัดแจงให้หลิงจื่อเซวียนเป็นหลงจู่ของร้าน หลิงจื่อเซวียนมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด สอนวิธีการคำนวณเลขในใจให้กับเขา เขาก็สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งด้วยความรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เรื่องบัญชีก็มอบให้เขาเป็นคนรับผิดชอบไป
หลิงต้าจื้อกับหยางต้าหนิวมีหน้าที่ดูแลลูกค้า ในตอนที่ลูกค้ามาจำนวนมาก ก็เป็นเวลาที่พวกเขาออกหน้ารับแขก ในยามปกติลูกค้าไม่มาก พวกเขาก็สามารถไปดูแลถังซื่อที่อยู่เรือนด้านหลังได้
หยางซื่อยังคงอยู่ในหลังครัว ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี เดินไปเดินมาในห้องโถงใหญ่บ่อยๆ ก็จะดูไม่ดีนัก นางคอยดูแลสอดส่องพวกเขาอยู่ในหลังครัวแล้วก็ถือโอกาสเป็นผู้ช่วยในครัวด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์พาหยางเสี่ยวหู่ หลิงจื่ออวี้และฝูเอ๋อร์ออกเดินทาง นางสอบถามตำแหน่งของสำนึกศึกษามาก่อนแล้ว และนางก็เตรียมของกำนัลคารวะอาจารย์ไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็รอเพียงแค่ไปหาอาจารย์ก็เท่านั้น
ในตำบลนี้มีสถานศึกษาอยู่สามแห่ง อาจารย์ของสถานศึกษาสองแห่งในจำนวนนั้นเป็นซิ่วไฉ ได้แก่ถังซิ่วไฉและวังซิ่วไฉ มีเพียงอาจารย์ของสำนึกศึกษาหนึ่งแห่งเท่านั้นที่จวี่เหริน ผู้คนต่างเรียกขานว่าหงจวี่เหริน หงจวี่เหรินผู้นี้อายุยังน้อยก็ประสบผลสำเร็จในชีวิตแล้ว สอบผ่านถงเซิง ซิ่วไฉ และจวี่เหรินได้อย่างราบรื่น ทว่ากลับเกิดเรื่องเกินความคาดหมายขึ้น ใบหน้าของเขาถูกทำลาย ต่อมาภายหลังจึงไม่มีคุณสมบัติในการสอบระดับเคอจวี่
ในยุครัชสมัยนี้มีข้อกำหนดเข้มงวดเป็นอย่างยิ่งต่อข้าราชการขุนนาง เพียงแค่บนร่างกายมีความไม่สมประกอบเพียงเล็กน้อย แม้ว่าบนใบหน้าจะมีรอยตำหนิบนผิวมาตั้งแต่กำเนิด นั่นก็ไม่สามารถที่จะสอบขุนนางระดับเคอจวี่ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว ข้าราชการขุนนางเป็นตัวแทนหน้าตาของแว่นแคว้น ถ้าหากขุนนางใดมีรูปโฉมอัปลักษณ์ นั่นค่อนข้างจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแว่นแคว้นเป็นอย่างยิ่ง อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่สามารถเป็นขุนนางได้นั้น อย่างน้อยอวัยวะทั้งห้าก็ต้องครบปกติสมบูรณ์
หงจวี่เหรินไม่อาจสอบเคอจวี่ได้อีก จึงมาเปิดสำนักศึกษาอยู่ที่ตำบลแห่งนี้ คนผู้นี้ถูกบุคคลทั่วไปยกย่องให้เป็นเด็กอัจฉริยะตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นความรู้ของเขาจึงเป็นที่ไร้ข้อกังขา มีผู้คนไม่น้อยมากราบไหว้เขาเป็นอาจารย์ ทว่าหลังจากที่เขาผิดหวังในชีวิต อุปนิสัยก็แปลกประหลาดไป แม้ว่าเขาจะรับศิษย์ แต่ก็ค่อนข้างเรื่องมาก จนถึงปัจจุบันนี้ คนที่เรียนหนังสือกับเขานั้นมีไม่ถึงยี่สิบคน
หลิงมู่เอ๋อร์สอบถามการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นของสามคนนี้มาอย่างกระจ่างแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาหงจวี่เหรินท่านนี้ ไม่ใช่เห็นแก่สถานะจวี่เหวินของเขา แต่เป็นเพราะคิดว่าเขามีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้เป็นคนที่รับลูกศิษย์แบบไม่มีกฎเกณฑ์ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา นางไม่รู้ว่าหลิงจื่ออวี้ทั้งสามคนนี้จะมีวาสนาเข้าตาเขาหรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์พาเด็กสามคนมาถึงที่ด้านหน้าของลานสำนักศึกษาสภาพเก่าแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าสำนักศึกษานั้นจะเก่าทรุดโทรม แต่ว่าใหญ่ยิ่งนัก สามารถเห็นได้ว่าหงจวี่เหรินท่านนี้เคยมีช่วงเวลาที่งดงามและรุ่งเรืองมาก่อน
ก๊อกๆๆ!หลิงมู่เอ๋อร์เคาะประตู
มีเด็กน้อยผู้หนึ่งเปิดประตูออกมา มองดูเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาฉายประกายรอบรู้อย่างแจ่มแจ้ง เด็กน้อยผู้นั้นโบกมือขึ้นพลางกล่าว “กลับไปเถิด!ท่านอาจารย์ของพวกข้าไม่รับศิษย์แล้วขอรับ”
“พี่ชายน้อยท่านนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ให้พวกข้าได้พบกับหงจวี่เหรินสักครั้งเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์นำเศษก้อนเงินหนึ่งก้อนยัดให้เด็กน้อยผู้นั้น
เด็กคนนั้นถอยหลังอย่างรีบร้อนไปสองสามก้าว แล้วมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศอย่างตื่นตระหนก ครั้นมองอย่างแน่ชัดแล้วว่าไม่เห็นผู้อื่นเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียดว่า “ท่านอย่าได้ทำร้ายข้าเลย ถ้าหากเกิดท่านอาจารย์ของพวกข้าเห็นเข้า ข้าจะต้องถูกถลกหนังเป็นแน่ เขาเกลียดคนที่รับเงินสินบนเป็นที่สุด”
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น นางเก็บเงินกลับคืน แสร้งทำท่าทางล้วงหาของในแขนเสื้อ หลังจากนั้นจึงหยิบหนังสือหนึ่งเล่มออกมา ยื่นส่งให้กับเด็กน้อยผู้นั้น “ถ้าเช่นนั้นรบกวนช่วยนำของกำนัลกราบไหว้อาจารย์ของพวกข้ามอบให้กับหงจวี่เหวินดูสักนิดหนึ่งด้วยเถิด! ถ้าเกิดว่าหงจวี่เหรินยังไม่รับอีก พวกข้าก็จะไม่ทำให้พี่ชายน้อยลำบากใจอีกแล้ว จะออกไปจากที่นี่อย่างเชื่อฟังแต่โดยดี แล้วไม่กล้ามากวนใจอีกเจ้าค่ะ”
เด็กคนนั้นมองสิ่งของที่อยู่ในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ สิ่งนั้นคือหนังสือหนึ่งเล่ม เด็กน้อยคิดว่าหงจวี่เหรินมีนิสัยที่รักหนังสือดั่งชีวิตอยู่แล้ว หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยจากนั้นจึงรับมา “เช่นนั้นเจ้ารออยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าไปรายงานก่อน ถ้าหากท่านอาจารย์ยังไม่ยอมรับพวกท่าน พวกท่านก็รีบไปจากที่นี่ทันทีเสีย ห้ามมาก่อความวุ่นวายที่นี่เด็ดขาด”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
เด็กน้อยผู้นั้นถือหนังสือเดินเข้าไปทางด้านในของสำนัก
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาเดินเข้าห้องห้องหนึ่งไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ทุ้มต่ำดังออกมาจากภายในห้อง “ไม่ใช่ว่าข้าเคยพูดแล้วว่าไม่รับศิษย์หรือ?”
“ท่านอาจารย์ แม่นางท่านนั้นบอกว่านี่เป็นของกำนัลกราบไหว้อาจารย์ เชิญท่านดูของกำนัลกราบไหว้เสียก่อนค่อยทำการตัดสินใจเถิดขอรับ” เด็กน้อยผู้นั้นเอ่ยอย่างสั่นๆ
“หยวนจื่อ ดูเหมือนว่ายามปกติข้าจะให้ท้ายเจ้ามากเกินไปแล้ว ทำให้เจ้าละเลยกฎเกณฑ์ของข้าเช่นนี้” คนผู้นั้นยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ข้าเคยพูดแล้ว ข้าเกลียดคนที่รับสินบนเป็นที่สุด… เดี๋ยวก่อน… นี่มันหนังสือตำราแผนพัฒนาห้าแคว้น?หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ว่าหายสาบสูญไปแล้วหรือ?รีบเชิญพวกเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ…” เดิมทีเด็กน้อยที่กำลังประหม่าอยู่นั้นได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของหงจวี่เหริน ก็แอบทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เอี๊ยด!เด็กน้อยที่มีนามว่าหยวนจื่อผู้นั้นเดินออกมา เขาถลึงตามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่พอใจหนึ่งที “เมื่อครู่ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด โชคดีที่เป็นเพียงสถานการณ์ที่ใจหายใจคว่ำแต่ไม่มีอันตรายใด”
“ขอเพียงแค่ผลลัพธ์ดี วิธีการเป็นอย่างไรย่อมไม่สำคัญ อาจารย์ของท่านจะไม่ทำโทษท่าน ในทางกลับกันอาจจะยังจะตกรางวัลด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์จูงมือของหลิงจื่ออวี้กับหยางเสี่ยวหู่เดินเข้าไปในลานสำนักก
หนังสือตำราแผนพัฒนาห้าแคว้นเล่มนั้นเป็นนางที่เขียนคัดลอกมา เป็นดังที่หงจวี่เหรินกล่าว หนังสือเล่มนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว นางที่ตัวอยู่แต่ในครัวตลอดทั้งวัน ต่อให้ต้องการหาหนังสือโบราณสักเล่ม แต่นั่นก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น บัดนี้หนังสือโบราณที่หายไปอย่างสาบสูญเล่มนั้นก็ปรากฏออกมาอย่างแปลกประหลาด แน่นอนว่าเป็นเพราะนางคัดลอกหนังสือโบราณเล่มนั้นออกมาจากความทรงจำของตนเองทีละเล็กละน้อยต่างหากเล่า
หลิงมู่เอ๋อร์จูงเด็กๆ ทั้งสามคนเดินเข้าไปที่ห้องตำราของหงจวี่เหริน ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ดังนั้นทั้งสำนักกจึงเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดินเข้าไป ก็เห็นเพียงบุรุษวัยกลางคนที่อายุประมาณสามสิบกว่าปีนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ และใช้สายตาที่หลงใหลทอดมองตำราที่อยู่ตรงหน้า
ตอนเริ่มแรกนางเห็นเพียงแต่ใบหน้าด้านขวาของเขาเท่านั้น พบว่าคนผู้นี้ยังนับว่ารูปงามมากเลยทีเดียว ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมานั้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าด้านซ้ายที่มีรอยแผลไหม้พุพองอยู่ นั่นทำให้รูปโฉมของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หงจวี่เหรินเห็นคนที่เดินเข้ามา สายตาที่ร้อนผ่าวด้วยความตื่นเต้นก็กลับเย็นลงมา เขาหันไปด้านข้าง หลีกเลี่ยงใบหน้าด้านซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าหงจวี่เหรินท่านนี้เป็นกังวลที่ผู้อื่นให้ความสนใจในโฉมหน้าของเขา นางมองไปเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็ทำสีหน้าปกติก้มศีรษะลงทำความคารวะต่อเขา
หยางเสี่ยวหู่เป็นคนกล้าหาญมาแต่ไหนแต่ไร ครั้นเห็นใบหน้าที่เสียโฉมของหงจวี่เหรินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย ตรงกันข้าม หลิงจื่ออวี้ที่ขี้ขลาดมาตลอดกลับไม่แสดงท่าทางผิดปกติใดออกมา
ส่วนฝูเอ๋อร์นั้น เขาอายุมากกว่าหยางเสี่ยวหู่และหลิงจื่ออวี้ ทั้งยังได้พบเจอความเย็นชาและน้ำใจของมนุษย์มามากแล้ว ดังนั้นตอนที่เห็นหงจวี่เหริน ท่าทางของเขาจึงเป็นปกตินัก
“ผู้ใดต้องการที่จะเรียนหรือ?” หงจวี่เหรินเป็นคนสุภาพ ไม่อาจจะไม่สนใจคนเหล่านี้ได้ ทำได้เพียงแค่หันใบหน้าด้านข้างให้กับพวกเขาเท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยนว่า “หงจวี่เหริน เด็กๆ พวกนี้ล้วนถึงวัยที่สมควรจะเล่าเรียนแล้ว ขอท่านจวี่เหรินได้โปรดรับเป็นศิษย์ทั้งหมดด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“สามคน?” หงจวี่เหรินมองพินิจเด็กทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
เด็กทั้งสามคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน รูปร่างหน้าตาก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พี่น้องกัน อีกทั้งมองดูท่าทางและเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีฐานะแตกต่างกัน
“เจ้าค่ะ นี่เป็นน้องชายทั้งสองคนของข้า นี่คือฝูเอ๋อร์ เป็นคนที่ข้าให้มาเล่าเรียนเป็นเพื่อนพวกเขา” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแนะนำ “ข้ารู้ว่าตำราแผนพัฒนาห้าแคว้นหนึ่งเล่มไม่เพียงพอแก่การกราบไหว้อาจารย์ ข้าจึงเตรียมหนังสืออีกเล่มมาโดยเฉพาะ…”
หลิงมู่เอ๋อร์ขณะที่กล่าวอยู่ ก็หยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออีกครั้ง นางส่งมอบตำราด้วยมือทั้งสองข้าง
ที่จริงด้วยความสามารถอันปราดเปรื่องของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ก็สามารถสั่งสอนให้คำชี้แนะแก่เด็กๆ เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง เพียงแต่ว่าในยุคสมัยนี้ ถ้าหากพวกเขาอยากสอบได้ตำแหน่งมีชื่อเสียงก็จำเป็นจะต้องกราบไหว้อาจารย์อย่างถูกกิจจะลักษณะ
หงจวี่เหรินได้ยินว่ามีหนังสืออีก ใบหน้าที่เสียโฉมนั้นก็ไม่ได้หลบซ่อนอีกต่อไป เขาหยัดกายลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น รีบรับหนังสือในมือของหลิงมู่เอ๋อร์เข้ามาทันที ตอนที่เห็นชื่อหนังสือที่อยู่บนหนังสือเล่มนั้น ก็กล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นทันทีว่า “กวีผู้ลือนามของแคว้น นี่เป็นการรวบรวมนักกวีผู้ลือนามร้อยกว่าบุคคลที่เขียนอธิบายแผนการปกครองของแว่นแคว้น คนจนมากมายที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็น ที่แท้มันก็มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริง”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ตอนนี้ท่านจวี่เหรินคงจะไม่ลำบากใจแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“แน่นอน” หงจวี่เหรินโบกมือพลางกล่าว “เจ้าส่งคนมาเล่าเรียนอีกสามสิบคนก็ล้วนไม่มีปัญหา วางใจเถิด ข้าจะสั่งสอนชี้แนะพวกเขาเป็นอย่างดี”