เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 46 ร้านค้า
เล่มที่ 2 บทที่ 46 ร้านค้า
หลิงมู่เอ๋อร์มองสำรวจร้านค้าแห่งนี้ ดังที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวไว้ หน้าร้านนั้นเก่าทรุดโทรม เกรงว่าจะไม่มีคนอยู่อาศัยมาเป็นสิบปีแล้ว ถ้าหากต้องการใช้ร้านนี้ทำการค้า ไม่เพียงแต่จะต้องปรับปรุงทั้งภายในและภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องตกแต่งที่นี่อย่างละเอียดอีกด้วย มิน่าเล่าอีกฝ่ายถึงเก็บเพียงหนึ่งตำลึง เพราะหากไม่ปล่อยออกไปให้เช่า ในอีกสองปีเรือนหลังนี้ก็จะถูกปล่อยทิ้งให้ร้างอย่างสมบูรณ์
“ท่านปู่เจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองชายชราที่อยู่ด้านข้าง ชายชราคนนั้นอายุห้าสิบถึงหกสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ชรามาก “เรือนหลังนี้ของท่านใหญ่มาก หากขายออกไปก็สามารถขายได้เงินจำนวนหนึ่ง ท่านเคยคิดที่จะขายมันหรือไม่เจ้าคะ? ”
ร้านนี้ค่อนข้างเก่าเกินไป หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใคร่จะชอบใจนัก แต่ว่าที่นี่มีพื้นที่กว้างขวาง และเรือนด้านหลังไม่เพียงแต่ให้ผู้คนอยู่อาศัยได้เท่านั้น แต่ยังมีลานขนาดใหญ่อีกด้วย ถ้าหากซื้อมันไว้ก็สามารถปลูกผักในสวนด้านหลังเรือน ด้านข้างก็เปิดเป็นสวนยาและปลูกสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ต่อไปสิ่งที่นางนำเอาออกไปใช้ก็จะไม่มีผู้ใดสงสัยแล้ว
หนึ่งตำลึงเงินไม่นับว่ามากนัก เพียงแต่นางจะต้องทำการรื้อปรับปรุงใหม่ การตกแต่งพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องใช้เงินเป็นอย่างน้อยห้าสิบตำลึงเงิน อย่างนั้นก็จะไม่คุ้มค่า เพื่อการวางแผนระยะยาว มิสู้นางซื้อสถานที่แห่งนี้จะดีกว่า ต่อไปมันก็จะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนาง นางต้องการตกแต่งให้สวยงามตระการตาอย่างไรก็มิใช่ปัญหา ในอนาคตจะทำการปิดป้ายร้านค้าและไม่ต้องคอยเปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว
“นี่…” ชายชราแสดงสีหน้าลำบากใจ “ข้าก็เคยคิดที่จะขายมันเช่นกัน เพียงแต่… ผู้ใดจะซื้อเล่า? ”
“ข้าต้องการซื้อเจ้าค่ะ ท่านพูดราคามาเถิด! ถ้าราคาเหมาะสม ข้าก็จะซื้อมันไว้” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ชายชราแล้วพูดว่า “ท่านคิดว่าเงินเท่าไรถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ? ”
ชายชราผู้นั้นตัวสั่นระริก กล่าวหยั่งเชิง “หนึ่งร้อยตำลึง? ”
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงค้าง นางพินิจมองชายชราที่อยู่ด้านหน้าด้วยแววตาสงสัย ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ท่านปู่ ท่านเป็นเจ้าของเรือนของที่นี่จริงหรือเจ้าคะ? ”
“แน่นอน” ชายชราตอบอย่างเร็วไว “ถ้าไม่ใช่เจ้าของเรือนของที่นี่ จะกล้าพาเจ้าเข้ามาได้อย่างไร? ”
“ข้าไม่ได้มีหมายความอย่างอื่นเจ้าค่ะ เพียงแค่รู้สึกว่าท่านดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจถึงราคาของสถานที่แห่งนี้นัก ตามตำแหน่งที่ตั้งของที่นี่และสัดส่วนพื้นที่เรือนหลังนี้ของท่านแล้ว อย่างน้อยก็ขายได้สองร้อยตำลึง” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ชายชราด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ท่านกล่าวว่าที่แห่งนี้ขายเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึง ข้าจึงรู้สึก…แปลกใจเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“แม่นางไม่รู้อันใด เรือนหลังนี้เก่าเกินไปแล้วจริงๆ ข้าไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะปล่อยออกไปให้เช่า ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าจะขายออกไปเลย ลูกสะใภ้ที่บ้านข้าคลอดลูกแล้ว ยังไม่มีเงินพอที่จะซื้อแม่ไก่แก่ให้นางได้อยู่เดือน ข้ากำลังกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่! ถ้าแม่นางเต็มใจที่จะซื้อจริงๆ ชายชราก็ยอมขายได้เงินน้อยลงสักหน่อย เพราะอยากจัดการที่นี่ด้วยเช่นกัน” ชายชรากล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์มองสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง และกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “ท่านกล่าวว่าหนึ่งร้อยตำลึง เช่นนั้นก็หนึ่งร้อยตำลึงเถิด! เพียงแต่ว่าในมือข้ามีเงินอยู่ไม่มากนัก ท่านช่วยเก็บที่นี่ไว้ให้ข้าสักสองวัน ข้าจะนำเงินมาให้ท่านในอีกสองสามวัน จากนั้นท่านก็พาข้าไปจัดการเรื่องเปลี่ยนเจ้าของได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ตกลง ตกลง…” ชายชรารีบร้อนกล่าว
“นี่คือเงินสิบตำลึง ใช้เป็นเงินมัดจำ ท่านนำไปซื้อแม่ไก่แก่ให้ลูกสะใภ้เถิดเจ้าค่ะ! ” หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นก้อนเงินหยวนเป่าหนึ่งก้อนไปให้ชายชรา
ชายชรารับมา โค้งคำนับอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางมากขอรับ”
หลังจากที่ชายชราจากไป หยางซื่อก็จับแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “บุตรสาวเอ๋ย! หนึ่งร้อยตำลึงเงิน นั่นก็แพงเกินไปแล้ว”
“ท่านแม่ ที่นี่มีราคาค่างวดถึงสองร้อยตำลึงเงิน ชายชราท่านนั้นกดราคาลงต่ำมากแล้วเจ้าค่ะ ถ้าหากพวกเราไม่ซื้อก็หาราคาที่ต่ำกว่านี้อีกไม่ได้อยางแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลเรื่องเงิน สองสามวันนี้พวกเราห่อเกี๊ยวเพิ่มมากขึ้น เพียงไม่กี่วันก็สามารถหาเงินกลับคืนมาได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เชื่อฟังบุตรสาวเถิด” หลิงต้าจื้อกล่าว “นางเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นยอด”
“น้องสาว” หลิงจื่อเซวียนเดินเข้ามาจากลานด้านหลัง “ด้านหลังมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ และยังมีห้องอีกเจ็ดห้อง นอกจากนี้ยังมีห้องเก็บเสบียงที่มีเสบียงวางกองอยู่หนึ่งห้อง”
“ท่านพี่ ข้าจำได้ว่าท่านเคยทำงานสร้างบ้าน ท่านน่าจะมีประสบการณ์ในการสร้างบ้านพอสมควร ไม่สู้มอบที่นี่ให้กับท่านจัดการจะดีกว่า ข้าจะวาดภาพแบบและท่านก็ตกแต่งจากด้านในถึงด้านนอกตามแบบของข้า” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงจื่อเซวียนด้วยรอยยิ้ม
“เหล่าพี่น้องเมื่อก่อนยังคงทำงานด้านนี้อยู่ ถ้าต้องการจะหาคนนั่นย่อมไม่ใช่ปัญหา” หลิงจื่อเซวียนกล่าวอย่างขัดเขิน “นี่ไม่นับว่าปัญหาใหญ่อันใด ถ้าหากน้องสาววางใจก็มอบให้ข้าจัดการเถิด! ”
“น้องเล็ก ต่อไปนี้พวกเราก็จะมีห้องเป็นของตนเองแล้ว เจ้าก็จะมีห้องของตนเองด้วยเช่นกัน พี่สาวจะออกแบบห้องที่สวยที่สุดให้เจ้า ด้านในวางเต็มไปด้วยของเล่นชิ้นโปรดของเจ้า” หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหลิงจื่ออวี้ขึ้นมาพลางกล่าว
“เจ้าบอกว่าจะให้เขาเล่าเรียนในสถานศึกษาไม่ใช่หรือ? เจ้าทำของเล่นให้เขา เขาจะยังมีจิตใจอยากจะร่ำเรียนหรือ? เจ้าอย่าตามใจเขาจนเสียคนเล่า” หยางซื่อกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ท่านแม่ น้องเล็กของพวกเราเป็นเด็กดีขนาดนี้ จะถูกตามใจจนเสียคนได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ? ไม่ว่าพวกเราจะตามใจเขามากเพียงใด เขาก็จะเป็นเด็กที่ดีเสมอ ใช่หรือไม่? น้องเล็ก” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับหลิงจื่ออวี้
หลิงจื่ออวี้พยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวโดยไม่มีเงื่อนไข
วันเวลาแห่งการทำงานหนักได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เวลาในชั่วพริบตา ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว การค้าของสกุลหลิงก็ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนในเมืองล้วนเป็นที่ทราบกันดีว่าเกี๊ยวของร้านนี้อร่อยที่สุด ทุกครั้งที่มาในเมือง ถ้าหากไม่ได้กินเกี๊ยวร้านของพวกเขา สองสามวันต่อมาก็จะไม่มีกำลังทางจิตวิญญาณ ตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองก็ยังรู้จักเสน่ห์ของเกี๊ยวบ้านสกุลหลิงเลย
ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ หลิงมู่เอ๋อร์หาเงินได้สามร้อยกว่าตำลึงเงิน เมื่อวานนางได้จัดการเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของร้านกับชายชราเป็นที่เรียบร้อย และต่อจากนี้ไปเรือนหลังนั้นก็จะเป็นของนางแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์วาดภาพแบบและบอกกล่าวรายละเอียดในนั้นให้กับหลิงจื่อเซวียน ครั้นเขาได้ฟังสิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์บอกเล่าในส่วนสำคัญหลายที่ และจดจำรายละเอียดไว้ในใจอย่างจริงจัง ก็ปรากฏมีความคาดหวังรอคอย หากห้องสุขาที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวถึงนั้นสามารถสร้างได้สำเร็จ ต่อไปการเข้าห้องสุขาก็จะสะดวกมากขึ้น ยังมีห้องอาบน้ำ รวมถึงเตียงขนาดใหญ่แบบที่กำหนดเอง… ฟังดูแล้วน่าสนใจยิ่ง
ในช่วงนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ที่เรือน พวกเขาไม่ได้พบชายหนุ่มมาเป็นเวลานานมากแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ไปหาเขาที่บ้านหลายครั้ง แต่ว่าก็ไม่เคยพบเขา ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่น แม้แต่เตียงหลังใหญ่ที่เขานอนก็มีฝุ่นปกคลุม เห็นได้ว่าเขาไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานานแล้ว สำหรับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์จะก้าวก่ายได้
“ยังไม่กลับอีกหรือ! ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยพึมพำ
ทันใดนั้น เงาสีดำหนึ่งสายก็กระโดดเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์สัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไม่คุ้นเคย นางหลบด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็ยื่นฝ่ามือออกไปจับเงาดำสายนั้น
ร่างของเงาดำมีความว่องไวเป็นเยี่ยม เขาหลบหลีกการเคลื่อนไหวของหลิงมู่เอ๋อร์ไปได้ จากนั้นจึงกระโดดไปด้านตรงข้ามกับนาง
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหนุ่มซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นั้นจะแต่งสตรีแล้ว? ” บุคคลที่พูดนั้นเป็นชายหนุ่ม ฟังเสียงของเขาน่าจะอายุไม่มาก น้ำเสียงที่พูดของเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาและซั่งกวนเซ่าเฉินรู้จักกันและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเขาปิดบังใบหน้าเอาไว้ และซ่อนตัวอยู่ในบ้านของซั่งกวนเซ่าเฉิน จึงไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือมิตร ในแววตาของเขาไม่มีความมุ่งร้าย น่าจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
“เจ้ามาทำสิ่งใดในเรือนของพี่ใหญ่ข้า? หรือว่าจะเป็นโจรที่มาขโมยของ? ”หลิงมู่เอ๋อร์จงใจกล่าวเช่นนั้น
ชายผู้นั้นถลึงตาจ้องไปที่นาง ชี้มาที่ตนเองแล้วกล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นโจรที่หน้าตาดีเช่นนี้หรือ? ”
หลิงมู่เอ๋อร์พินิจมองไปที่ชายที่อยู่ข้างหน้า ชายผู้นั้นสูงหนึ่งหมี่เก้า [1] มีรูปร่างคล้ายกับนายแบบที่ดูผอมเมื่อสวมใส่อาภรณ์และมีรูปร่างดีเมื่อถอดอาภรณ์ ดวงตาแวววาวคู่นั้นสว่างเจิดจ้า มองดูท่าทางแล้วดูดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาปิดบังหน้าไว้ มองไม่เห็นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ว่าเขามั่นใจในหน้าตาตนเองมากขนาดนั้น คาดว่าหน้าตาคงไม่เลว
“หน้าตาดำสนิท ราวกับเศษผ้าขี้ริ้วก็มิปาน เช่นนี้ก็เรียกว่าหน้าตาดีหรือ? ” หลิงมู่เอ๋อร์จงใจเอ่ยวาจาเยาะเย้ยถากถาง
ชายผู้นั้นตะลึงงัน เขาแตะที่ใบหน้าของตนเอง แล้วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นคลุมใบหน้าอยู่ เขาดึงผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าสตรี
ผิวพรรณของชายผู้นั้นดีอย่างถึงที่สุด ผิวเนียนนุ่มละเอียดที่กล่าวมาไม่ใช่ความงดงามบอบบางดั่งสตรี แต่มันถูกบรรจงสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ แม้ว่าผิวพรรณของหลิงมู่เอ๋อร์จะเปลี่ยนไปมากหลังจากดื่มน้ำและกินสิ่งของจากในมิติไปจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่ดีเท่าชายผู้นี้แม้แต่ผีกเดียว ความงดงามดั่งบุปผาและจันทราของชายนี้เป็นโดยธรรมชาติ หากเปลี่ยนไปแต่งกายด้วยอาภรณ์ของสตรี บุรุษใต้หล้าล้วนต้องลุ่มหลงอย่างแน่นอน
ไม่แปลกใจที่เขาจะมั่นใจขนาดนี้ ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา เขามีต้นทุนของความมั่นใจในตนเองอย่างแท้จริง ทว่า นางจะไม่ยอมรับมัน ดวงตาของชายผู้นี้อยู่บนศีรษะแล้ว หากชื่นชมเขาเพิ่มอีก หางของเขาจะไม่ชี้ขึ้นฟ้าหรือ?
“หน้าตาก็ดูเฉยๆ ไม่พิเศษอันใด ยังไม่หล่อเหลาเท่าพี่ใหญ่ของบ้านพวกข้า ช่างไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด? ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา
“พี่ใหญ่ของพวกเจ้า? ก็คือซั่งกวนเซ่าเฉินเจ้าเด็กหนุ่มผู้นั้น? คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะบอกว่าเขารูปหล่อกว่าข้า? ” ชายผู้นั้นได้รับความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาถลึงตาจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ ใบหน้าที่เต็มไปความไม่เชื่อ “เจ้ามีแววตาแบบใดกันแน่? ดวงตาของเจ้ามีไว้เป็นของประดับกระมัง? อันที่จริงแล้วเป็นดวงตาปลอมคู่หนึ่งเท่านั้นใช่หรือไม่? หรือจริงๆแล้ว เจ้ามองไม่เห็นมาโดยตลอด? เจ้าจะสบประมาทเหยียดหยามคุณชายอย่างข้าได้อย่างไร? ”
“เอาล่ะ ข้าไม่อยากพูดจาไร้สาระให้มากความ พี่ใหญ่ของข้าล่ะ? เจ้านำเขาไปซ่อนไว้ที่ใดแล้ว? ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ “พี่ใหญ่ของข้าไม่ได้กลับมาที่เรือนเป็นเวลานานแล้ว เจ้าน่าจะเคยพบเขากระมัง! หรือว่า เขาถูกเจ้าทำร้ายไปแล้ว? ”
“สาวน้อย เจ้าอย่าได้พูดไปเรื่อย ผู้ใดจะทำร้ายท่านพญายมอย่างเขาได้ เขาไม่ทำร้ายผู้อื่นก็ดีเพียงใดแล้ว” ชายผู้นั้นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุผลที่เขาไม่กลับมาก็เพราะไปทำเรื่องชั่วร้ายอย่างไรเล่า ข้าจะบอกเจ้าให้ ที่จริงแล้วพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนไร้ยางอาย คบชู้สู่ชาย หลอกลวงต้มตุ๋น ฉกชิงปล้นฆ่า ผิดประเวณี……”
ทันใดนั้น ชายผู้นั้นก็รู้สึกหนาวๆ ที่ลำคอ ร่างทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็งด้วยน้ำแข็งก็มิปาน เขาหุบปากและมองบุรุษคนผู้นั้นที่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยความตกใจ
บุรุษผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา และขณะที่เคลื่อนย้ายสายตาไปมองหลิงมู่เอ๋อร์ นัยน์ตาของเขาก็อ่อนโยนลง “เจ้าเคยมาหาข้า?”
หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเห็นคนที่ประตู และจำได้ว่าเขาเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ นางแบะปากและกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าพร่ำหาถึงท่านทั้งวัน ถามข้าว่าท่านย้ายออกไปแล้วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ได้พบท่านมานานถึงเพียงนี้ ข้าจะบอกนางได้อย่างไร? ตอนนี้นางปฏิบัติต่อท่านเหมือนกับบุตรชายของตนเองไปแล้ว ไม่ได้เจอท่านหนึ่งวัน นางก็เป็นห่วงด้วยความคิดถึงจนแทบไม่ไหว ต่อไปหากท่านจะไปไกลจากบ้าน ช่วยบอกกล่าวแก่นางก่อนสักนิดได้หรือไม่ นางจะไม่ต้องเป็นห่วงอยู่อย่างนั้น”
“ขออภัย เป็นข้าที่สะเพร่าไป ข้าคิดว่าจะกลับมาในวันรุ่ง คิดไม่ได้ว่าการไปในครั้งนี้จะใช้เวลาเป็นสิบวัน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“เฮ้ เฮ้… พวกท่านยังเห็นข้าอยู่หรือไม่? เฮ้ ญาติผู้พี่ที่รัก ท่านเห็นญาติผู้น้องที่น่ารักอย่างข้าหรือไม่? ” ชายผู้นั้นตะโกนเสียงดัง
ซั่งกวนเซ่าเฉินชำเลืองมองชายผู้นั้นหนึ่งที เอ่ยอย่างเหน็บแนม “มิกล้า ข้าเป็นเพียงคนไร้ยางอาย คบชู้สู่ชาย หลอกลวงต้มตุ๋น ฉกชิงปล้นฆ่า ผิดประเวณี จะเป็นญาติผู้พี่ของนายน้อยหนานกงได้อย่างไร? นายน้อยหนานกงมองผิดไปแล้วใช่หรือไม่? ”
หนานกงอี้จือลูบแก้มอย่างทำตัวไม่ถูก หัวเราะฮ่าฮ่าพลางเอ่ย “พี่ชายที่รักของข้า เมื่อสักครู่ก็แค่จงใจทำให้แม่นางน้อยสนุกสนานเท่านั้น สิ่งที่พูดล้วนเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ไม่นับเป็นจริง”
“เรื่องล้อเล่น? ” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วมองไปที่ชายตรงหน้านาง “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ไม่ชอบข้า จึงคิดจะใช้คำพูดเช่นนี้ทำให้ข้ากลัว ข้ามองไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็นเรื่องตลก พี่ใหญ่ เขากำลังใส่ร้ายท่าน ทั้งยังทำให้ข้ากลัว พวกเราโยนเขาออกไปเถิดเจ้าค่ะ! ”
เชิงอรรถ
[1] หมี่ (米) เมตร , หนึ่งหมี่เก้า หมายถึง หนึ่งร้อยเก้าสิบเมตร