เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 42 เก็บเงิน
เล่มที่ 2 บทที่ 42 เก็บเงิน
บนโต๊ะมีเหรียญทองแดงเป็นพวงๆ วางอยู่ ทั้งหมดมีอยู่หลายสิบพวง แต่ละพวงมีเหรียญทองแดงหนึ่งพันเหรียญซึ่งเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน สุดท้ายแล้วนับออกมาได้สามสิบพวงและบวกเพิ่มนอกเหนือจากนั้นอีกเจ็ดร้อยเหรียญทองแดง นอกจากนั้นยังมีก้อนหยวนเป่า [1] เงินสี่สิบตำลึง สี่สิบตำลึงเงินนั้นได้มาจากในมือของชายฉกรรจ์สามคนที่มาหาเรื่องนางก่อนหน้านั้น เดิมทีคือห้าสิบตำลึงเงิน แต่ตอนสั่งทำเข็มเงินใช้ไปสิบตำลึงเงิน จึงเหลือเพียงเท่านี้
กล่าวได้ว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวพวกเขาล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว รวมทั้งหมดเจ็ดสิบตำลึงเงินกับเจ็ดร้อยสิบสองเหรียญทองแดง
หยางซื่อ หลิงต้าจื้อ หลิงจื่อเซวียน หลิงจื่ออวี้และหลิงมู่เอ๋อร์ต่างพากันนิ่งอึ้งไป
ทั้งครอบครัวต่างไม่เคยเห็นเงินมากมายอย่างนี้มาก่อน ภายในระยะเวลาอันสั้นหนึ่งวันพวกเขาก็หาเงินได้มากขนาดนี้ ถ้าหากขายต่อไปเรื่อยๆ เรื่องการซื้อร้านค้าในตัวเมืองก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
“มู่เอ๋อร์ เงินทั้งหมดในบ้านล้วนให้เจ้าเป็นคนจัดการ” หยางซื่อแย้มรอยยิ้มสว่างไสวออกมา “เจ้าเป็นคนหาเงิน ให้เจ้าเป็นคนดูแลจัดการเรื่องในบ้าน”
“ท่านแม่ แต่ว่าข้าเป็นบุตรสาว ภายหลังต้องแต่งงานออกไป ท่านไม่กลัวข้าจะนำเงินไปด้วยหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เมื่อถึงตอนนั้นพวกท่านก็คว้าน้ำเหลวน่ะสิเจ้าคะ”
“เดิมทีเงินนี้ก็เป็นเจ้าที่หามา ต่อให้เจ้าจะเอาไป นั่นก็ถือว่าสมควรแล้ว” หลิงต้าจื้อที่สูบใบยาสูบอยู่เอ่ยอย่างใจเย็น
สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์กวาดผ่านพวกเขาคนในครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า แววตาของพวกเขาทุกคนใสบริสุทธิ์ ไม่มีความโลภหรือการคิดร้ายใดๆ สิ่งที่หยางซื่อกล่าวเมื่อครู่ ทุกคนล้วนรู้สึกว่ามันสมควรที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น หลิงมู่เอ๋อร์จึงมั่นใจได้อีกครั้งว่าครอบครัวนี้คุ้มค่ากับการพึ่งพา ทั้งหมดที่นางได้ทำเพื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่คุ้มค่า
“เจ็ดสิบตำลึงเงินดูเหมือนว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่จริงๆ แล้วไม่พอใช้แม้แต่น้อย พวกเราเก็บเงินไว้ก่อนเพื่อใช้เป็นทุนในการเริ่มต้นของกิจการ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะหาพี่ใหญ่ถามเรื่องเงินค่าเช่า ทีแรกไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่คิดว่าการค้าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในเมื่อมีเงินแล้วพวกเราก็เช่าร้านในตัวเมือง ที่ดีสุดต้องมีเรือนอยู่ด้านหลัง เช่นนี้ถ้าหากพวกเราเหนื่อยแล้วก็สามารถพักอยู่ในเมืองโดยไม่ต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้ได้เจ้าค่ะ รอให้พวกเราเก็บเงินได้เพียงพอค่อยซื้อร้านค้าในเมือง จากนั้นก็ซื้อเรือนสักหลัง”
“เมื่อก่อนพวกเราไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงชีวิตเช่นนี้เลย ตอนนั้นแม้แต่ข้าวยังกินไม่อิ่ม รู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ลำบากมากในทุกวัน บางครั้งก็คิดที่จะจบชีวิตไปเสียเช่นนี้จริงๆ แต่เมื่อคิดว่าถ้าพวกข้าจากไปพร้อมกัน ลูกหลานอย่างพวกเจ้าจะอยู่กันอย่างไร?จึงต้องประคับประคองชีวิตให้รอดไปในแต่ละวันแล้วยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันที่มู่เอ๋อร์นำพาชีวิตที่ดีเช่นนี้มาให้กับพวกเรา มู่เอ๋อร์ ความต้องการของแม่นั้นมีไม่มาก ความร่ำรวยมีเกียรติอันใด ข้าไม่กล้าคิดมาก่อน เงินเจ็ดสิบตำลึงเงินในมือบัดนี้ พวกเรานำมาสร้างบ้านสักหลังและที่เหลือก็เก็บไว้ค่อยๆ นำออกมาใช้จ่าย เช่นนี้ก็จะใช้ได้ไปถึงแปดปีสิบปี ในช่วงเวลาแปดปีสิบปีนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไปแล้ว” หยางซื่อเอ่ยพลางทอดถอนใจอย่างหดหู่
“แม่ของลูก อย่าพูดคำพูดไม่ดีพวกนั้นเลย มู่เอ๋อร์มีอนาคตที่สดใสพวกเราควรดีใจถึงจะถูก เงินเหล่านั้นเป็นลูกที่หามา นางอยากจะวางแผนจัดการอย่างไรก็ย่อมได้ ถ้าหากเกิดขาดทุนเสียหายขึ้นมาแล้ว อย่างมากก็แค่กลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ข้ายังหนุ่มยังแน่นอยู่ สามารถออกไปทำงานหาเงินได้” หลิงต้าจื้อจับมือของหยางซื่อพลางกล่าว “ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี จะไม่ให้เจ้าทนหิวอีกแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อมั่นในตัวข้าหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
หยางซื่อรีบร้อนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ แม่เพียงแค่…เกรงกลัวต่อความจนเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่ ท่านสนใจเพียงแค่รอใช้ชีวิตที่ดีก็พอแล้วเจ้าค่ะ วันข้างหน้าจะมีแต่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อด้วยความแน่วแน่
หยางซื่อยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน
“ถ้าอยากจะเปิดร้าน พวกเราแค่ไม่กี่คนรับมือไม่ไหวเป็นแน่ ท่านแม่ต้องอยู่ในครัวคอยเป็นลูกมือข้า ข้าคนเดียวไม่อาจรับมือกับปริมาณอาหารของลูกค้ามากมายขนาดนั้นแน่นอน บาดแผลที่ขาของพี่ชายยังคงต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง ช่วงระยะเวลานี้พี่ชายยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะฉะนั้น ท่านทำได้แค่เฉพาะงานที่เบาๆ เท่านั้น อวี้เอ๋อร์ก็อย่าได้วิ่งซุกซนไปมา เมื่อเปิดร้านแล้วทุกคนต่างยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นกันหมด จึงไม่มีเวลามาดูแลอวี้เอ๋อร์ รอให้ข้าเก็บเงินอีกสักสองสามวัน และหากว่าเก็บเงินได้สักหนึ่งร้อยตำลึงเงินแล้ว ข้าก็จะให้อวี้เอ๋อร์ไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเอกชนเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะให้อวี้เอ๋อร์เข้าเรียน?” หลิงต้าจื้อมองที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างตกตะลึง “ค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนไม่น้อยเลย!เจ้าดูท่านปู่ท่านย่าของเจ้าเถิด คนในครอบครัวตั้งหลายคนส่งหลิงจื่อจวิ้นเล่าเรียนได้เพียงผู้เดียว ว่ากันว่าตอนที่พวกเขาต้องส่งมอบของกำนัลของทุกๆ ปี คนทั้งครอบครัวต้องนำเงินที่เก็บออมทั้งหมดมารวมกันถึงจะเพียงพอจ่ายให้หลิงจื่อจวิ้นผู้เดียว”
“ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เจ้าค่ะ เรื่องหาเงินเป็นหน้าที่ของข้าและพี่ชาย น้องชายมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือก็พอ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ย “ใช่แล้ว รอให้เปิดร้านสำเร็จ พวกเราก็ไปรับท่านยายกับท่านลุงมาอยู่ที่นี่ ครั้นถึงตอนนั้นก็ให้ท่านลุงช่วยงานในร้านของพวกเราเถิด! พวกเขาพักอยู่ในร้านก็พอแล้ว เช่นนี้พวกเราก็สามารถช่วยกันดูแลเสี่ยวหู่ได้ ยังมีเรื่องดวงตาของท่านยาย ตอนนี้ข้ามีเงินที่จะซื้อสมุนไพรและสามารถช่วยรักษาดวงตาให้ท่านยายได้แล้วเจ้าค่ะ”
“มู่เอ๋อร์ ดาวนำโชคดวงน้อยของข้า” หยางซื่อกอดหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความซาบซึ้ง
“เช่นนั้นก็จัดการตามนี้” หลิงต้าจื้อกล่าว “มู่เอ๋อร์ เกี๊ยวที่จะขายในวันพรุ่งนี้ยังห่อไม่เสร็จใช่หรือไม่?ตอนบ่ายพวกเราไม่ได้ทำเรื่องอันใดก็มาห่อเกี๊ยวกันเถิด”
“ตกลงเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับ “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะสอนทุกคนห่อเกี๊ยว”
ผ่านไปสักพัก ทุกคนทั้งบ้านนั่งล้อมวงห่อเกี๊ยวด้วยกัน
หยางซื่อห่อเกี๊ยวไปพลางเอ่ยถามไปพลาง “มู่เอ๋อร์ ผักพวกนั้นของเจ้าเก็บมาจากที่ใดกัน ดูไปแล้วสดใหม่เอามากๆ ฤดูกาลในตอนนี้ยังมีผักที่เขียวสดขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์เดาได้นานแล้วว่าหยางซื่อจะต้องถามเรื่องนี้ หลิงต้าจื้อไม่มีความรู้ในเรื่องของสวนผัก แต่หยางซื่อกลับรู้เป็นอย่างดี
“ท่านแม่ นั่นซื้อมาจากร้านของผู้เฒ่าท่านหนึ่งเจ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่าบอกว่านางอาศัยอยู่บนภูเขา ที่นั่นมีน้ำพุร้อนอยู่บ่อหนึ่ง นางอาศัยอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว ไม่มีคู่ชีวิตและไม่มีลูกสาว จึงต้องปลูกพืชผักเลี้ยงชีพด้วยตนเอง นางเห็นว่าอากาศที่นั่นดีก็เลยลองปลูกผักดู นึกไม่ถึงว่าจะปลูกได้รอดเจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นางเลยปลูกพืชผักหลายอย่าง” หลิงมู่เอ๋อร์เตรียมเหตุผลมาอย่างดีแล้ว ถ้าหยางซื่อถามว่าสถานที่ที่หญิงชราผู้นั้นอยู่ที่ใด นางก็จะบอกว่าตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นหญิงที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว นางไม่อาจล่วงรู้ได้ทุกเรื่อง
“สวรรค์ช่างมีจิตใจเมตตากรุณาจริงๆ พระองค์จะไม่ยอมให้ผู้คนตกอยู่ในสภาพที่อับจนไร้หนทาง มักจะมีโอกาสหนทางรอดให้เขาเสมอ ก็ต้องดูว่าเขาจะไขว่คว้าโอกาสนั้นอย่างไร มู่เอ๋อร์ ผักที่เจ้าซื้อมาจากผู้เฒ่าท่านนั้นก็ให้ตำลึงนางมากสักหน่อย นางอาศัยอยู่บนภูเขาคนเดียว ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ” ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของหยางซื่อเริ่มเอ่อล้นอีกครั้งแล้ว
โชคดีที่เป็นผู้เฒ่าที่ไม่มีตัวตนจริง ต่อให้นางจะเห็นอกเห็นใจเพียงใดก็หาคนไม่พบ
หลิงมู่เอ๋อร์คล้อยตามคำของนาง เรื่องนี้ไม่อาจเปิดเผยออกไปได้ ทุกคนทั้งบ้านต่างลองห่อเกี๊ยวกัน แม้แต่หลิงจื่ออวี้ก็ยังเข้าร่วมในกิจกรรมด้วย
เพิ่งได้เริ่มเรียนห่อเกี๊ยวไปเมื่อสักครู่ รูปร่างที่ห่อออกมานั้นดูไม่น่ามอง หลิงมู่เอ๋อร์เอาเกี๊ยวที่มีรูปร่างแปลกประหลาดเก็บไว้กินเอง ถึงอย่างไรหลิงจื่ออวี้ก็ชอบกินเกี๊ยว จึงเก็บเกี๊ยวเหล่านั้นเอาไว้กินได้หลายมื้อ หลิงจื่ออวี้ก็ไม่มีทางเบื่อแน่นอน วันนี้ขณะที่อยู่แผงขายหลิงจื่ออวี้กินเกี๊ยวคนเดียวไปถึงสองถ้วย
“ท่านแม่ พี่ใหญ่น่าจะกลับมาแล้ว ข้าไปหาเขาสักหน่อยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหยางซื่อกับหลิงต้าจื้อห่อได้เข้ามือแล้ว พร้อมทั้งยกตำแหน่งอาจารย์สอนให้กับพวกเขา ให้พวกเขาสอนพี่น้องคู่นั้นต่ออีกที
“แม่ของลูก เจ้าว่าหลิงมู่เอ๋อร์กับเฉินเอ๋อร์…มีความเป็นไปได้หรือไม่?” หลิงต้าจื้อมองทอดเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ที่เดินจากไป
“ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ บุตรสาวของพวกเราก็ไม่ด้อย ทำเหมือนกับว่าบุตรสาวของพวกเราจะแต่งไม่ออก ต้องพึ่งพาเขาผู้เดียวอย่างไรอย่างนั้น” หยางซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจ “ห่อเกี๊ยวของท่านต่อไปเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินบนถนนเส้นเล็กๆ ของหมู่บ้านชนบท สัมผัสได้ถึงอากาศที่สะอาดสดชื่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถูมือที่แข็งเย็นยะเยือกแล้วเดินมุ่งหน้าไปทิศทางบ้านของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ช่วงระยะนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินล้วนมาทานข้าวที่เรือนของพวกเขา ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งเป็นอย่างยิ่ง ออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาดึกๆ ทุกวัน
หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว เนื่องจากซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ นางจึงตัดสินใจเข้าไปรอเขาอยู่ด้านในเรือน และถือโอกาสนี้สำรวจภายในเรือนของซั่งกวนเซ่าเฉินว่าเป็นอย่างไร
ครั้งที่แล้วตอนที่เข้ามา นางเห็นห้องครัวของซั่งกวนเซ่าเฉินเละเทะไปหมด ครั้งนี้ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินยุ่งมากกว่าเมื่อก่อน เกรงว่าห้องครัวน่าจะรกมากกว่าเดิม
นางมองการจัดวางข้าวของภายในห้องครัว แล้วส่ายศีรษะเบาๆ
ห้องครัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง และหม้อสีดำปิ๊ดปี๊ใบนั้นที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว แล้วมองดูโอ่งที่มีน้ำอยู่เต็มภายในนั้น แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น
นางเดินหาผ้าและเริ่มทำความสะอาดห้องครัว หลังจากนางทำความสะอาดตรงนี้เสร็จ ครั้นมองห้องโถงใหญ่รวมถึงห้องนอนที่รกและสกปรกเช่นเดียวกันก็เกิดขัดหูขัดตาไปหมด ด้วยเหตุนี้โรคย้ำคิดย้ำทำของนางก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง นางเริ่มทำความสะอาดห้องโถงและห้องนอนอีกครั้ง หลังจากที่นางทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า แต่เวลานี้นางก็รู้สึกปวดเอวปวดหลังได้เหมือนกัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนอยู่หน้าประตู มองดูหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำจัดวัชพืชด้วยมือเปล่าที่ลานบ้าน ดวงตาของเขาฉายประกายมืดครึ้ม
“เหตุใดถึงได้ลงมือทำเรื่องเช่นนี้เล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ตั้งแต่ที่ซั่งกวนเซ้าเฉินเดินเข้ามาจากประตูนานแล้ว เพียงแต่งานในมือยังทำไม่เสร็จ นางจึงไม่อยากหยุดก็เท่านั้นเอง
“ท่านดูสิว่าในเรือนของท่านเปลี่ยนเป็นสภาพเช่นไรแล้ว?” หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่เปรอะเปื้อน “ท่านไปสังหารคนมาหรือเจ้าคะ?เหตุใดทั้งร่างถึงเต็มไปด้วยเลือด?”
“ช่วงนี้ในเมืองมีนักโทษหลบหนีออกมาผู้หนึ่ง ข้าต้องคอยช่วยตรวจสอบที่หลบซ่อนของมันและเลือดท่วมตัวนี้เป็นของนักโทษที่ทิ้งคราบเลือดเอาไว้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “ข้าขอไปล้างตัวก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้นยืน นวดคลึงเอวของตน
ซั่งกวนเซ่าเฉินหิ้วถังน้ำไปด้านหลังลานบ้าน ตอนนี้อากาศหนาวเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับอาบน้ำเย็นทั้งอย่างนั้น ช่างทำให้ผู้คนไม่นับถือไม่ได้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงถอนหญ้าต่อไป รอจนซั่งกวนเซ่าเฉินเดินออกมา นางก็ถอนหญ้ากำสุดท้ายเสร็จพอดี
“ดินในลานบ้านท่านอุดมสมบูรณ์ดียิ่ง ข้าอยากบุกเบิกพื้นที่ว่างของท่านเพื่อทำสวนผักเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับไป “ช่วงที่สามารถปลูกผักได้ก็จะปลูกพืชผักทุกชนิดในที่นี่ เวลาอยากกินก็ถอนขึ้นมาจากดิน จะต้องอร่อยมากแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“ได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้”
ได้ยินคำอธิบายของนางแล้ว เขาก็ตั้งตารอคอยมากเช่นกัน พื้นที่ลานบ้านของเขากว้างใหญ่มาก แต่ว่างเปล่าเกินไป ไม่มีความชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มเบาๆ พลางกล่าว “พี่ใหญ่ มือปราบที่มาในวันนี้เป็นคนรู้จักของพวกท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้ปิดบังอะไรและไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง ด้วยความเฉลียวฉลาดของนางจะคาดเดาไม่ออกได้อย่างไร?ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเดาไม่ออก แต่ภายหลังก็ต้องได้พบกันอีก “หลังจากนี้มีปัญหาอันใด ขอเพียงแค่เห็นคนที่สวมใส่ชุดแบบนั้น เจ้าสามารถให้พวกเขาช่วยเหลือเจ้าได้”
“พวกท่านมีกี่คนเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“หืม? สิบห้าคน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว
“เช่นนั้น… พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมเกี๊ยวไว้สักจำนวนหนึ่ง ท่านบอกให้พวกเขามาทานนะเจ้าคะ!วันนี้ช่วยข้าเอาไว้ตั้งมากมาย พี่น้องของท่านผู้นั้นไม่ต้องการสิ่งใดก็เดินจากไปแล้ว เดิมทีข้าอยากจะกล่าวขอบคุณเขาสักหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปหาซั่งกวนเซ่าเฉิน นางลูบที่พวงแก้ม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ไอ๊หยา สกปรกจะแย่แล้ว ข้าจะกลับไปอาบน้ำที่บ้านแล้วเจ้าค่ะ จริงสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ข้าอยากไปดูร้านค้าสักหน่อย ท่านว่าพอจะมีร้านค้าสักหนึ่งแห่งให้เช่าได้ใช่หรือไม่? ถ้าพรุ่งนี้ท่านไม่มีธุระอันใดก็ขอรบกวนช่วยพาข้าไปดูสักหน่อย!พรุ่งนี้ตอนสายๆ พวกเราทำงานเสร็จแล้วก็ไปดูกันเถิดเจ้าค่ะ ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินทอดมองหลิงมู่เอ๋อร์วิ่งจากไป เสียงของนางดังลอยมาจากระยะไกลๆ
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นิสัยรีบร้อนเช่นนี้ ไม่เหมือนท่านพ่อท่านแม่ของนางเลยสักนิด”
แต่ว่า นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวนาธรรมดาจริงๆ หรือ?ความสามารถพวกนั้นร่ำเรียนมาจากที่ใดกันแน่?เขาเคยส่งให้คนไปสืบมา นางในอดีตเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัว แม้กระทั่งโต้เถียงกับผู้อื่นยังไม่กล้า นิสัยของนางเปลี่ยนไปมากหรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่านางผ่านเรื่องราวอะไรมากันแน่ ถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
เชิงอรรถ
[1] หยวนเป่า (元宝) หมายถึง เงินจีนในสมัยโบราณประเภทหนึ่ง หยวนเป่ามีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้าย ๆ เรือตรงกลาง ตรงกลางแต่เดิมแบนราบ ภายหลังได้ทำให้มันนูนป่องขึ้นตรงกลาง ด้านข้างของเงินหยวนเป่าจะนิยมแกะสลักลวดลายมงคลแบบต่างๆ และมักจะมีอักษรมงคลสลักไว้ด้านข้าง