เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 31 ท่าทีอันดี
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 31 ท่าทีอันดี
เล่มที่ 2 บทที่ 31 ท่าทีอันดี
ท่าทีอันดีของฟู่หงหลินนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง จุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใด ผู้คนในที่นี้ล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา แม้แต่หลิงฉี่ไห่ก็รู้ถึงจุดประสงค์ของชายชราผู้นี้
หลิงฉี่ไห่ใช้ดวงตาที่ปราดเปรียวคู่นั้นพินิจพิเคราะห์มองหลิงมู่เอ๋อร์ ท่าทางราวกับครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เด็กหญิงผู้นี้สามารถรักษาคนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ดูท่าทีของชายชราผู้นี้แล้ว แสดงว่าวิชาแพทย์ของนางยังดีมากด้วยกระมัง? ทั้งวันนางอยู่แต่ในหมู่บ้าน ยามปกติหากไม่เก็บฝืนก็ทำงานในไร่นา ไหนเลยจะมีเวลาไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ได้? ถึงแม้ว่านางจะแอบเรียนวิชาแพทย์อย่างลับๆ ทว่าผู้ใดเป็นคนสอนนาง? ถ้าเกิดว่ามีคนที่มีฝีมือล้ำเลิศเช่นนี้โผล่มา เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันจะไม่รู้เรื่อง ทว่าในหมู่บ้านก็ไม่เคยมีข่าวลือมาก่อน
ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองความหงุดหงิดของหลิงมู่เอ๋อร์ออก ในเมื่อได้พูดคุยไปพอประมาณแล้ว ก็สมควรคิดเงินให้เรียบร้อยและจากไปได้แล้ว
“เมื่อครู่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวว่าค่ายาทั้งหมดนับรวมกันแล้วไม่เกินสองตำลึงครึ่ง นี่คือสามตำลึงเงิน พวกเจ้ารับไป อย่าได้หาว่าพวกข้าเอารัดเอาเปรียบพวกเจ้า” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินเย็นยะเยือก คำที่เอ่ยออกมานั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ราวกับน้ำแข็ง
เมื่อครู่ฟู่หงหลินเองก็เหลือบไปมองชายชาตรีร่างกายแข็งแรงกำยำ ผู้แผ่กลิ่นอายรัศมีอันตรายไปทั่วทั้งร่างเช่นกัน เพียงแต่การกระทำของหลิงมู่เอ๋อร์นั้นดึงดูดความสนใจจากเขาไป ทำให้เขาหลงลืมว่ามีชายหนุ่มอยู่ตรงนี้ด้วย ตอนนี้ที่เขาเอ่ยขึ้นมา ทำให้เขาให้ความสนใจกับชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ก็ทำให้เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาทันที
บุรุษผู้นี้…เหตุใดหน้าตาถึงดูละม้ายคล้ายคลึงกับดาวมารในเมืองหลวงขนาดนั้น? ถึงแม้ว่าดาวมารผู้นั้นจะรูปงามกว่านี้ ทว่านี่มันช่างคล้ายกันเกินไปหรือไม่? หรือว่า…จะมีความเกี่ยวข้องอันใดกัน?
ไม่ไม่ไม่ บุรุษผู้นี้ดูหยาบกระด้าง จะมีความเกี่ยวข้องกับคนสูงศักดิ์แบบนั้นได้อย่างไรกัน? สิ่งของมีด้านที่คล้ายคลึงกัน มนุษย์ก็มีความคล้ายกัน นี่ก็ไม่มีอันใดน่าแปลกใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าฟู่หงหลินจะโต้แย้งการคาดเดาในใจไปแล้ว แต่ก็ยังคงถูกทำให้ขวัญหนีดีฝ่ออยู่ดี เดิมทีเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับดวงตาคู่นั้น ทุกครั้งที่สบสายตาก็รู้สึกเหมือนกับถูกดาวมารผู้นั้นจ้องมองอยู่
“ได้ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” แพทย์หลวงวัยเกษียณ ผู้ซึ่งภาคภูมิใจในวิชาแพทย์อันปราดเปรื่องเหนือชั้นของตน และอาศัยความอาวุโสจึงไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ตอนนี้เหมือนกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่ตกใจกลัวจนกายสั่นระริกไปทั้งร่าง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ หรือว่าชายชราผู้นี้เป็นโรคที่รักษายากอันใด?
เมื่อครู่นางแสดงท่าทางหยาบคายขนาดนั้น ผู้ชราเพียงตอบโต้อย่างเป็นธรรมชาติตามเดิม ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะอยากจะรู้ให้ได้ว่า ‘อาจารย์’ ของนางคือยอดฝีมือจากแห่งหนใดจึงปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพขึ้นมาบ้าง ทว่าก็ยังมีความถือดีและความมั่นใจในตนเองสูงอยู่ อย่างไรก็ตามภายในเวลาอันสั้นนี้เขากลับหวาดกลัวจนหัวหด คล้ายกับถูกทำให้ตระหนกตกใจ นี่มันไม่แปลกเกินไปแล้วหรือ? นอกจากว่าร่างกายของเขาจะป่วยก็ไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่านี้ได้อีกแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินอุ้มหลิงต้าจื้อขึ้น สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไปด้านนอก หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหยางซื่อ หลิงฉี่ไห่อุ้มหลิงจื่อเซวียนเดินตามพวกเขาไป หลิงจื่ออวี้เดินตามรั้งท้ายอยู่ด้านหลังพวกเขา
หลิงจื่อเซวียนไม่ได้กล่าวอันใดมาโดยตลอด ประการที่หนึ่งคือเขาแทรกบทสนทนาไม่ได้ ประการที่สองคือเขาไม่ทราบว่าจะต้องกล่าวอันใด
น้องสาวเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง ปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติในวันนี้ นอกจากเขาจะเป็นภาระให้นางแล้ว จะยังทำสิ่งใดได้อีก? ดังนั้น การอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่สร้างปัญหาให้แก่นางย่อมดีที่สุด
หลิงจื่อเซวียนอิจฉาซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นอย่างยิ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินเก่งกาจถึงขนาดนี้ ทำให้น้องสาวยินยอมเรียกขานเขาว่าพี่ใหญ่ด้วยความเต็มใจ ถ้าหากมีวันหนึ่ง เขาสามารถเป็นเช่นนี้ได้ เช่นนั้นจะดีขนาดไหนกันนะ…
หลิงจื่อเซวียนลูบขาที่บาดเจ็บ เมื่อครู่สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ตอนที่นางตรวจสอบขาของเขา ทำให้ในใจของเขาเป็นทุกข์ น้องสาวเดือดดาลเช่นนี้ นอกจากเพราะท่านพ่อท่านแม่ที่โดนทุบตีแล้ว สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือขาของเขา นางกลัวว่าขาของเขาจะไม่สามารถรักษาให้หายดีได้อีกต่อไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของหลิงจื่อเซวียนย่อมถูกทำลายจนหมดสิ้นในคราเดียว สิ่งเหล่านั้นเขาล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงรู้สึกขอบคุณน้องสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก ถ้าหากสาเหตุเพราะเรื่องนี้ทำให้น้องสาวถูกรังเกียจเมินเฉยจนภายหลังไม่มีผู้ใดยินดีที่จะแต่งกับนาง เขาจะเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิตเอง
“ท่านอาจารย์…” ซานเอ๋อร์มองไปที่ฟู่หงหลิน
หลังจากที่ซั่งกวนเซ่าเฉินจากไปฟู่หงหลินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายกน้ำชาขึ้นมา ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ อึกอึก! หลังจากดื่มน้ำหมดไปรวดเดียว หยาดน้ำก็ไหลออกจากมุมปากของเขา
“ไม่ได้ ข้าต้องไปหาคำตอบให้กระจ่าง ถ้าหากไม่ใช่ดาวมารผู้นั้น ข้าจะกลัวขนาดนั้นไปเพื่ออันใด? ดูจากเสื้อผ้าบนกายของเขา ก็เป็นแค่ยาจกธรรมดาผู้หนึ่ง” ฟู่หงหลินถลึงตาเอ่ย
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้จะทำอย่างไรขอรับ? ” ซานเอ๋อร์กล่าวอย่างเสียดาย “ยาเหล่านั้นสามารถขายได้หนึ่งร้อยตำลึง ตอนนี้ถูกยาจกเหล่านั้นปล้นไปหมดแล้ว พวกเราไปแจ้งทางการกันเถิดขอรับ! ”
“วันนี้ข้าจะไปตรวจโรคให้นายอำเภอ ประเดี๋ยวข้าจะบอกกล่าวกับเขาสักหน่อย ช่างรนหาที่ตายเสียจริง นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าปล้นของของชายแก่อย่างข้า” ฟู่หงหลินเอ่ยอย่างเยือกเย็น
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินพาทุกคนกลับไปจนถึงหมู่บ้านตระกูลหลิง หลังจากรอให้พวกเขาจัดหาที่พักให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว สีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
หลิงฉี่ไห่รู้จักวางตัวว่าต้องทำอย่างไร หลังจากช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่เรียกร้องขอสิ่งตอบแทน ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยวาจาอันใดก็กลับบ้านไปแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่…” หลิงฉี่ไห่เอ่ยเรียกอยู่ในลานบ้าน “ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
“ไห่เอ๋อร์…” สตรีนางหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านใน บนใบหน้าแก่ชราเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา แม่ตกใจแทบตายแล้ว”
“มีอันใดน่าตกใจกัน? พวกท่านก็ไม่ได้เข้าไปข้างในศาลบรรพชน หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ทุบตีพวกท่าน” หลิงฉี่ไห่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางเอ่ย
“เจ้าจะไปรู้อันใดล่ะ? ” มีบุรุษผู้หนึ่งออกมาพร้อมกับสตรี บนใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับหลิงฉี่ไห่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “หลังจากที่พวกเจ้าไปได้ไม่นาน ก็มีมือปราบมากมายมาที่นี่ จับคนในหมู่บ้านไปจนหมด ทั้งหมู่บ้านเชียว… เหลือไว้เพียงแค่ครอบครัวของพวกเรา… นอกนั้นล้วนถูกจับไปหมดสิ้น คนเหล่านั้นโหดร้ายและน่ากลัว ก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยตัวพวกเขากลับมาเมื่อใด”
ดวงตาของหลิงฉี่ไห่เต็มไปด้วยความตกใจตะลึงพรึงเพริด เขาวางสิ่งของในมือลง อ้าปากพะงาบอึกอักสองที ก่อนกลืนน้ำลายพลางกล่าว “เป็นคนทั้งหมูบ้านจริงหรือขอรับ? เหลือไว้แค่ครอบครัวของพวกเรา? ”
“ก็ใช่น่ะสิ! ตอนนี้พวกเราซวยแล้ว พี่ชายผู้นั้นของนางเด็กนั่นเป็นผู้ใดมาจากที่ใดกันแน่? เมื่อครู่เจ้าไปส่งพวกเขาเข้าเมือง ได้ยินอันใดมาบ้างหรือไม่? ” สตรีนางนั้นเอ่ยถามอย่างตระหนก
“พวกข้าไปเพียงแค่โรงหมอ ระหว่างทางก็ไม่ได้พบเจอผู้ใด จะได้ยินสิ่งใดกันเล่า? ถึงอย่างไรหลิงเอ๋อร์มู่ก็โกรธแค้นทุกคนมาก นางยังกล่าวอีกว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ” หลิงฉี่ไห่กล่าวอย่างตัวสั่นเทา “สวรรค์ทรงโปรด ดูแล้วใต้เท้าท่านนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญจริงๆ ต่อไปพวกท่านก็อย่าได้ไปอวดดีกับครอบครัวของหลิงมู่เอ๋อร์อีกเป็นอันขาด จะต้องปฏิบัติตัวอย่างสุภาพกับหลิงมู่เอ๋อร์ พวกท่านดูนางเป็นเพียงสตรีผู้เดียว ทว่าลงไม้ลงมือได้โหดเหี้ยมกว่าบุรุษเสียอีก ครานี้เพียงเพราะกระต่ายตัวเดียว แม้แต่ชีวิตน้อยๆ ก็เกือบไม่รอดแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกท่านคิดได้อย่างไร”
“อันใดที่เรียกว่าพวกข้ากัน? ควรจะกล่าวว่ายายแก่หวังซื่อผู้นั้นต่างหาก หากไม่ใช่ว่าเป็นนางที่เปลือกตาตื้น [1] เห็นสิ่งใดก็คิดที่จะเอาเข้าบ้านตนเองไปเสียหมด ในตอนนี้ก็คงไม่หาเรื่องเข้ามาใส่ตัวแล้วกระมัง? ” จางซื่อกล่าวเสียงออกทางจมูกแสดงความไม่พอใจ
“ท่านแม่ หลังจากนี้ให้ไปมาหาสู่กับท่านอาสะใภ้หยางให้มากหน่อย” หลิงฉี่ไห่กล่าวเตือน “ข้ากล้ารับรองได้ว่า ครั้งนี้ครอบครัวของหลิงจื่อเซวียนจะต้องรุ่งเรืองขึ้นแล้วจริงๆ ขอรับ”
“ยังจะต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ? ” ในใจของจางซื่อรู้สึกร้อนอกร้อนใจยิ่งนัก “ทำเอาข้าตกใจกลัวแทบตายแล้ว หลังจากนี้ข้าจะนับถือสตรีนางนั้นเป็นบรรพบุรุษ ไม่ได้ขอให้นางนำพาความมั่งคั่งร่ำรวยมาให้พวกเรา ขอเพียงแค่ปรานีต่อพวกเราก็พอแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง ภายในเรือนของหลิงมู่เอ๋อร์
ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์พาทุกคนเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินยังไม่ได้จากไป อย่างไรเสียคนทั้งครอบครัวล้วนได้รับบาดเจ็บ คนเดียวที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระอย่างหลิงจื่ออวี้ก็ได้รับความตกใจกลัว และเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่สามารถหยิบจับอันใดได้ ในบ้านก็มีเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ที่เป็นผู้ใหญ่คนเดียว เขาเป็นห่วงว่านางจะดูแลไม่ไหว
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปทำของกินสักหน่อยนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับซั่งกวนเซ่าเฉิน “ทุกคนล้วนแต่ยังไม่ได้ทานอันใด คาดว่าคงหิวจะแย่แล้ว ประจวบเหมาะกับข้านำปลากลับมาจากบ้านของท่านยายด้วย ข้าจะทำน้ำแกงปลาก่อนเจ้าค่ะ”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปที่โถข้าวของบ้านสกุลหลิง เห็นว่าข้างในนั้นมีแป้งข้าวฟ่างอยู่น้อยนิดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนเอ่ยว่า “ข้าออกไปสักครู่แล้วจะกลับมา”
หลิงมู่เอ๋อร์มองซั่งกวนเซ่าเฉินจากไป นางเช็ดน้ำตาของตน เอ่ยกับหลิงจื่ออวี้ที่อยู่ข้างๆ “น้องเล็ก พี่สาวคนเดียวทำไม่ไหว เจ้าช่วยข้าดูแลท่านแม่และพี่ชายได้หรือไม่? ”
หลิงจื่ออวี้เดิมทีที่ตกอยู่ในภวังค์หวาดกลัวอยู่ ครั้นได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ได้มีสติขึ้นมาใหม่เล็กน้อย เขามองไปที่ทิศทางของห้องนอน จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหลิงจื่ออวี้เดินไปที่ห้องนอนแล้ว นางแอบรู้สึกดีใจเงียบๆ ดูจากสถานการณ์ของหลิงจื่ออวี้แล้ว น่าจะไม่นับว่าร้ายแรงมากเท่าใดนัก
นางตุ๋นน้ำแกงปลาอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นจึงใช้เห็ดที่เหลือมาผัดอาหารอีกอย่าง
ในบ้านไม่มีสิ่งใดให้ทานแล้วจริงๆ วัตถุดิบพวกนี้เป็นวัตถุดิบสุดท้ายแล้ว ทว่ายืนหยัดต่อไปอีกนิด! หลังจากนี้ก็จะดีขึ้นแน่!
ท่านพ่อท่านแม่ถูกทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้ ลงจากเตียงไม่ได้เป็นเวลานาน ขาของพี่ชายยังต้องรักษาอีกสามสี่เดือน หลิงจื่ออวี้ยังเด็กเกินไป ไม่สามารถช่วยงานในบ้านได้ นางทำได้เพียงแบกรับด้วยตัวคนเดียวต่อไป
แต่ว่า ถึงแม้จะเหนื่อยกว่านี้ นางก็จะไม่เสียใจภายหลัง
คนในครอบครัวอ่อนแอเกินไป นางจะคอยอยู่เคียงข้างให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาให้ได้ หลิงจื่ออวี้และหลิงจื่อเซวียนล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาสามารถปลูกฝังได้ ท่านพ่อท่านแม่แม้จะอ่อนแอขนาดไหน แต่ว่ารักนางอย่างสุดหัวใจ ก็สามารถเข้มแข็งเพื่อบุตรสาวได้เช่นกัน
“ข้านำข้าวและแป้งหมี่มาบางส่วน พวกเขาจำเป็นต้องบำรุงร่างกาย จะต้องทานของดีๆ สักหน่อย” ซั่งกวนเซ่าเฉินแบกกระสอบป่านสองกระสอบเดินเข้ามา นำสิ่งของที่อยู่ในกระสอบป่านเทลงไปในโอ่งข้าวสองใบ
หลิงมู่เอ๋อร์มองข้าวสารที่ขาวสะอาดและแป้งหมี่เหล่านั้น ในดวงตาก็ฉายประกายความตื่นเต้น แต่ว่าหลังจากที่นางสงบใจลงแล้ว ก็ยังมีเรื่องให้ต้องกลัดกลุ้มใจอีก ข้าวและแป้งหมี่เหล่านี้รวมกันแล้วเป็นเงินกี่ตำลึงกัน เดิมทีนางก็ติดหนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่แล้วสามตำลึงเงินกว่า ตอนนี้ยังต้องติดหนี้บุญคุณอีก หนี้ที่ต้องชำระนี้ยิ่งมากขึ้นไปอีกแล้ว
“พี่ใหญ่ รบกวนท่านแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์มองซั่งกวนเซ่าเฉิน “ข้าจะหามาคืนท่านแน่ๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ข้าไม่ได้เร่งรัดให้เจ้าคืน เจ้าดูแลคนในครอบครัวเจ้าให้ดีเสียก่อน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “อยากให้ข้าช่วยอันใดอีกหรือไม่? ”
“อืม…ช่วยข้าก่อไฟได้หรือไม่เจ้าคะ? ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีสิ่งใดรอข้าอยู่ อันดับแรกต้องเติมท้องให้อิ่มก่อน กินให้อิ่มดื่มให้พอแล้ว ถึงจะมีเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่นต่อเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะนิ่งๆ พลางกล่าว
ซั่งกวนเซ่าเฉินนั่งอยู่หน้าเตาไฟ เริ่มก่อไฟ
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่แป้งหมี่และข้าวสารเหล่านั้น ในเมื่อตอนนี้มีอาหารกินแล้ว ก็ทำอาหารอร่อยๆ สักหน่อยแล้วกัน! หลังจากหยางซื่อและหลิงต้าจื้อตื่นขึ้นมายังต้องนอนคว่ำไปอีกหลายวัน หลังและก้นล้วนถูกทุบตีจนเป็นบาดแผล ไม่ได้หายเป็นปกติได้ง่ายๆ เมื่อมีเวลาว่างนางค่อยเข้าไปสำรวจดูในมิติ ถ้าหากสมุนไพรด้านในโตแล้ว ก็จะใช้สมุนไพรในมิติไปรักษาให้พวกเขา เช่นนั้นย่อมจะหายได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
ถ้าหากว่ามีเข็มเงินหรือเข็มทองสักชุดก็คงจะดี ขอเพียงแค่นางมีอุปกรณ์รักษาครบชุด นางก็สามารถรักษาบาดแผลให้คนในครอบครัวได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องทนมองสีหน้าของหมอกำมะลอเหล่านั้น
“เริ่มค่ำแล้วจึงไม่ได้ทำอาหารที่ยุ่งยากเกินไป วันนี้ก็ทานเมี่ยนเกอตา [2] ไม่กี่อย่างนี้กันเถิด! ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับซั่งกวนเซ่าเฉิน “พี่ใหญ่ทานเผ็ดหรือไม่เจ้าคะ? ถ้าหากว่ากินรสจัดก็เติมพริกลงไปสักหน่อย”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินรับถ้วยที่หลิงมู่เอ๋อร์ยกมาให้ “ข้าทำเอง เจ้าไม่ต้องดูแลข้าแล้ว”
“เมื่อครู่ตอนที่กลับมา ข้าพบว่าในหมู่บ้านเงียบมากเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าชาวบ้านพวกนั้นจะตกใจกลัวในคำกล่าวของพี่ใหญ่จริงๆ แต่ก็ไม่น่าจะเงียบได้ถึงขนาดนี้นะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เติมเมี่ยนเกอตาไปพลางกล่าวไปพลาง
“พวกเขาน่าจะถูกจับตัวไปแล้ว ข้าเคยบอกว่าจะจับพวกเขา ก็ต้องทำตามอย่างที่กล่าว” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มเยาะ “คนโลภมากไร้ยางอายประเภทนี้ ก็สมควรได้รับบทลงโทษ”
เชิงอรรถ
[1] เปลือกตาตื้น หมายถึง สายตาตื้นเขิน สามารถคิดอ่านได้แบบผิวเผิน
[2] เมี่ยนเกอตา หมายถึง อาหารพื้นเมืองทางเหนือของจีน เป็นการนำแป้งที่ใช้ทำเส้นบะหมี่มาฉีกเป็นชิ้นใส่ในน้ำซุปมะเขือเทศกับไข่