เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 560 ชัยชนะ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 560 ชัยชนะ
เล่มที่ 19 ตอนที่ 560 ชัยชนะ
“รายงาน หลันซือเฮ่อและกองกำลังอีกหนึ่งแสนนายของเขายอมจำนนต่อกองทัพของเราแล้ว และกำลังรอคำสั่งของพระองค์อยู่นอกประตูเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”
แว่วเสียงรายงานเรื่องชัยชนะของทหารดังมาจากนอกประตู ทุกคนที่อยู่ภายในห้องล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ทำได้ดีมาก!”
ใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินมิอาจปิดซ่อนความปิติเอาไว้ได้เลย ดวงตาของเขาหันมองย้อนกลับไปสบกับซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ ”การที่หลันซือเฮ่อยอมถอยทัพ นอกจากจากกลยุทธ์ของมู่เอ๋อร์แล้ว ยังมิอาจขาดความพยายามอันใหญ่หลวงของเสนาบดีซูได้ รอจนกระทั่งสงครามจบลง ข้าจะต้องตกรางวัลให้อย่างงามทีเดียว!”
ซูเช่อรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที “เป็นพระกรุณาธิคุณล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเชวี่ยกลับนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีเอ้อระเหยลอยชาย “เอาละ ตราบใดที่ข้าไม่ต้องก้มลงคุกเข่าทุกคราที่เห็นเจ้า นั่นก็นับเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้ว”
แม้ว่าคำขอของเขาจะหยาบคายไร้กฎเกณฑ์เหลือคนา ทว่าซั่งกวนเช่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์กลับมองหน้ากันและเอ่ยด้วยอารมณ์อันแสนเบิกบานว่า “อนุญาต”
ตงฟางเชวี่ยตื่นตะลึงแล้ว “ข้าว่านะ เหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงได้ทรงเหมือนสตรีของพระองค์เช่นนี้ ง่ายๆ สบายๆ ตามอำเภอใจเช่นนี้เลยหรือ?”
“ฝ่าบาททรงกระทำตามอำเภอใจจริงหรือไม่ ลองเอ่ยอีกสักคำดูเป็นอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ พาให้ฝ่ายหลังรีบร้อนหุบปากเรียบร้อยทันที
“ยามนี้หลันซือเฮ่อยอมจำนนพร้อมกับกองกำลังของเขาแล้ว นับเป็นข่าวดีสำหรับกองทัพของเราจริงๆ ทว่าฉินรั่วเฉินกับอามู่เต๋อยังคงมีกองกำลังอยู่ในมือถึงสี่แสนนาย พวกเราควรทำอย่างไรดี?” ซูเซ่อนับว่าเป็นคนที่นิ่งสงบที่สุดในยามนี้ เขาเอ่ยประโยคที่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนที่สุด
ทว่าวันนี้ดูคล้ายว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะอารมณ์ดีมากจริงๆ เขาโบกมือและส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเพิ่งได้รับข่าว ยังไม่ทันมีเวลาได้แบ่งปันให้เสนาบดีซูได้ร่วมยินดี หลังจากที่อามู่ทั่วสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่เพียงแต่ยึดคืนอำนาจทางการทหารทั้งหมดในแคว้นซีอวี้ได้ ทว่ายังมอบอำนาจของกองกำลังทหารให้เรายืม อีกทั้งยังช่วยผนึกกำลังต่อสู้กับแคว้นเล็ก นอกจากนี้ยังรับกองกำลังทหารเพิ่มอีกหนึ่งแสนนาย หากนับดูแล้ว ยามนี้กองกำลังทหารในมือของเรามีถึงสี่แสนนาย มิสู้เสนาบดีซูลองเดาดู ท่านคิดว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะศึกในครานี้?”
“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”
ซูเช่อปิติยินดีเป็นล้นพ้น “เช่นนั้นแล้วพวกเรายังรออันใดอยู่อีกเล่า? กระหม่อมกระหายการศึกนัก ขอฝ่าบาทโปรดประทานคำอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าก็จะไปเหมือนกัน!” วินาทีที่หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น หาได้คิดจะหยอกล้อเล่นเลยสักนิดไม่
“เจ้าไปไม่ได้!” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยคัดค้าน “มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ จงวางใจเถิด ข้าจะจัดการเขาแทนเจ้าเอง!”
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง ร่างกายของเจ้าเพิ่งจะหายดี ดังนั้นอย่าเพิ่งขยับให้มากมายเสียดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกนั้นก็เป็นเพียงแค่โจรกระจอกสองคนเท่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อในตัวบุรุษของเจ้า แต่เจ้าจะไม่เชื่อทหารของเทียนเฉาด้วยหรือ?”
ตงฟางเชวี่ยหยัดกายยืนขึ้น มือใหญ่วางลงบนไหล่ของหลิงมู่เอ๋อร์ “มิสู้เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าก็นับเป็นคนที่เข้าร่วมในสนามรบเช่นกัน ข้าจะเป็นตัวแทนของเจ้าเอง เช่นนี้ก็นับว่าวางใจได้แล้วกระมัง”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคิดจะเอ่ยอะไรอีก ทว่านางรู้ดี ตราบใดที่คนเหล่านี้ยังอยู่ พวกเขาก็จะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด
นางเป็นสตรี สงครามไม่ใช่สนามเด็กเล่น และไม่ใช่สถานที่ที่นางสามารถก่อเรื่องอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ
“ได้ เช่นนั้นพวกท่านก็ระวังตัวให้ดี หากเป็นไปได้…”
“ข้าจะนำหัวของอามู่เต๋อกลับมาหาเจ้าด้วยมือของข้าเองแน่นอน!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยคำสัญญา เขาสวมชุดเกราะ ยืนอยู่บนแท่นสูง ออกคำสั่งแก่กองทัพทั้งสาม “ทหารทั้งหมดล้วนฟังคำสั่ง บุกฆ่า!”
นางไม่เคยรับรู้ถึงฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะทำเพียงนั่งรออย่างสงบอยู่ในกระโจม ทว่านางรู้ดีว่าการต่อสู้ในวันนี้จะเป็นสงครามคราสุดท้าย!
“คุณหนู คุณหนูอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?”
เสียงที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากนอกกระโจม หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าตนเองหูแว่ว ถึงได้เปิดกระโจมออกดู ก่อนจะเห็นว่าเป็นซางจือ
“ซางจือ เหตุใดถึงเป็นเจ้าไปได้?”
เมื่อเห็นคนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ามานาน หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว นางรีบคว้ามือคนตรงหน้ามาจับเอาไว้แน่น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“องค์ฮ่องเต้สั่งให้คนพาตัวข้ามาเจ้าค่ะ” ซางจือร้องไห้ทันทีที่เห็นหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ นางมิอาจข่มกลั้นน้ำตาให้ไหลย้อนกลับไปได้ “คุณหนู ท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ? คุณหนู พวกเราทุกคนเป็นห่วงท่านมาก!”
หากนับตั้งแต่ที่นางถูกพาตัวไปยังซีอวี้จนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาสี่สิบวันเต็มแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเหล่าครอบครัวของนางจะเป็นห่วงกังวลกันแค่ไหน
“ข้าขอโทษ ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวลแล้ว วางใจเถิด หลังจากสงครามนี้จบลง พวกเราจะมีแต่ความสงบและความสุขตลอดไป และจะไม่มีภัยอันตรายใดๆ อีก!”
นางกอดซางจือเอาไว้แน่น หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์สงบลงทันที ตั้งแต่วินาทีที่ซางจือปรากฏตัว
ใช่แล้ว นางควรเชื่อใจเหล่าบุรุษที่ออกรบ และนางก็ควรจะเชื่อว่าพวกเขาจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
เพื่อคนในครอบครัวของนาง เพื่อคนที่นางต้องการปกป้อง การต่อสู้ครานี้จะต้องประสบความสำเร็จให้จงได้
“ข้าได้ยินเรื่องทุกอย่างแล้ว คุณหนู ท่าน…” สายตาของซางจือหลุบมองลงต่ำไปที่ท้องของนาง ดวงตาฉายแววความเศร้าโศก “คุณหนูยังสบายดีใช่หรือไม่? เศร้าโศกมากใช่หรือไม่ หากคุณหนูอยากจะร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถิด ซางจือจะไม่หัวเราะเยาะท่านแน่นอน”
รู้ดีว่านางต้องการจะเอ่ยถึงอะไร น้ำตาที่หลิงมู่เอ๋อร์เก็บกลั้นเอาไว้มาตลอดก็มิอาจควบคุม กลิ้งหล่นลงมาเป็นสายในที่สุด
ทุกวันนี้ นางพยายามตั้งสติ ไม่กล้าร่ำไห้เสียงดัง แม้แต่วันที่นางสูญเสียลูกไป นางก็ยังไม่กล้าคร่ำครวญเสียใจ นางกลัวว่าเซ่าเฉินจะเป็นห่วง กลัวว่าจะทำให้เขามิอาจควบคุมสถานการณ์จนเรื่องราวยุ่งเหยิง ทว่าหลังจากที่ซางจือมาถึง เชือกที่รัดแน่นในใจของนางก็ดูเหมือนจะคลายลงทันที และนางก็ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
“ซางจือ…”
ไม่เคยเห็นคุณหนูที่อ่อนแอขนาดนี้มาก่อน ซางจือกอดร่างของนางเอาไว้แน่น ราวกับว่ากำลังโอบอุ้มเด็กน้อยที่แสนอ่อนแอ “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เป็นดั่งเช่นที่คุณหนูเอ่ยทุกอย่าง หลังจากที่เรื่องนี้จบลง จะไม่มีอันตรายใดๆ มากล้ำกรายอีก พวกเราจะกลับคืนสู่ความสงบสุข! ทั้งฮ่องเต้และเสนาบดีซูล้วนแข็งแกร่ง พวกเขาจะต้องเอาชนะศัตรูได้อย่างแน่นอน คุณหนู ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวฝ่าบาทนะเจ้าคะ!”
“แน่นอน ข้าเชื่อใจเขา!”
บางทีอาจจะเพราะร้องไห้จนพอแล้ว นางถึงได้เงยหน้าขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์ยกมือปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า “เซ่าเฉินสามารถพาเจ้ามาได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงดีขึ้นมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่เล่า ท่านยายกับท่านลุง พวกเขาสบายดีใช่หรือไม่?”
ซางจือพยักหน้า “แม้ว่าทุกคนจะเป็นห่วงท่าน ทว่าหลายวันนี้ฮูหยินแห่งจวนโหวมาเยี่ยมเยือนที่จวนตระกูลหลิงบ่อยๆ นางช่วยปลอบฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าทุกวัน ทุกคนถึงได้ไม่ทรุดลงไปก่อน คุณหนู ทุกคนสบายดี ทว่าท่านต้องสบายดียิ่งกว่า พวกเราถึงจะมีความสุขนะเจ้าคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก นางรู้ดีว่าซางจือตั้งใจปิดบังเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้นางเป็นกังวลมากจนเกินไป
ท่านพ่อท่านแม่จะสบายดีได้อย่างไร ท่านยายจะสบายดีได้อย่างไร ไม่เช่นนั้น ท่านแม่บุญธรรมคงไม่ต้องถึงขนาดมาเยี่ยมเยือนรั้งรออยู่ในจวนตระกูลหลิงแล้ว
ทุกคนจะต้องเป็นห่วงนางแทบตายแล้วเป็นแน่ นางนี่ช่างอกตัญญูเหลือเกิน ทำให้ทุกคนต้องเป็นกังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“สามวัน มากที่สุดอีกแค่สามวัน สงครามนี้จะจบลง ไม่เจ้าก็ข้าที่ต้องตายกันไปข้าง ซางจือ พวกเรามารอข่าวด้วยกันเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์และซางจือรออยู่ในกระโจมทุกวัน แม้ว่าภายนอกจะดูสงบนิ่ง ทว่าแท้จริงแล้ว ก้นบึ้งของหัวใจล้วนกระสับกระส่าย มิอาจสงบนิ่งได้ลง
นางคาดเดาไม่ผิด เวลาสามวันเต็ม สงครามที่กินเวลายืดเยื้อ ไม่พักไม่ผ่อน มีผู้บาดเจ็บถูกหามเข้ามามากมาย พวกนางยังได้ยินข่าวเรื่องการบาดเจ็บล้มตายไม่หยุดเลยสักวัน
ทว่าในที่สุด วันที่สามยามเย็น พวกนางก็ได้รับข่าวดี
“มู่เอ๋อร์ พวกเราทำได้แล้ว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนอยู่ตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์พร้อมกล่องไม้ในมือ ในที่สุดหลิงมู่เอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว ร่ำไห้อย่างเสียสติออกมา
“จบแล้วหรือ? ทั้งหมด จริงๆ หรือ จบแล้วจริงๆ หรือ?” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น จ้องเขม็งไปยังกล่องไม้ ต่อให้ไม่ต้องเปิดมัน นางก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน!
ซั่งกวนเซ่าเฉินวางกล่องไม้ลงบนพื้น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปกอดนางเอาไว้ในอกแน่น ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าก็ยังเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ใช่ มันจบแล้ว อามู่เต๋อตายแล้ว ข้าตัดหัวเขาด้วยมือของข้าเอง พวกเรา แก้แค้นได้สำเร็จแล้ว!”
ทันทีที่คำสุดท้ายถูกเอ่ยออกมา สองมือของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จับหน้าท้องของนางเอาไว้แน่น ลูกจ๋า เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ในที่สุดท่านพ่อก็ล้างแค้นให้เจ้าได้สำเร็จ
“อามู่เต๋อเป็นคนทรยศ นิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต พวกท่านทำได้อย่างไร?”
“สู้ตายอย่างไรเล่า”
ตงฟางเชวี่ยเดินแหวกฝูงชนเข้ามาหา จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว นิ้วหัวแม่มือของเขากลับไม่ถูกวางลงสักวินาที “มิอาจไม่ยอมรับว่าบุรุษของเจ้าเก่งกาจเหลือเกิน! อามู่เต๋อเชี่ยวชาญการใช้พิษ ยามที่เรากำลังจะตกหลุมพรางเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินฝ่าวงล้อมที่แน่นหนาและคว้าชัยชนะในคราวเดียว! หลิงมู่เอ๋อร์บอกข้าทีว่าทำไมเจ้าถึงสายตาที่เฉียบแหลมได้ขนาดนี้”
ทั้งๆ ที่เป็นสงครามที่ใช้พละกำลังอันนับไม่ถ้วนของทุกคน ทว่ายามที่ถูกตงฟางเชวี่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนที่นางจะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของทุกคน “พวกท่านทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บ ข้าจะช่วยรักษาพวกท่านเอง”
“ที่แท้แล้วเจ้าก็ยังมีตาเห็นว่าพวกเราได้รับบาดเจ็บ ข้าคิดว่าเจ้าจะให้พวกเรารักษาด้วยตนเองเสียอีก!”
ตงฟางเชวี่ยเอ่ยหยอกเย้า เป็นคราแรกที่เพลิดเพลินไปกับการเป็นผู้ป่วยคราแรก เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางราวกับผู้อาวุโส ดื่มด่ำกับการรักษา
หลังจากการต่อสู้ติดต่อกันสามวันสามคืน ทุกคนล้วนเหนื่อยล้าหมดสิ้นแรงกาย ทว่าโชคดีที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บเพียงผิวเผิน
“น่าเสียดาย ที่มิอาจจับฉินรั่วเฉินด้วยมือของตนเองได้”
มือที่ถูกพันผ้าพันแผลแน่นจนเป็นหมัดของซั่งกวนเซ่าเฉินทุบกระแทกลงบนโต๊ะด้วยความโทสะ “ฉินรั่วเฉินเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ทุกคราที่ลงมือล้วนมีการเตรียมพร้อมมาอย่างดีทั้งสิ้น เขาจะต้องคำนวณเส้นทางการหนีหลังจากที่พ่ายแพ้เอาไว้แล้วเป็นแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยวิเคราะห์ต่อ “แต่ว่า กองกำลังทั้งหมดของเขาล้วนพ่ายแพ้ทั้งสิ้น แล้วตัวคนยังจะหนีไปเพื่ออันใดอีก?”
ตงฟางเชวี่ยกลับแย้มยิ้มออกมา “เจ้าไม่กังวลหรือ?”
“แน่นอนว่าคุณหนูย่อมต้องไม่กังวล เพราะหนานกงซื่อจือได้นำข่าวดีมาแจ้งแก่ท่านแล้ว”
ซางจือที่กำลังยกน้ำมาให้มีรอยยิ้มประดับที่มุมปาก
สายตาของทุกคนล้วนหันไปสบหลิงมู่เอ๋อร์ทันที เห็นเพียงนางที่หยิบกระดาษข้อความออกมาจากกระเป๋าบนอก
“ยามบ่าย นกพิราบสื่อสารของหนานกงอี้จือส่งจดหมายนี้มาให้ข้า”
นางคลี่ม้วนข้อความนั้นออกอ่าน เมื่อได้ยินข้อความที่อยู่บนนั้น ทุกคนก็ต่างพากันโห่ร้องด้วยความปิติยินดี
“คิดไม่ถึงว่าคนที่หยิ่งผยองอย่างฉินรั่วเฉินจะมีคนรักอยู่ข้างนอก อีกทั้งยังเป็นสถานที่เช่นหอโคมเขียว…” ซูเช่อพ่นเสียงหัวเราะ สายตากวาดมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ดูท่าฮ่องเต้จะทรงตัดสินพระทัยได้แล้วกระมัง?”
“ไม่ เป็นความคิดของมู่เอ๋อร์”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแย้มรอยยิ้ม ก่อนมองดูสตรีข้างกาย “ข้าต้องโชคดีมากเพียงใดที่ในชีวิตนี้ได้แต่งงานกับมู่เอ๋อร์ที่ฉลาดถึงเพียงนี้ มู่เอ๋อร์ตัดสินใจได้แล้วใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์หยักยกรอยยิ้มมุมปากขึ้นอย่างได้ใจ “ไม่ผิด!”
ยามบ่ายที่นางได้รับจดหมายจากนกพิราบสื่อสารนางยังแปลกใจอยู่เลย หนานกงอี้จือได้ข่าวดีอันใดมาบอกแก่พวกตนหรือ
จนกระทั่งนางเปิดจดหมายออกและเห็นข้อความที่อยู่บนนั้นชัดเจน นางพลันตื่นตะลึงอึ้งค้าง คนรักขององค์ชายหกผู้สง่างามกลับกลายเป็นนางบำเรอในหอโคมเขียว!
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าคนเจ้าเล่ห์เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นฉินรั่วเฉินจะมีรสนิยมที่พิเศษเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะหาวิธีสังหารเขาให้ตายในรังที่เขาเลือกเอง!
“ตงฟางเชวี่ย วิชาตัวเบาของเจ้ายอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งยังเก่งกาจในวิชาปลอมตัว มิสู้ครานี้สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าได้หรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์บอกแผนการของนาง และคนแรกที่นางเลือกก็คือตงฟางเชวี่ย
“ข้าว่านะ พวกเจ้าใช้คนเก่งจนติดเป็นนิสัยแล้วใช่หรือไม่?” ตงฟางเชวี่ยเผยสีหน้าแง่งอน ยามที่ทุกคนคิดว่าเขาจะปฏิเสธ ชายหนุ่มพลันแย้มยิ้มอย่างยินดีปรีดา “ได้สิ ในเมื่อทุกคนต้องการความช่วยเหลือจากข้ามากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเหลืออีกสักคราจะเป็นกระไรไป? บอกมาเถิด เจ้ามีแผนการอะไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์หยักริมฝีปากยกเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความกระดากอายนิดหน่อย “ความสามารถพิเศษของเจ้า ปลอมตัวเป็นสตรีอย่างไรเล่า”
——————————