เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 558 เหลวไหลทั้งเพ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 558 เหลวไหลทั้งเพ
เล่มที่ 19 ตอนที่ 558 เหลวไหลทั้งเพ
“ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว คือหลิงจือเซวียน!”
หลิงมู่เอ๋อร์แทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ทันทีที่สิ้นเสียงท่านปรมาจารย์ นางก็เอ่ยปากคัดค้านอย่างสุดกำลังทันที
อามู่ทั่วยังคิดจะเอ่ยอันใดบางอย่าง ทว่าเมื่อเขาเห็นท่าทีแข็งกร้าวของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็ทำได้เพียงอดทนกดมันลงไปเท่านั้น
สายตามองไปทางท่านปรมาจารย์ ก่อนที่เขาจะยักไหล่ด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ “มิน่าเล่า ยามที่ข้าพบแม่นางหลิงคราแรกถึงได้รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมนัก คิดไม่ถึงว่าระหว่างข้ากับนางจะมีความเชื่อมโยงกันเช่นนี้ แม้ว่านางจะดูไม่เต็มใจนัก ทว่าข้าขอให้ท่านวางใจ ผู้น้อยรู้ดีว่าตนเองควรทำอะไร”
ท่านปรมาจารย์พยักหน้า บางทีนางอาจจะวางใจแล้วก็เป็นได้
ยามที่หันสายตากลับมามองหลิงมู่เอ๋อร์ นางค่อยๆ ลูบมือของหญิงสาวเบาๆ แม้ว่าคนตรงหน้าคิดจะดึงมือออกไปอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม
“เด็กน้อย ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะรู้จักข้า เช่นนั้นก็ถือเสียว่าวันนี้หาได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นไม่ ทว่าข้าก็ยังอยากจะเอ่ยกับเจ้าสักคำ ข้าขอโทษ!”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ได้เอ่ยตอบ ท่านปรมาจารย์ก็หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้ว แผ่นหลังอันมุ่งมั่นแน่วแน่ของนางทำให้หัวสมองของหลิงมู่เอ๋อร์ฉายภาพที่นางโยนตนเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลหลิงแวบขึ้นมา
นางในยามนั้น ก็เดินจากไปอย่างไร้หัวใจเหมือนกันใช่หรือไม่?
“ท่านเอ่ยไม่ผิด ผลไม้นี้หาได้มีคุณสมบัติที่แข็งแกร่งเช่นนั้นไม่ นอกจากบำรุงกำลังแล้ว ก็ไร้สรรพคุณใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าเพราะเหตุใดท่านถึงยังยืนกรานที่จะทำเช่นนี้อยู่? อีกทั้ง ท่านซ่อนตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายปี เพียงเพราะความรู้สึกที่มีต่อเขาหรือ? มันคุ้มค่าหรือ?”
นางถาม
น้ำเสียงที่สั่นไหวพาให้ท่านปรมาจารย์ที่เดินจากไปด้วยความโกรธชะงักหยุดอยู่กับที่
นางคล้ายอยากจะเอ่ยอันใดบางอย่าง
หลิงมู่เอ๋อร์ที่นางหันหลังให้มองเห็นร่างของนางได้อย่างชัดเจน ทว่าหลังจากผ่านไปเนิ่นนานก็หาได้ยินเสียงใดแว่วดังจากนางไม่
ทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตงฟางเชวี่ยเพียงโยนประโยคที่ว่า ‘ข้าไปดูเอง’ จบก็ทะยานพุ่งเข้าไปดูทันที
ทว่าเพียงไม่นาน ทุกคนก็ได้ยินเสียงของตงฟางเชวี่ยที่ร้องตะโกนว่า “ท่านอาจารย์ ท่าน ท่าน ท่านเป็นอันใดไป?”
แม้จะเจ็บปวดจากการสูญเสียลูก ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์ที่ถูกสกัดจุดด้วยการฝังเข็มกลับดึงดันที่จะหยัดกายลุกขึ้น นางขอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินช่วยพยุงนางเข้าไปหา ก่อนจะเห็นว่าท่านปรมาจารย์กระอักเลือดสีดำออกมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
“ท่านถูกพิษหรือ?”
เป็นอีกคราที่นางขยับนิ้วไปตรวจชีพจรตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูกท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางปฏิเสธ
“ดูท่าแล้วสุขภาพของข้าคงจะย่ำแย่มากแล้วจริงๆ”
ท่านปรมาจารย์เอ่ยไปพลาง แม้จะอดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม ทว่ามุมปากของนางก็ยังมีหยาดเลือดไหลย้อยออกมาอยู่
หลิงมู่เอ๋อร์รีบหยิบผลของดอกไม้ประจำแคว้นออกมา “หาไม่เช่นนั้นท่าน ท่านลองดูสักหน่อยเถิด?”
“ไม่จำเป็น” ท่านปรมาจารย์ปฏิเสธ มุมปากถึงขนาดหยักยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าศึกษาดอกไม้ประจำแคว้นอย่างสิ้นหวัง ทว่าคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วข้าก็ยังมิอาจเอาชนะตนเองได้ ดูท่าแล้วเวลาที่ข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนจะมาถึงแล้วจริงๆ”
นางเอ่ยด้วยท่าทีเจ็บปวด ถึงขนาดถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
แม้หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดจะยอมรับ ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก
“ไม่มีทาง!”
นางเอ่ยด้วยความเคร่งเครียดตกประหม่า
เมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดตกประหม่าของนาง แววตาของท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางซึ่งเดิมทียังอ้างว้างกลับเปล่งประกายสว่างขึ้นมาทันที “คุ้มค่าแล้วละ ช่วงเวลาสุดท้ายนี้ยังมีโอกาสได้เห็นเจ้ามีชีวิตที่สุขสบายดี ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหาอาวรณ์อีกแล้ว! ยามที่อาเจิ้งจากไป ตามจริงข้าก็ควรจะไปพร้อมกับเขา ทว่าในที่สุดข้าก็ได้บรรลุความฝันของตนเองแล้ว มู่เอ๋อร์ จงมีชีวิตที่ดี อย่าได้เป็นอย่างมารดาของเจ้าเล่า”
ดูคล้ายกับทันทีที่สิ้นเสียง มือที่นางวางไว้บนหน้าอกก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
หัวใจของตงฟางเชวี่ยที่คอยพยุงนางอยู่ด้านข้างหยุดชะงัก เขายื่นมืออันสั่นเทาออกไปเพื่อทดสอบลมหายใจของนาง แม้จะมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาสักคำ ทว่าแววตาที่สั่นสะท้านของเขาเปรียบเสมือนคำตอบของทุกคนแล้ว
ทั้งๆ ที่เพิ่งจะพบมารดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิด ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยเรียกแม่สักคำ คนคนนี้ก็หายไปจากโลกนี้ตลอดกาลเสียแล้ว!
นี่ดวงของนางโชคดีเพียงใดกันแน่
“เหลวไหล เหลวไหลทั้งเพ”
หลิงมู่เอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมกอดของซั่งกวนเซ่าเฉิน นางไม่รู้ว่ายามนี้หัวใจของนางรู้สึกเช่นไรกันแน่ มันมักจะมีความเจ็บปวดยากจะรับไหวแฝงอยู่ เป็นความรวดร้าวที่มิอาจอธิบายได้
“เซ่าเฉิน นี่คือความฝันใช่หรือไม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นความฝันใช่หรือไม่!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกอดกระชับหลิงมู่เอ๋อร์แน่น แทบอยากจะหลอมรวมนางให้กลายเป็นร่างเดียวกับเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ตกใจเช่นกัน น้ำเสียงของเขาเจือแววสะอื้น “ข้าสาบาน ชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันเป็นเช่นฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้ มู่เอ๋อร์ สัญญากับข้า เร็วเข้า”
“นางคิดว่าข้าไร้สมองหรือ? นางบอกว่านางคือมารดาของข้า ข้าก็ต้องเชื่อนางแล้วหรือ? นางไม่รักไม่หวงแหนร่างกายของตนเอง พังทลายจนกลายเป็นเช่นนี้เพียงเพื่อบุรุษผู้หนึ่งที่ไม่คู่ควรกับนาง ข้าจะไม่มีวันเป็นเช่นนาง ข้า…”
“มู่เอ๋อร์!”
เขาเบิกตากว้างจ้องมองสตรีที่สลบไสลไปในอ้อมกอด คล้ายกับว่าซั่งกวนเซ่าเฉินใกล้จะแตะเส้นพังทลาย เขากรีดร้องตะโกนเสียงดังทันที “ยังยืนนิ่งอันใดอยู่อีก รีบไปค้นหาล่วมยามาเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับมู่เอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าไม่ยอม!”
ตงฟางเชวี่ยซึ่งตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน คล้ายว่าจะลนลานจนทำอันใดไม่ถูก เขาค่อยๆ วางร่างของท่านอาจารย์ลงบนพื้น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในเรือนที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า ค้นหาไปทุกทิศทุกทางทันที
ในที่สุด เขาก็ค้นพบเข็มเงินชุดหนึ่งอยู่ในห้องนอน “ส่งนางมาให้ข้า วางใจ จะไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางแน่นอน!”
ก่อนที่ประตูจะปิดลง หลังจากที่เอ่ยปากรับรองกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว เขาก็ส่งสายตาให้อามู่ทั่ว บ่งบอกความหมายว่าเขาจะดูแลนางให้ดี
สายตาเห็นว่าซั่งกวนเซ่าเฉินคิดจะพุ่งเข้าไปด้วย อามู่ทั่วก็รีบร้อนจับไหล่เขาไว้ “แม้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเหลวไหลทั้งเพ ทว่าเมื่อครู่สตรีผู้นั้นเอ่ยไว้ชัดเจน ไม่มีเด็กอีกต่อไปแล้ว ร่างกายของนางจะไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีก ไตร่ตรองดูแล้วนางคงรับแรงโจมตีของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหวถึงได้เป็นลมสลบไป เจ้าควรจะเชื่อพวกเขา”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้เอ่ยอันใด เขาอยู่นิ่งๆ ที่เดิมเพื่อรอคอยเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าเขาสงบนิ่งลงแล้ว อามู่ทั่วจึงเปิดปากเอ่ยขึ้นอีกคราว่า “แม้ข้าจะรู้ว่าการออกปากพูดในยามนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก ทว่าคงจะไม่มีเวลาใดที่เหมาะมากไปกว่านี้แล้ว อามู่เต๋อหนีไปแล้ว เขาย่อมไม่มีทางยอมหนีไปได้ตลอดแน่ คนคนนี้ไม่เคยผลักตนเองจนสิ้นมุม เขาก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่! พวกเราควรจะต้องระวังเอาไว้ให้ดี”
ซั่งกวนเซ่าเฉินหมุนสายตากลับมามอง ประกายเย็นชาในดวงตาคู่นั้น เป็นความเย็นเฉียบที่อามู่ทั่วไม่เคยเห็นมาก่อน
“เขาทำร้ายลูกของข้า ข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง!”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาอีกครา นางก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นตา และรายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ภายในห้องมีไอน้ำลอยอวล กลิ่นฉุนของสมุนไพรลอยโชยมาแตะปลายจมูก นางยันตัวขึ้น ก่อนจะเห็นใครบางคนกำลังจดจ่ออยู่กับการต้มยาข้างๆ เตา
“ที่นี่ที่ไหน?”
หลิงมู่เอ๋อร์แย้มริมฝีปากเปิด ยามนั้นถึงจะตระหนักได้ว่าคอของนางแห้งเพียงใด ทว่าตงฟางเชวี่ยที่ได้ยินเสียงตั้งแต่แรกก็รีบเดินเข้ามา
“โชคดีที่ข้าเดาว่าเจ้าใกล้จะฟื้นแล้วก็เลยเตรียมชาร้อนไว้ก่อน รีบดื่มตอนที่ยังร้อนเถิด” เขายกถ้วยชามาหนึ่งแก้ว
หลังจากเอ่ยขอบคุณ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ดื่มชาจนร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้น ตัวคนก็ดูเหมือนว่าจะมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าสมองของนางจะปรากฏภาพของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะสลบ ทว่านางย่อมรู้ดี การร้องไห้ต่อหน้าคนนอก คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
“เซ่าเฉินเล่า เหตุใดถึงเหลือเจ้าอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว แล้ว…”
“บุรุษของเจ้าไปเป็นแนวหน้าสนับสนุน แน่นอนว่าจึงเหลือข้าเพียงคนเดียวที่ดูแลเจ้า” ตงฟางเชวี่ยเอ่ยปากขัดจังหวะนาง “ทว่าอย่างไรเสีย ดูจากสีหน้าเจ้ายามนี้ที่ดีขึ้นมากแล้ว ไม่เสียเปล่าที่ข้าพยายามอย่างหนักมาตลอดเจ็ดวัน ตราบใดที่เจ้าฟื้นขึ้นมาก็แปลว่าไม่เป็นไรแล้ว”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบจับชีพจรของตนเองทันที ก่อนจะพบว่าเส้นลมปราณของนางได้กลับคืนสู่สภาวะปกติก่อนตั้งครรภ์แล้ว
เอ่ยให้ถูกต้องคือนางยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย ทว่าจะไม่มีอาการเจ็บป่วยหรือเป็นลมอีกต่อไป ทว่าราคาที่แลกมานี้ก็นับว่าสูงเหลือเกิน
“อันใดคือแนวหน้าสนับสนุน? เจ้าช่วยเอ่ยให้ชัดเจนที”
ยามที่นางเอ่ย หลิงมู่เอ๋อร์ก็เปิดหน้าต่างไปด้วย เมื่อเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกไร้ลักษณะเฉพาะของแคว้นซีอวี้ นางก็รีบหันสายตากลับไปมองอย่างสงสัยทันที “พวกเรากลับมายังแคว้นเทียนเฉาแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่เจ้าสลบไปในวันที่สอง อามู่เต๋อก็สมรู้ร่วมคิดกับฉินรั่วเฉิน ร่วมมือกับแคว้นเล็กๆ เพื่อโจมตีแคว้นเทียนเฉาและวางแผนก่อกบฏ ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ทว่าเขาก็กังวลเรื่องแคว้นของตนเองด้วย พวกเราจึงทำได้เพียงรักษาบาดแผลของเจ้า ยามที่เดินทางกลับเมืองหลวงเช่นนี้”
ตงฟางเชวี่ยอธิบาย “คิดไม่ถึงว่าฉินรั่วเฉินผู้นั้นจะเก่งจริง เขาสมรู้ร่วมคิดกับทหารม้าจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ยามที่อามู่เต๋อหลบหนีไป เขาก็นำตราทัพไปด้วย เมื่อบวกรวมกับทหารม้าจำนวนสองแสนนายจากแคว้นเล็กแถบชายแดนกับทหารของแคว้นซีอวี้แล้ว จึงมีจำนวนคนรวมกันเกือบห้าแสนนาย แม้ว่าซูเช่อและคนอื่นๆ ในแคว้นเทียนเฉาจะนำกองกำลังเข้าโจมตี ทว่าพวกเขายังคงต้องการการสนับสนุนอยู่ดี”
ยิ่งเขาเอ่ยมากเท่าไหร่ สถานการณ์ที่เอ่ยถึงก็ยิ่งเคร่งเครียดมากเท่านั้น หลิงมู่เอ๋อร์ที่ฟังจนหัวใจหวั่นวิตกแทบจะกระโดดออกจากลำคอ “แล้วอย่างไรต่อ?”
“ต่อมาแน่นอนว่าก็ต้องขอบคุณท่านแม่… ขอบคุณท่านอาจารย์แล้ว” ตงฟางเชวี่ยเปลี่ยนคำพูดได้ทันท่วงที “ที่แท้แล้วเจ้าก็คือลูกสาวสายเลือดตรงของท่านอาจารย์และฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้ ในฐานะพี่ชายของเจ้า อามู่ทั่วย่อมไม่มีทางทิ้งขว้างไม่ช่วยเจ้าอย่างแน่นอน เขามอบทหารและม้าทั้งหมดสองแสนนายที่เหลืออยู่ในแคว้นซีอวี้ให้กับซั่งกวนเซ่าเฉิน ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มโต้ตอบกลับ ทว่าน่าเสียดายนักที่เรายังคงถูกกั้นไว้อยู่นอกประตูเมือง”
“เหตุใดถึงตรงเข้าเมืองไม่ได้เล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์สับสน “ในเมืองมิได้มีซูเช่อกับหนานกงอี้จืออยู่หรือ?”
“มีก็ใช่ ทว่าฉินรั่วเฉินเจ้าเล่ห์มากแผนการอย่างหาใดเปรียบ เขาคิดคำนวณไว้หมดแล้ว คนของเขาล้อมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว ตราบใดที่ซู่เช่อเปิดประตูเมือง พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไป เกรงว่าไม่ต้องรอให้ซั่งกวนเซ่าเฉินนำกองกำลังของเขาเข้าไป เมืองก็คงถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้ว ดังนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินจึงตัดสินใจอยู่ที่นอกเมืองหาทางร่วมมือกับคนที่อยู่ด้านใน”
ได้ยินถึงตรงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนกังวลเหลือเกินแล้ว “เช่นนั้นแล้วเซ่าเฉินเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้รับอันตรายอันใดหรือไม่?”
“ข้าว่านะ สตรีเช่นเจ้านี่มันยังไงกันแน่ เจ้าไม่ต้องการร่างกายของตนเองแล้วกระมังถึงได้เป็นกังวลถึงเรื่องบุรุษของเจ้าขนาดนี้?”
ตงฟางเชวี่ยไม่พอใจเหลือเกิน “แม้ว่าระหว่างการเดินทางกลับจากซีอวี้ สถานะของเจ้าจะกลายเป็นองค์หญิง ทว่าข้าขอเตือนเจ้า ยามนี้เจ้าคือผู้ป่วยของข้า และเจ้าต้องเชื่อฟังการจัดเตรียมของข้า เมื่อข้าสั่งให้เจ้านอน หมายความว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ยืน เร็วเข้า กลับไปนอนลงดีๆ แล้วดื่มยาเสีย!”
ตงฟางเชวี่ยยื่นชามยาสีดำให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ น้ำเสียงแฝงไปด้วยคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะต่อต้าน แต่เมื่อคิดถึงสุขภาพของตนเองแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของทุกคน นางจึงรับชามยามาถือไว้ในมือ ก่อนจะดื่มมันหมดรวดเดียว ทว่าเพียงพริบตานางก็ขมวดคิ้ว “ตงฟางเชวี่ย เจ้าเก็บงำความแค้นที่มีต่อข้าใช่หรือไม่? เหตุใดถึงได้ขมขนาดนี้?”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ตงฟางเชวี่ยกลับส่ายหัวด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ดูดีขึ้นมาก เขาก็ค่อยๆ หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากด้านหลัง “อ่ะ ถึงแม้ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจะยอมรับ ทว่าข้าทำได้เพียงมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้าด้วยมือของข้าเอง เหตุใดถึงต้องให้ข้าเข้าไปยุ่งด้วยตลอดเลยนะ นี่นับเป็นเรื่องอันใดกัน?”
เมื่อเห็นกล่องดำที่เขามอบให้ อารมณ์ที่ดีขึ้นของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ถูกทำลายลงอีกครา
ตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน นางก็เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “นางคือปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางของพวกเจ้า หากอิงตามเหตุผล เจ้าควรจะนำมันกลับไปยังหุบเขาเย่าหวางมิใช่หรือ?”
แม้ว่าเขาจะคิดได้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเอ่ยวาจาเลือดเย็นเช่นนี้ออกมา ทว่าตงฟางเชวี่ยก็ยังคงตกใจอยู่ดี “ไม่ใช่น่า เจ้าจะไร้หัวใจเหมือนนางจริงๆ หรือ?”
“เป็นนางที่ไร้หัวใจก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดก่อนตอบปฏิเสธสักนิด “ข้ามีแม่เพียงคนเดียว ยามนี้นางอยู่ที่เมืองหลวง และคงจะหวาดกลัวเพราะสงครามยิ่งนัก ตงฟางเชวี่ย ข้าขอบคุณมากสำหรับการดูแลในหลายวันที่ผ่านมา ทว่ายามนี้ข้าต้องไปช่วยแม่ของข้าแล้ว”
หลังจากตบไหล่ตงฟางเชวี่ย เพื่อสื่อว่าเขาสามารถจัดกับเถ้าอัฐินี้ได้ตามต้องการ หลิงมู่เอ๋อร์ก็สวมเสื้อคลุมกันลมก่อนจะรีบวิ่งออกไปทางประตูทันที
“เฮ้ หากเจ้ากล้าที่จะเดินออกจากห้องนี้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”
——————————