เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 555 แท้งลูก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 555 แท้งลูก
เล่มที่ 19 ตอนที่ 555 แท้งลูก
“ไม่ผิด ยามนี้เราออกจากวังแล้วจริงๆ ลานแห่งนี้มิใช่ในวัง”
อามู่ทั่วมั่นใจมากว่าเขามองเห็นไม่ผิด ที่มากไปกว่านั้นคือโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกในที่แห่งนี้ล้วนมีเอกลักษณ์พิเศษทั้งสิ้น ขนาดที่ตลอดทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยามนี้เขาต้องการอยากจะรู้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ และเหตุใดถึงได้มีความสามารถเก่งกาจขนาดสร้างทางลับออกไปด้านนอกวังโดยที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นได้?
“มู่เอ๋อร์ เป็นอันใดไปหรือ?” ยามที่รับรู้ได้ว่าอารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ปกติ ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดว่าสาเหตุมาจากร่างกายของนาง ชายหนุ่มจึงเป็นกังวลยิ่ง
“มิได้ ข้าเพียงแค่รู้สึกเหมือนทุกท่านที่ประหลาดใจกับโครงสร้างของสถานที่แห่งนี้” หญิงสาวเก็บงำความคิดที่แท้จริงภายในจิตใจ หลิงมู่เอ๋อร์แย้มรอยยิ้ม เดินไปข้างหน้าพลางมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย
ไม่ผิด นางรู้สึกแปลกใจเหมือนๆ ทุกคน ทว่านางก็มองออกได้ชัดเจนกว่าผู้อื่นเล็กน้อย อย่างน้อยนางก็รู้จักเค้าโครงและโครงสร้างทั้งหมดที่นี่
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางเอ๋ย ตกลงแล้วท่านเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดถึงได้สามารถขนย้ายสิ่งของจากอนาคตมาไว้ในที่แห่งนี้ได้ ชวนให้นางรู้สึกผิดละอายใจยิ่งนัก
“ถึงแม้ลานแห่งนี้จะดูแปลกประหลาด ทว่ากลับมีแผนผังที่ใหญ่โตมโหฬารนัก บางทีนางอาจจะซ่อนตัวอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งก็เป็นได้ มิสู้พวกเราแยกย้ายออกตามหานางกันเถิด”
อามู่ทั่วเสนอความคิดเห็น ทุกคนแยกย้ายกระจายออกไปรอบทิศด้วยความเข้าใจโดยไม่ต้องปริปาก ทว่าฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์นั้นช้านัก นางเดินวนอยู่ที่ลานด้านหน้าไม่ไปไหน
นางกำลังครุ่นคิด หากนางเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ นางจะเลือกซ่อนที่ใด?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักแห่งหุบเขาเย่าหวางจะจงใจซ่อนตนเองไม่ออกมา ให้เป็นฝ่ายที่ตามหาเพราะต้องการจะปกปิดความลับของตนเอง
เพราะนางต้องการพบเจอตนเพียงคนเดียวใช่หรือไม่?
หลังจากยืนยันความคิดของตนเองแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองไปรอบๆ นางมองเห็นเงาของทุกคนที่กำลังค้นหาจากที่ไกลๆ ทันใดนั้น นางพลันตะโกนก่อนจะชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มีคนอยู่ตรงนั้น!”
ทั้งสามคนรีบกระจายตัวออกไปทันที โดยเฉพาะซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาเป็นคนแรกที่กลับเข้ามายืนข้างกายและดึงนางเข้าไปปกป้องได้เร็วที่สุด “มู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าบอกว่าคนอันใด ตัวคนอยู่ที่ใดเล่า?” ตงฟางเชวี่ยเองก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวเช่นกัน
“มีเงาสายหนึ่ง เหาะผ่านไปด้านนั้น วิชาตัวเบาแข็งแกร่งจนมิอาจไล่ตามได้ทัน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยความร้อนรนกังวลใจ “ตงฟางเชวี่ย เจ้ารีบตามไปให้ทันเร็วเข้า”
ตงฟางเชวี่ยและอามู่ทั่วสบประสานสายตากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินจากไป เหลือเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินผู้เดียวเท่านั้นที่ยังอยู่เคียงข้างนาง
“เซ่าเฉิน เจ้าเองก็ไปเถิด” นางแนะนำ
“แต่ว่าเจ้า…”
“ข้าไม่ไว้ใจพวกเขา ท่านไปข้าถึงจะวางใจได้” หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาที่บอกเขาว่า ‘ข้าจะดูแลตนเองให้ดี’ ให้แก่เขา เพื่อบอกให้เขารีบไล่ตามไปให้ทัน
“เช่นนั้นเจ้าก็ยืนอยู่ที่นี่อย่าขยับไปไหน”
จนกระทั่งซั่งกวนเซ่าเฉินออกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ถึงได้สติกลับคืนมาอีกครา เมื่อนางมองอย่างละเอียดก็พบห้องที่อยู่ตรงกลางพอดี
แม้ว่านางจะไม่ค่อยแน่ใจนักว่าในนั้นจะมีคนอยู่ ทว่านางเดาว่าบางทีนางอาจจะได้รับเสียงตอบกลับก็เป็นได้?
“ออกมาเถิด ตั้งใจล่อข้ามาที่นี่ มิใช่ว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับข้าหรือ? ซ่อนต่อไปก็รังแต่จะทำให้เสียเวลา ความลับของท่านก็มีแต่จะถูกเปิดเผยให้คนอื่นรู้มากขึ้นก็เท่านั้น มิใช่หรือ?”
แม้ว่าเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่ดัง ทว่านางกลับตะโกนใส่อากาศที่ว่างเปล่าด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ท่าทางแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
ผลปรากฏว่า มีเสียงเล็กเบามากๆ สายหนึ่งลอยแว่วมาจากด้านข้าง วินาทีที่หลิงมู่เอ๋อร์หันไปตามเสียงนั้น ภาพที่เข้าสู่สายตานางเป็นอันดับแรกก็คือรองเท้าปักอันประณีตละเอียดอ่อน ก่อนจะตามมาด้วยเงาร่างผอมเพรียวที่ค่อยๆ ยุรยาตรย่างก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ
สายตาเลื่อนขึ้นสบ ที่แท้แล้วก็เป็นดวงหน้าที่เหมือนกันกับนางทุกประการนั่นเอง
หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจจนเอ่ยอันใดไม่ออกตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะอารมณ์ดีเสียอย่างนั้น นางแย้มรอยยิ้มชอบใจ ทั้งน่าหลงใหลมีเสน่ห์เย้ายวน
“ท่านเป็นใคร?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยปากถาม น้ำเสียงของนางสั่นอย่างมิอาจควบคุม
“แล้วเจ้าเล่าเป็นใคร?”
ช่างเป็นคำตอบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าคนที่อยู่ตรงข้ามผู้ที่ซ่อนทุกอย่างไว้ในความมืดคงจะตรวจสอบตนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ทว่านางกลับตรวจสอบไม่พบตัวตนที่แท้จริงของตนหรือ?
นับว่าถูกต้อง นางคือใคร? นางคือหลิงมู่เอ๋อร์หรือ? มิใช่ หลิงมู่เอ๋อร์ตัวจริงจากโลกนี้ไปนานแล้ว เช่นนั้นแล้วนางควรจะตอบสหายผู้ข้ามกาลเวลามาเช่นกันผู้นี้ว่าอย่างไร?
“ข้ามีนามว่าหลิงมู่เอ๋อร์ ไม่ผิด ก่อนหน้านี้ข้าเองก็มีนามว่าหลิงมู่เอ๋อร์เช่นกัน บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือบางทีก็อาจจะเป็นลิขิตของสวรรค์ ข้าตื่นขึ้นมาอีกคราในหมู่บ้านตระกูลหลิง ข้าคิดว่าในยามนั้นท่านเองก็คงจะมีความคิดแบบเดียวกันกับข้า ในเมื่อได้มีชีวิตใหม่ทั้งทีจะยอมหักใจตายอีกคราได้อย่างไร? ดังนั้นข้าจึงพาครอบครัวหนีออกจากถิ่นทุรกันดารนั่น ข้าคิดมาตลอดว่าตนเองเก่งกาจ ทว่าคิดไม่ถึงว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า จนกระทั่งข้าได้พบกับท่าน”
หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอธิบายง่ายๆ มุมปากหยักโค้ง แย้มรอยยิ้มที่ทั้งสง่างามและอ่อนโยน “ถึงตาท่านแล้ว ไม่คิดว่าควรจะแนะนำตัวสักหน่อยหรือ?”
“ข้า…” ปรมาจารย์เปิดปากคล้ายจะเอ่ยอันใด ทว่ากลับตื่นตกใจเพราะคำพูดของนางจนไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรมาตั้งแต่แรกแล้ว นางก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เร็วจนเกือบจะเรียกได้ว่าพุ่งเข้าไป ทว่าก็อดทนหยุดเอาไว้ “เจ้า… เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากหมู่บ้านตระกูลหลิงหรือ?”
เอ่ยตามจริง นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจุดที่ท่านปรมาจารย์สงสัยจะเป็นต้นกำเนิดของนาง
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะประหลาดใจเช่นกันว่าเหตุใดนางถึงได้ตื่นตระหนกมากถึงเพียงนี้ ทว่านางยังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ท่านเองก็รู้จักหมู่บ้านตระกูลหลิงหรือ?”
ท่านปรมาจารย์มองนางอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน สายตานั้นมองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนที่ความตื่นตระหนกบนใบหน้าจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นความยินดี คนตรงหน้านางพยักหน้าให้เงียบๆ
วินาทีที่หลิงมู่เอ๋อร์ประหลาดใจจนถึงจุดที่ทนไม่ไหวคิดจะไล่ถามอีกครา ทว่าสตรีตรงหน้ากลับหยิบผลจากดอกไม้ประจำแคว้นที่ถูกขโมยมาออกมา
“เอ่ยตามตรง ยามที่ข้าสร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมากมายต้องการแย่งชิงมันไป แท้จริงแล้วมันหาได้อัศจรรย์เท่าที่เจ้าได้ยินข่าวลือมาไม่ และอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องอาการป่วยของเจ้าเช่นกัน ทว่ากลับกันแล้วมันสำคัญต่อข้ามาก แต่ว่า…”
ท่านปรมาจารย์รวบเก็บผลของดอกไม้ประจำแคว้นอย่างระมัดระวัง หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ จู่ๆ นางก็เงยหน้าขึ้นมอง “หากเจ้าต้องการมันจริงๆ ข้าจะยกมันให้เจ้า…”
นางเหยียดแขนยาวออกอย่างใจกว้าง แบฝ่ามือออก ผลไม้ที่มีเปล่งประกายแวววาวด้วยแสงงดงามหลากสีกำลังนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกทำให้ตื่นตกใจอีกครา “จริงหรือ ให้ข้าจริงๆ หรือ?”
เป็นวินาทีนั้นเองที่นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งก็บินโฉบผ่านมาจากด้านหลัง ภายใต้ท่าทีที่ไม่ได้ระวังตัวของทั้งสอง เพียงเอื้อมคว้าก็สามารถแย่งชิงผลของดอกไม้ประจำแคว้นมาไว้ในมือได้แล้ว
“ผลไม้ของข้า!”
ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางผงะอึ้งสุดขีด นางรีบร้อนใช้วิชาตัวเบาไล่ล่าตามไปทันที หลิงมู่เอ๋อร์เองก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีเฉิงเหย่าจิน [1] โผล่ออกมากลางทางเช่นนี้
นางไม่นำพาเรื่องที่ร่างกายรู้สึกไม่ค่อยสบายอีกต่อไป รีบร้อนไล่ตามเขาไปให้เร็วที่สุด ยามที่นางเห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่เอาผลไม้ไปคืออามู่เต๋อ นางก็ยิ่งเสียใจในภายหลังเป็นล้นพ้นแล้ว
หากนางรู้แต่แรก นางก็ไม่ควรส่งเซ่าเฉินออกไป
เห็นได้ชัดว่าอามู่เต๋อไม่คุ้นชินสถานที่แห่งนี้ หลังจากวิ่งไปได้สักพักก็ยังมิอาจหาทางออกไปได้สำเร็จ อีกทั้งยังพาตนเองหลงวนอยู่ในเรือนที่ทั้งเล็กแคบทั้งลึกลับแห่งหนึ่งด้วย
วินาทีที่หลิงมู่เอ๋อร์ไล่ตามไปถึงนั้น ท่านปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางก็กำลังยืนเผชิญหน้ากับเขาอยู่
“เอาของของข้าคืนมา!”
อามู่เต๋อพ่นเสียงหัวเราะเย็นชา “คืนให้เจ้า? เหอะ เจ้าเป็นใคร ข้าคือฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นซีอวี้ ของสิ่งนี้ควรจะเป็นของข้า!”
“สารเลว!” ท่านปรมาจารย์โกรธจัด เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเปลืองน้ำลายกับเขามากไปกว่านี้ นางขับเคลื่อนลมปราณพุ่งเข้าไปหาเขาทันที
ทว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่นางเหมือนกับตงฟางเชวี่ยที่รู้จักเพียงวิชาตัวเบา ทว่าหาได้มีวรยุทธ์ไม่
วินาทีที่นางเข้าใกล้อามู่เต๋อเพื่อแย่งชิงผลไม้ นางไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จ ทว่ากลับถูกฝ่ามือพิฆาตโจมตีกลับอีกด้วย
“ท่านไม่เป็นกระไรใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้เป็นห่วงคนแปลกหน้าคนนี้มากเหลือเกิน
นางตรงเข้าช่วยพยุงร่างกายของท่านปรมาจารย์ให้มั่นคง ยามที่สายตานั้นหันมองมาสบ หัวใจของนางพลันสั่นเทาอย่างไร้เหตุผลที่แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของนางกระโดดคร่อมไปครึ่งจังหวะ
“มู่เอ๋อร์…” เห็นได้ชัดว่าท่านปรมาจารย์รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันที่นางจะเอ่ยจบ ดาบยาวในมือของอามู่เต๋อก็พุ่งตรงแทงเข้ามา ท่านปรมาจารย์รีบใช้ฝ่ามือผลักหลิงมู่เอ๋อร์ออกไป ทว่าเพราะหลบไม่ทัน ไหล่ซ้ายจึงถูกดาบแทงเข้าทันที
“ท่านปรมาจารย์?” หลิงมู่เอ๋อรู้สึกตื่นตระหนกจนทนแทบไม่ไหว กระวีกระวาดตรงเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนางทันที ยามนั้น อามู่เต๋อทำท่าจะไล่ตามให้ชนะอย่างหมดจดอีกครา เขาพุ่งเข้ามาหาทั้งสองด้วยกำลังวรยุทธ์ถึงห้าส่วนเลยทีเดียว
“ระวัง!”
ราวกับเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที ท่านปรมาจารย์คว้าหลิงมู่เอ๋อร์เข้ามากอดก่อนจะเหาะออกไป ทว่ายามที่นางได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของหลิงมู่เอ๋อร์ สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสะเทือนใจอีกครา
“ข้าจะกลับไปจัดการเขาทีหลัง ส่วนเจ้าก็คิดหาวิธีรวมกลุ่มกับสามีของเจ้า แล้วก็ ผลไม้นี้มิอาจปล่อยให้เขาฉกฉวยไปได้สำเร็จอย่างเด็ดขาด”
เมื่อฟังคำพูดของท่านปรมาจารย์ที่ดังขึ้นข้างหู ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดนัก
นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านปรมาจารย์ถึงได้ใช้น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนถึงเพียงนี้เพื่อเอ่ยกับนาง นางยังมีคำถามมากมายที่จะถามอยู่เต็มท้อง ทว่าท่านปรมาจารย์กลับผลักไสนางออกไปให้ไกล
“ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไร้ยางอายนั่น บังอาจขโมยของของข้าไป ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า!”
ท่านปรมาจารย์เอ่ยไปพลางมือขวาก็คลำหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าไปด้วย ส่วนอามู่เต๋อที่กำลังเล็งจังหวะเวลาที่เหมาะสมพลันพลิกดาบยาวในมือพุ่งตรงเข้าหานางอีกครา
ท่านปรมาจารย์เบี่ยงกายหลบ ทว่าคิดไม่ถึงว่าเขากลับหลอกใช้กระบวนท่าดังกล่าว แท้ที่จริงแล้วมือที่อยู่ด้านหลังได้เตรียมไว้เพื่อโจมตีที่ด้านหลังศีรษะของท่านปรมาจารย์
หลิงมู่เอ๋อร์ที่เห็นฉากตรงหน้าทั้งหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอันใด ทว่าในใจของนางดูเหมือนมีเสียงแว่วตะโกนดังขึ้นมาว่า ห้ามปล่อยให้ท่านปรมาจารย์ได้รับบาดเจ็บอย่างเด็ดขาด มิอาจปล่อยให้ท่านปรมาจารย์ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงปลายเส้นผม
ดังนั้น นางแทบไม่ต้องคิดเลยสักนิด ถึงขนาดที่มิอาจควบคุมร่างกายของตน พุ่งเข้าไปข้างกายท่านปรมาจารย์ทันที
“กรี๊ด!”
เสียงแหลมเล็กกรีดร้อง ร่างกายของหลิงมู่เอ๋อร์ถูกอามู่เต๋อโจมตีจนกระเด็นลอยคว้างกลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ภาพทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป กะทันหันเกินไป ทั้งท่านปรมาจารย์ทั้งอามู่เต๋อล้วนคิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะร่วงหล่นกระแทกพื้น ก่อนจะกระอักโลหิตสดๆ ออกมาเต็มปาก อีกทั้งยังมีอาการปวดท้องเกินจะทานทน
“ท้องของข้า ข้า…โอ๊ย!”
หลิงมู่เอ๋อร์คำรามด้วยความยากลำบาก มือทั้งสองข้างกุมหน้าท้องที่เจ็บปวดรวดร้าวเอาไว้แน่น เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใดนางถึงไม่อยากให้อามู่เต๋อทำร้ายท่านปรมาจารย์ได้สำเร็จ ราวกับมีมนตราอะไรบางอย่าง ร่างกายของนางพุ่งเข้าใส่อย่างมิอาจควบคุม ขวางหน้าท่านปรมาจารย์ และทำให้ฝ่ามือของอามู่เต๋อโจมตีกระแทกร่างของนางเต็มๆ
วินาทีนั้น นางรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลลงมาตามง่ามขาของตน
“มู่เอ๋อร์!”
ท่านปรมาจารย์ผงะอึ้ง ตัดใจยอมแพ้จากการวางยาพิษให้อามู่เต๋อ ก่อนจะรีบเหาะเข้ามาข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ทันที ยามที่เห็นสีหน้าซีดเซียวและกางเกงที่เปียกโชกไปด้วยเลือด ร่างทั้งร่างพลันสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าจะรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
“เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? เด็กโง่เอ๊ย เมื่อครู่ใครให้เจ้าพุ่งเข้ามากันหา!”
นางอยากจะตำหนิเหลือเกิน ทว่านางจะหักใจทนมองได้อย่างไร?
นางรีบคว้าแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นมา พยายามคลำหาชีพจรของนาง รีบร้อนคลำหน้าอกด้วยความตื่นตระหนกลนลาน “ยาของข้าเล่า ไม่น่า ยาของข้าจะหายไปภายใต้ช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ได้อย่างไร หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันใดกับเจ้าแน่นอน เด็กในท้องของเจ้าเองก็จะต้องปลอดภัยเช่นกัน”
เมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกเป็นกังวลของท่านปรมาจารย์แล้ว แม้ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์จะคาดเดาอันใดไว้บ้าง ทว่าวินาทีนั้นนางรู้สึกเพียงความเจ็บปวด เป็นความรวดร้าวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยลูกของข้าด้วย ข้า ข้ายอมทิ้งชีวิตของตนเอง ข้ายอมทิ้งลมหายใจนี้ แต่ว่า แต่ว่าเขายังไม่ทันได้เกิดมา ยังไม่ทันได้เห็นคุณค่าของแม่น้ำและภูเขาอันยิ่งใหญ่ ยังไม่ได้เห็นหน้าท่านพ่อของเขาด้วยซ้ำ ได้โปรด…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว!”
ท่านปรมาจารย์ตวาดก้อง หลังจากตะโกนออกไปแล้ว นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนมิอาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เลย “เจ้าจงวางใจ ข้าคือปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวาง วิขาแพทย์ของข้าเลิศล้ำ แน่นอนว่าข้าจะต้องปกป้องเจ้าและลูกของเจ้าได้…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องจากหลิงมู่เอ๋อร์อีกครา ยามที่สายตากวาดมองลงไป นางก็เห็นแอ่งเลือดที่ปรากฏเด่นชัดบนกางเกงสีชมพูอ่อนของหลิงมู่เอ๋อร์
ร่วมถึงเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ร่วงหล่นลงมา…
“มู่เอ๋อร์…”
ท่านปรมาจารย์ตัวสั่นสะท้าน นี่เป็นคราแรกที่นางรับรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าสูญเสียนั้นคืออะไร…
เชิงอรรถ
[1] เฉิงเหย่าจิน (程咬金) คือนายพลในราชวงศ์ถังตอนต้น ตามตำนาน เขาเป็นคนบ้าบิ่นและตรงไปตรงมา เป็นการอุปมาการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุคคลที่ไม่คาดคิด ซึ่งทำให้สิ่งต่างๆ ไม่ราบรื่นหรือผิดไปจากที่คาด
——————————