เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 550 ดักรอคน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 550 ดักรอคน
เล่มที่ 19 ตอนที่ 550 ดักรอคน
“เหลืออีกสองวันก่อนจะถึงวันที่อามู่เต๋อขึ้นครองบัลลังก์ ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนอามู่ทั่วถูกตามสังหารแต่กลับมีคนมาช่วยไว้ เป็นคนของท่านใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์เอนกายไปหาซั่งกวนเซ่าเฉินพร้อมกับคาดเดา อ้าปากกินองุ่นที่เขาป้อนให้อย่างเพลิดเพลินพลางถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ข้าจะช่วยให้อามู่ทั่วได้บัลลังก์คืนมา เขารับปากว่าจะใช้ทุกสิ่งของแคว้นซีอวี้เป็นการตอบแทน เจ้าว่าข้ามิควรตอบรับหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบก็ปอกเปลือกองุ่นถึงขั้นดึงเมล็ดข้างในออกมา หลังจากแบ่งครึ่งก็ป้อนใส่ปากเล็กทรงผลอิงเถาของนาง
เห็นนางกินของหวานด้วยท่าทางเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน ลิ้นชุ่มชื้นยังคงเลียมุมปากประหนึ่งยังไม่หายอยาก แลดูเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ายวน เขาก้มศีรษะลงแทบอยากจะยึดมาครอบครองตลอดไป
“นี่ๆๆ นี่ๆๆๆ ดูสิ ดูสิว่าข้าเห็นสิ่งใด!”
เสียงกวนโทสะดังขึ้นมาจากประตู ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นตงฟางเชวี่ยซึ่งสวมชุดสีขาวยืนด้วยท่าทีซุกซนอยู่ที่ประตู “ตากุ้งยิง เป็นตากุ้งยิงแล้วจริงๆ ข้าว่าในยามที่ฟ้ายังสว่างโร่เช่นนี้พวกเจ้าก็ยังไม่รู้จักอายเสียบ้างเลย”
“ตงฟางเชวี่ยเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองชายที่กำลังหาวด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง บนใบหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย
“จุ๊ๆๆ สตรีเช่นเจ้านี่ช่างใจร้ายเสียจริง ข้าช่วยเจ้าไว้เจ้ามิได้บอกผู้ชายของเจ้าหรือ?”
ตงฟางเชวี่ยกลอกตาขาวใส่หลิงมู่เอ๋อร์คราหนึ่งราวกับโกรธจริงๆ ก่อนจะพองแก้มวิ่งไปข้างกายซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างกระฟัดกระเฟียด และใช้มือข้างหนึ่งฉวยเอาองุ่นในอ้อมแขนของเขามา หลังจากนั้นจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้ให้ฟังอย่างเรียบง่าย
“เป็นอย่างไรบ้าง ยามนี้คงรู้แล้วกระมังว่าข้าเก่งกาจเพียงใด ฮ่องเต้แคว้นเทียนเฉาคิดจะตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตภรรยาอย่างไรเล่า?”
เห็นท่าทางขอรางวัลด้วยสีหน้าเขินอายของเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็อยากบอกว่าจะตกรางวัลเป็นการฟาดแก้มเขาสักสองฝ่ามือ แต่คิดไปคิดมาในใจก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะตามมาที่แคว้นซีอวี้จริงๆ ขอบคุณมาก!”
เขาขอบคุณอย่างจริงจังเช่นนี้กลับทำให้ตงฟางเชวี่ยรู้สึกกระดากอายขึ้นมาอยู่บ้าง “โธ่ จริงจังเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
คร้านจะพูดกับเขาให้มากความ ตงฟางเชวี่ยหันไปมองหลิงมู่เอ๋อร์ “เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะถูกอามู่เต๋อคุมตัวไว้จนไร้หนทางจะติดต่อข้าได้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะสบายเช่นนี้ทำให้ข้ากังวลอยู่เสียตั้งนาน”
เขายื่นมือออกไป “เอาเรื่องเล่าของวันนี้มาเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วจึงหยิบข้อความส่วนหนึ่งออกมาจากอกและรีบซักถาม “ผลเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ไม่เลว” ตงฟางเชวี่ยสั่นศีรษะ “แต่ยามนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินก็มาที่นี่แล้ว ข้าย่อมสามารถไปมาตามใจชอบได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องคิดหาวิธีต่างๆ สมองแทบระเบิดเพื่อเข้าใกล้เจ้า”
ตงฟางเชวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกในขณะที่ทั้งร่างคนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าพูดอันใดกัน เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจเลยเล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอันใดกันแต่ก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
“ที่แท้เจ้าก็ยังมิได้บอกเขาหรือ?” ตงฟางเชวี่ยแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง “เอาเถิด เช่นนั้นในใจข้าก็รู้สึกเท่าเทียมแล้ว เรื่องสำคัญเช่นนี้เจ้ายังไม่บอกเขาเป็นธรรมดาที่จะไม่บอกเรื่องการมีอยู่ของข้าเช่นกัน ข้าไม่โกรธเจ้าแล้ว”
มองท่าทางใจกว้างของตงฟางเชวี่ย หลิงมู่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และรีบอธิบายเรื่องที่พวกเขาพบว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางอยู่ที่แคว้นซีอวี้อย่างละเอียด ถึงขั้นบอกถึงแผนการของพวกเขาด้วย
หลังนางกล่าวจบตงฟางเชวี่ยก็กล่าวอย่างจริงจัง “เล่าจบแล้วหรือ? ข้าคงพูดได้แล้วใช่หรือไม่?”
เห็นเขามีท่าทีจริงจัง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าเขามีเรื่องสำคัญจะกล่าวจึงรีบตั้งใจฟัง “เจ้าสืบเจอสิ่งใดหรือ?”
“ท่านปรมาจารย์ปรากฏตัวแล้ว!”
เพียงประโยคเดียวก็พอจะทำให้ทุกส่วนในกายของหลิงมู่เอ๋อร์เดือดพล่าน
นางรีบลุกขึ้นมาอย่างตกตะลึง “ปรากฏตัวที่ใด เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เมื่อวานในตำหนักองค์ชายรองมีคนมารายงานว่ามีคนบุกเข้าไปในห้องลับที่มีดอกไม้ประจำแคว้นอยู่! อามู่เต๋อพาคนไล่ตามไปทันทีแต่ก็ไม่อาจตามจับมาได้ และเมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว”
ตงฟางเชวี่ยเชิดหน้าอย่างมั่นใจ “แม้อามู่เต๋อจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใดทั้งยังไม่อาจจับคนได้ แต่ข้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นท่านปรมาจารย์เป็นแน่!”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าแม้ภายนอกตงฟางเชวี่ยจะมีท่าทางเอ้อระเหย แต่นิสัยเหมือนกับหนานกงอี้จือ ยามที่พบเจอเรื่องสำคัญก็จะจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นพวกเราจะตามหานางได้อย่างไร? ข้างกายอามู่เต๋อมียอดฝีมือมากมายยังไม่อาจจับนางได้ก็รู้ได้แล้วว่านางมีฝีมือล้ำเลิศยิ่ง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดนางจึงปรากฏตัวในห้องลับ หรือนางก็อยากได้ดอกไม้ประจำแคว้นเช่นกัน?”
“นี่ก็เป็นคำถามที่ข้าอยากรู้เช่นกัน”
ตงฟางเชวี่ยกล่าว “เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่คิดจะไปตรวจสอบหรือ? พวกเราควรลงมืออย่างไรดีเล่า?”
หลิงมู่เอ๋อร์จมลงสู่ห้วงความคิดโดยพลัน
นางย่อมอยากตรวจสอบแน่นอน นางมีความรู้สึกเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางผู้นี้ เป็นความสงสัยที่มากพอจะทำให้นางละทิ้งเรื่องสำคัญทั้งหมด
แต่คนผู้นี้เหตุใดจึงลึกลับเช่นนี้? แม้แต่อามู่เต๋อก็ยังจับไม่ได้ พวกเขายิ่งยากจะลงมือได้
“เซ่าเฉิน บางทีท่านอาจมีความเห็นจะแนะนำข้ากระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์เล่าเรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางให้เขาฟังแล้ว จึงหวังว่าเขาจะมีความเห็นที่ต่างออกไป
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้สำคัญต่อพวกเจ้ามากเพียงใด แต่ที่นี่คือแคว้นซีอวี้บางทีพวกเราอาจหาคนช่วยได้ผู้หนึ่ง”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าให้หลิงมู่เอ๋อร์โดยที่นางเข้าใจได้ในทันที
“ใช่แล้ว พวกเราสามารถไปหาอามู่ทั่วได้ กำลังคนของเขาหาได้น้อยไม่กว่าอามู่เต๋อ บางทีเขาอาจจะมีหนทาง”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังคิดจะส่งคนไปเชิญองค์ชายใหญ่ แต่ตงฟางเชวี่ยขวางนางไว้โดยพลัน “ช้าก่อน พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าทำตามอำเภอใจเกินไปหรือ?”
“…” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด
“อามู่ทั่วเป็นองค์ชายใหญ่แคว้นซีอวี้ ทั้งยังเป็นผู้ที่ขัดแย้งกับอามู่เต๋อมาโดยตลอด! อีกทั้งเขายังเป็นองค์ชายเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้แคว้นซีอวี้ พวกเจ้าวางใจที่จะนำเรื่องท่านปรมาจารย์ไปบอกเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หากเขามีแผนการในใจ เช่นนั้นพวกเราจะไม่…” นับเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นสวมหรือ?
“ช่างบังเอิญที่ความคิดของข้าตรงข้ามกับเจ้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น “อามู่ทั่วต้องการเป็นฮ่องเต้แคว้นซีอวึ้ซึ่งหากพึ่งกำลังทหารเพียงสิ่งเดียวย่อมไม่อาจเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้กำลังของเขาไม่เพียงพอและหัวเดียวกระเทียมลีบจึงต้องการความช่วยเหลือจากภายนอกมากที่สุด และแคว้นเทียนเฉาก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา”
ดังนั้นเขาย่อมมอบความจริงใจให้เป็นอย่างยิ่ง
“หากต้องการสันติการร่วมมือกันย่อมดีกว่า แม้เขาอาจนำเรื่องปรมาจารย์ที่พวกเจ้าพูดถึงมาข่มขู่พวกเรา แต่อย่างน้อยในยามนี้เขาก็ไม่อาจเคลื่อนหินมาทับเท้าตนเองได้ วางใจเถิดเขาจะต้องช่วยได้แน่นอน”
วันต่อมาพวกเขาก็ได้รับข่าวดีจากองค์ชายใหญ่ตามที่คาด
‘ที่เหลาอาหารอวิ๋นอวี้มีคนเคยเห็นผู้ที่พวกท่านกำลังตามหา’
อ่านข้อความในจดหมายจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็มองซั่งกวนเซ่าเฉินและตงฟางเชวี่ยอย่างดีใจ “ดูท่าแผนของพวกเราจะสำเร็จ! เรื่องเล่าของข้าดึงดูดความสนใจของนางได้สำเร็จ ยังรออันใดอยู่อีก? ไปกันเถิด”
แม้จะเป็นตัวแทนของแคว้นเทียนเฉาในการมาแสดงความยินดีกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นซีอวี้ล่วงหน้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแขกผู้ทรงเกียรติ พวกเขาย่อมสามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์มาที่ตลาดของแคว้นซีอวี้อีกครา นางก็ทอดถอนใจอีกครั้ง
“แม้ฮ่องเต้ของที่นี่จะชั่วร้ายยิ่ง แต่เหล่าประชาชนทั้งซื่อสัตย์และมีมิตรไมตรีเป็นอย่างมาก เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากเมืองหลวง ข้าจึงไม่สบายใจอยู่บ้างที่จะจากไป” นางนั่งอยู่ในรถม้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง หากมิใช่เพราะเวลาเร่งรัดนางก็อยากลงไปดูเสียหน่อย
“ดูท่าแม่นางหลิงจะชอบแคว้นซีอวี้ของพวกเราเป็นอย่างมาก ไม่สู้เอาเช่นนี้เถิด หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้วเปิ่นหวางจื่อจะส่งคำเชิญในนามของแคว้นซีอวี้ ให้ทั้งสามท่านได้มาเพลิดเพลินกับความเป็นอยู่แคว้นซีอวี้เป็นอย่างไร?”
อามู่ทั่วเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรทำให้คนปฏิเสธได้ยาก
“เช่นนั้นก็ขอบคุณองค์ชายใหญ่เป็นอย่างยิ่ง” หลิงมู่เอ๋อร์สบสายตากับซั่งกวนเซ่าเฉิน
แม้จะตอบรับแต่มิได้หมายความว่าจะทำเช่นนั้นจริง เรื่องนี้จะจัดการได้เมื่อใดก็ไม่ทราบ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ทางฝั่งนี้จัดการเรียบร้อยทว่าที่เมืองหลวงยังมีปัญหาใหญ่อยู่
“ถึงแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าเห็นคนที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ที่นี่?”
เมื่อลงจากรถม้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็มองเหลาอาหารอวิ๋นอวี้ที่มีผู้คนคึกคักอย่างไม่มั่นใจ
“คนส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่มาฟังนักเล่าเรื่อง หากเคยมาปรากฏตัวย่อมดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง! คนของข้าแน่ใจว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ที่พวกท่านกำลังตามหา แต่วันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะได้พบนางหรือไม่” อามู่ทั่วทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญให้คนทั้งสามเข้าไป
เจ้าของเหลาอาหารไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับอามู่ทั่ว ยามที่เห็นเขาเข้าไปจึงรีบมาต้อนรับด้วยตนเองและนำพวกเขาไปยังห้องส่วนตัวชั้นสอง
นี่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของเหลาอาหารที่สามารถมองเห็นทุกมุมได้
หลิงมู่เอ๋อร์รีบนั่งบนเก้าอี้ ภายนอกราวกับกำลังฟังเรื่องเล่าแต่แท้จริงกลับมองสังเกตโดยรอบอย่างละเอียดเพื่อหาผู้ที่สงสัยอยู่ในใจ
เรื่องเล่าของนางเกี่ยวกับการกลับไปในยุคปัจจุบัน นางจงใจใช้คำที่ไม่คุ้นเคยทำให้ผู้ฟังสงสัยทั้งยังสับสน แต่นางรู้ว่าในเมื่อคนผู้นั้นปรากฏตัว เช่นนั้นจะต้องฟังเข้าใจเป็นแน่
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวาง สตรีผู้นั้นที่ดูเหมือนกับนางทุกกระเบียดนิ้วจะต้องมาจากอนาคตเหมือนนางเป็นแน่!
“ได้ยินจากนักเล่าเรื่องว่าเรื่องที่กำลังเล่าอยู่ในยามนี้เป็นแม่นางหลิงที่เขียน คาดไม่ถึงว่าแม่นางหลิงจะเก่งกาจเรื่องนี้ด้วย?” อามู่ทั่วชื่นชม “ขอกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง เหลาอาหารอวิ๋นอวี้แห่งนี้อาศัยเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่องในการดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก แต่ได้ยินว่าไม่กี่วันมานี้กิจการของเหลาอาหารโดยเฉพาะยามเย็นจะมีคนมากเป็นพิเศษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนล้วนมาเพื่อฟังเรื่องเล่า แม่นางหลิงฉลาดเฉลียวเช่นนี้เปิ่นหวางจื่อเลื่อมใสนัก!”
อามู่ทั่วกล่าวชมอย่างจริงใจโดยบนใบหน้าหาได้มีร่องรอยของการประจบสอพลออันใดไม่
“องค์ชายใหญ่กล่าวชมเกินไปแล้วกระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มก่อนจะเบนสายตาไป นางจะยอมเสียเวลาเพียงหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาทีไปได้อย่างไร หากพลาดไปในชั่วพริบตานั้นเล่า?
“เหตุใดเจ้าจึงจริงจังถึงเพียงนี้ทั้งที่เจ้าไม่เคยพบนางมากก่อน” ตงฟางเชวี่ยคายเมล็ดแตงโมก่อนจะตระหนักได้ว่าตนเองกล่าวผิดไป
คนที่ไม่เคยพบเสียที่ไหน รูปลักษณ์ของคนผู้นั้นเหมือนกับนางทุกกระเบียดนิ้วราวกับนางส่องคันฉ่องเลยมิใช่หรือ?
“ช่างเถิดๆ เป็นข้ากล่าวผิดไปเอง เป็นอย่างไรบ้าง มองมาทั้งคืนแล้วพบอันใดหรือไม่?” ตงฟางเชวี่ยกล่าวด้วยความอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “มองจนเจ็บตาก็ยังไม่พบอันใด หรือนางได้ข่าววันนี้จึงไม่มา?”
ในใจหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
ได้ยินนางบอกว่าเจ็บตา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบปิดดวงตาของนางและบังคับดึงนางขึ้นโดยไม่สนใจเสียงร้องของนาง “ในเมื่อหาไม่พบก็ไม่ต้องหาแล้ว นางสนใจห้องลับแห่งนั้นเป็นอย่างมากจะต้องไปที่นั่นอีกเป็นแน่ แทนที่จะดักรอคนอยู่ที่นี่ไม่สู้ไปสนใจการเคลื่อนไหวที่ห้องลับจะดีกว่า พวกเราไปเถิด”
ไม่รอให้นางตอบสนอง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็โอบเอวของนางอย่างวางอำนาจคิดจะพานางเดินไป
“ข้าไม่ไป!” หลิงมู่เอ๋อร์ต่อต้านคิดจะใช้ไพ่ตายสุดท้ายโดยการใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมให้นางได้อยู่ต่ออีกสักหนึ่งชั่วยาม แต่ยามที่นางหมุนกายดวงตาทั้งสองข้างก็ถูกดึงดูดด้วยดวงตาเฉียบแหลมคู่หนึ่ง
ที่ฝั่งตรงข้ามมีสตรีผู้หนึ่งในชุดเรียบง่ายสวมผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นเพียงสายตาเย็นชาเฉียบแหลมคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่นางอย่างพิจารณาทั้งยังถึงขั้นยกมุมปากขึ้น
หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์เต้น ‘ตึกตัก’ โดยพลัน!
เป็นนาง!
หลิงมู่เอ๋อร์รีบผลักซั่งกวนเซ่าเฉินและคิดจะไล่ตามไป แต่น่าเสียดายที่เงาร่างนั้นหายไปอย่างรวดเร็วราวกับภาพเมื่อครู่เป็นนางที่เข้าใจผิดไปเอง