เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 19 ตอนที่ 544 ท่านปรมาจารย์ยังไม่ตาย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 544 ท่านปรมาจารย์ยังไม่ตาย
เล่มที่ 19 ตอนที่ 544 ท่านปรมาจารย์ยังไม่ตาย
“หลิงมู่เอ๋อร์บอกมาว่าเจ้าใช้มนต์ดำอันใดทำให้เสด็จพี่ของข้าลุ่มหลงเจ้าหัวปักหัวปำเช่นนี้! วันนี้ข้าจะต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าให้จงได้!”
มั่วจวินเหยากล่าวก่อนจะพุ่งเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์โดยพลัน ยื่นมือออกไปจู่โจมใบหน้าของนางด้วยท่าทางราวกับจะฉีกผิวของนางเสีย
หลิงมู่เอ๋อร์รีบเอียงกายหลบเลี่ยงแต่เพราะพื้นที่คับแคบ อีกทั้งร่างกายนางยังหนักอึ้งทำให้เกือบโดนการจู่โจมอย่างอำมหิตของอีกฝ่าย “มั่วจวินเหยา หากเจ้าจะเสียสติก็ไปที่อื่นอย่ามาหาเรื่องข้าที่นี่!”
“ข้าเสียสติหรือ? ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าเจ้าเป็นปีศาจ!” มั่วจวินเหยาตะโกนใส่นาง ไม่นานก็หันไปมองเหล่าผู้คนรอบด้าน “ทุกคนอย่าได้ถูกสตรีผู้นี้หลอกลวง! นางมิใช่คนของแคว้นซีอวี้ของพวกเรา นางเป็นไส้ศึกที่แคว้นศัตรูส่งมา! คราแรกยามที่นางยังอยู่แคว้นศัตรูก็ถูกคนเรียกว่าปีศาจ แม้ข้าจะไม่รู้ว่านางใช้เล่ห์กลอันใดแต่นางเป็นปีศาจ นางมาที่แคว้นซีอวี้ของพวกเราเพราะไม่อาจอยู่ที่แคว้นศัตรูได้ เหล่าพี่น้องลุงป้าน้าอาทุกคนอย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกเป็นอันขาด!”
ได้ยินคำพูดนี้ฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ภาษาถิ่นของแคว้นซีอวี้เหล่านี้ที่ทุกคนกำลังพูดกัน หลิงมู่เอ๋อร์ฟังได้ไม่ชัดเจนนัก
ยามที่นางกำลังคิดว่าเหล่าผู้คนคงถูกมั่วจวินเหยาหลอกให้ไขว้เขว คาดไม่ถึงว่าจะมีคนผู้หนึ่งก้าวนำออกหน้ามาก่อน
“องค์หญิงเหยาเหยากลับวังของท่านไปเถิดเพคะ ไม่กี่วันมานี้ยามที่ท่านนักบุญนั่งอยู่บนแท่นตรวจที่นี่ก็ได้รักษาโรคให้พวกเราจนหายดีไปมากมาย เป็นการนำพาความหวังมาให้เหล่าประชาชนไม่น้อย ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเป็นผู้ใดแต่ยามนี้นางคือท่านนักบุญของพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมให้ท่านมาว่าร้ายนางเช่นนี้แน่เพคะ!”
“ถูกต้อง พวกเราจะไม่ยอมให้ท่านมาใส่ความท่านนักบุญแน่พ่ะย่ะค่ะ หากท่านนักบุญถูกท่านทำให้โกรธเคืองจนไปจากที่นี่ พวกเราเหล่าประชาชนจะบุกเข้าวังไม่ปล่อยท่านไปเด็ดขาด”
“ขอเชิญองค์หญิงเหยาเหยาออกไปเสียเถิดเพคะ!”
คำว่าออกไปดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหล่าประชาชนถึงขั้นฮึกเหิมขึ้นมา
มั่วจวินเหยาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “พวกเจ้า พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ นางทำยาเสน่ห์อันใดใส่พวกเจ้ากัน พวกเจ้าจึงปกป้องนางเช่นนี้?”
มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่มีท่าทางภาคภูมิใจอีกครา นางก็รู้สึกเกลียดชังสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายเป็นที่สุด “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าช่างมากแผนการเสียจริง อยู่ที่แคว้นเทียนเฉาก็ทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อหลงใหล มาถึงแคว้นซีอวี้ของพวกข้าก็ยังหลอกให้ประชาชนของพวกเราลุ่มหลง เจ้าอย่าคิดว่าแผนของเจ้าจะสำเร็จเลย!”
ในชั่วพริบตานางก็ชักกระบี่ข้างเอวออกมาแทงใส่หลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์หลบไม่ทัน ยามที่กำลังจะถูกโจมตีแขนยาวของตงฟางเชวี่ยก็วาดออกลากร่างของนางถอยออกไปหลายก้าว แต่ด้วยฝีมืออันปราดเปรียวเช่นนี้ของเขาทำให้ถูกเหล่าองครักษ์ของอามู่เต๋อซึ่งอยู่หน้าประตูสังเกตเห็นเข้า
“ทหาร จับเขาไว้!”
ไม่นานเหล่าองครักษ์ก็พุ่งเข้ามา มั่วจวินเหยาไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่หลิงมู่เอ๋อร์กลับลอบสบถว่าสมควรตายนัก
“ไม่ต้องสนใจข้า เจ้ารีบไป มีโอกาสค่อยติดต่อกันอีกครา”
หลิงมู่เอ๋อร์โรยผงยาออกไปกำหนึ่งพลางผลักตงฟางเชวี่ยให้ออกไปข้างนอก มองมั่วจวินเหยาซึ่งอยู่ข้างหลังอีกครา ยามที่แส้ยาวในมือของอีกฝ่ายราวกับหมายจะฟาดเข้ามาก็ได้ยินเพียงเสียงนางกรีดร้อง และล้มลงไปบนพื้นโดยพลัน
“โอ๊ย ท้องข้าปวดเหลือเกิน รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง วันนี้เกรงว่าคงไม่อาจตรวจรักษาให้ทุกท่านได้แล้ว ขออภัยทุกท่านด้วยจริงๆ โอ๊ย…”
หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งกลิ้งอยู่บนพื้นในสถานการณ์วุ่นวาย เหล่าประชาชนเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางทุกคนก็พากันคิดว่าเป็นฝีมือของมั่วจวินเหยา เหล่าผู้คนต่างเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า หลังจากทุกคนใคร่ครวญก็พุ่งเข้าไปล้อมตัวมั่วจวินเหยาโดยพลัน
สถานการณ์ที่เดิมวุ่นวายก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น ในไป่ซ่านถังมีเหล่าผู้คนจำนวนมากซึ่งอามู่เต๋อได้จัดเตรียมองครักษ์ไว้ที่นี่เพียงสี่คน เมื่อยืนยันได้ว่าตงฟางเชวี่ยหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์จึงเพิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พวกเจ้าคิดจะทำอันใดเปิ่นกงจู่? ปล่อยข้า ปล่อยข้าเสีย!”
เสียงกรีดร้องดังมาเข้าหู หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งมองไปจึงเห็นมั่วจวินเหยาถูกเหล่าประชาชนยกขึ้นไว้เหนือศีรษะแล้ว
“ข้าขอเตือนพวกเจ้า ข้าคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของแคว้นซีอวี้ หากพวกเจ้ากล้าไม่เคารพข้า ข้าจะให้เสด็จพี่มาฆ่าพวกเจ้า ยังไม่ปล่อยข้าอีก!”
มั่วจวินเหยาดิ้นรน แต่น่าเสียดายที่แม้แต่นางที่กำลังพูดก็ถูกคนโยนออกไป
ได้ยินเพียงเสียง ‘ตุบ’ คราหนึ่งจากนั้นไม่นานจึงมีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น “พวกเจ้ามันประชาชนโง่งม ชีวิตของพวกเจ้าควรจะเจ็บปวดทรมานไปชั่วชีวิต พวกเจ้า…กรี๊ด!”
แม้จะไม่เห็นกับตาว่าภายนอกเกิดอันใดขึ้น แต่ยามที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของนาง หลิงมู่เอ๋อร์ก็พอจะคาดเดาได้ องค์หญิงแคว้นซีอวี้ผู้ได้รับความโปรดปรานเกรงว่าครานี้คงล้วนทำให้ผู้คนของแคว้นซีอวี้ไม่พอใจเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าอามู่เต๋อผู้มากแผนการหลังจากรู้เรื่องนี้เขาจะคิดอย่างไร
เกรงว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มั่วจวินเหยาคงไร้หนทางจะมาปรากฏตัวต่อหน้านางเป็นแน่
“ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกท่านที่เชื่อในตัวข้า ทุกท่านโปรดวางใจ เพื่อเป็นการขอบคุณในความช่วยเหลือของพวกท่าน คืนนี้ข้าจะไม่พักผ่อนและตรวจรักษาให้ทุกท่านทั้งคืน ข้าขอรับปากทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ว่าข้าจะรักษาอาการป่วยของทุกคนจนเดินออกจากไป่ซ่านถังของข้าไปได้อย่างแข็งแรง!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวออกไปอย่างใจกล้าก่อนจะกลับมาที่หน้าแท่นตรวจโดยพลัน เมื่อได้รับการสนับสนุนและความเชื่อมั่นของผู้คน นางก็ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่นาทีหรือวินาทีเดียว นางตรวจอาการแต่ละคนด้วยตนเอง โดยตลอดการกระทำนั้นหาได้มีท่าทีรังเกียจหรือสีหน้าทะมึนแม้แต่น้อย
“แม่นางนักบุญ ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่อาจเปิดเผยนี้มานานหลายปี ไม่ทราบว่าท่านมั่นใจหรือว่าจะรักษาได้?”
น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นเคยแต่น่าเสียดายที่เมื่อเงยหน้าอีกคราเขากลับเปลี่ยนใบหน้าไปเสียแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์หลุบตาแสร้งทำเป็นตรวจอาการแต่กลับกล่าวพลางทอดถอนใจ “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาอีก?”
“สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เจ้าโง่สี่คนนั้นที่อยู่ข้างนอกย่อมไม่คิดเป็นแน่ว่าข้าจะพาตนเองมาส่งถึงที่ เป็นอย่างไร ข้าฉลาดหรือไม่?”
ตงฟางเชวี่ยขยับริมฝีปากบาง น้ำเสียงเล็กก็ดังมาเข้าหูของนางได้อย่างแม่นยำ
“ทักษะการปลอมตัวของเจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว?” หลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชม “มิน่าเล่าเจ้าจึงกล้าบุกเข้าไปในวังและเรือนพักตากอากาศของอามู่เต๋อ ตงฟางเชวี่ย เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ทั้งยังปรากฏตัวที่โรงหมอได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าพบความลับในห้องลับแล้วใช่หรือไม่?”
มุมปากของตงฟางเชวี่ยยกขึ้นอย่างชั่วร้ายอีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเป็นผู้ใดเล่า? หากข้าออกโรงจะมีเรื่องใดที่ไม่สำเร็จอีกหรือ?”
เก็บแขนกลับมาก่อนเขาจะแสร้งทำเป็นอธิบายอาการป่วยของตนเองแต่ความจริงกลับกล่าวว่า “ข้าแอบไปสำรวจห้องลับอีกคราแล้วทั้งยังพบความลับอย่างหนึ่งด้วย บางทีท่านปรมาจารย์อาจจะยังไม่ตาย!”
ประโยคสั้นๆ นี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์เลือดไหลย้อนโดยพลัน!
อันใดคือการบอกว่ายังไม่ตาย!
ในเมื่อยังไม่ตายเหตุใดจึงไม่กลับมาดูแลหุบเขาเย่าหวางอีกคราเล่า?
แม้หุบเขาเย่าหวางจะก่อตั้งขึ้นมาได้เพียงสามสิบปี แต่ในระหว่างนั้นมีการเปลี่ยนผู้นำหุบเขาไปเป็นจำนวนมาก น่าเสียดายที่หุบเขาเย่าหวางตกต่ำลงมากทีเดียวเมื่อมาถึงมือตงฟางเชวี่ย ตามนิสัยของปรมาจารย์ควรจะโกรธจึงจะถูก หรือหลังจากนางแกล้งตายและออกจากแคว้นเทียนเฉาก็มาอาศัยอยู่ที่แคว้นซีอวี้?
“แม้ภายนอกคุณชายจะดูปกติแต่ความจริงได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับพิษอันแปลกประหลาดอีกด้วย มาที่ห้องส่วนตัวกับข้าจะดีกว่า”
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกเป็นอย่างยิ่งก่อนจะเดินนำหน้าไป
ตงฟางเชวี่ยเชื่อฟังเดินตามหลังไปโดยพลัน ซึ่งตลอดการกระทำนั้นหาได้มองไปรอบด้านมากมายนักจึงมิได้ทำให้องครักษ์เงาสงสัยอันใด
เมื่อมาถึงในห้องส่วนตัวหลิงมู่เอ๋อร์ก็ลงกลอนโดยพลัน ยามที่ยืนยันแล้วว่ารอบด้านไม่มีผู้ใดจับตาดูหรือแอบฟังอยู่นางจึงรีบเอ่ยปาก “ตกลงว่ามันเกิดอันใดขึ้น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางยังไม่ตาย แล้วคนที่ยังมิตายไปอยู่ที่ใดเล่า?”
“เรื่องปรมาจารย์ของข้า เจ้าจะสงสัยมากถึงเพียงนี้ไปเพื่ออันใดกัน?” ตงฟางเชวี่ยแค่นเสียง “โอ้ ข้าจำได้แล้ว รูปลักษณ์ของท่านปรมาจารย์เหมือนเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว ไม่แน่อาจเป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าที่พลัดพรากจากกันไปนานก็เป็นได้”
เห็นท่าทีไม่จริงจังของเขา ใบหน้างามของหลิงมู่เอ๋อร์ก็มืดครึ้มลงโดยพลัน “ตงฟางเชวี่ย เจ้าจะจริงจังมากกว่านี้เสียหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าไม่จริงจังเมื่อใดกัน?”
ตงฟางเชวี่ยไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ เห็นนางโกรธอยู่บ้างจึงรีบยื่นมือทั้งสองข้างออก “ได้ๆๆ ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว”
เขาหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ข้าบังเอิญพบมันใต้ที่นอนของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้ พูดไปได้แล้วน่าเศร้าแทนเขาเสียจริง คนก็ล้วนไปโลกหลังความตายแล้ว แต่น่าเสียดายที่เหล่าโอรสของเขาต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กันจนไม่สนใจจะมาทำความสะอาดห้องของเขาเลย กุญแจดอกนี้ข้าเจอนานแล้วแต่เพิ่งจะพบประโยชน์ของมัน มันเป็นกุญแจห้องลับซึ่งอยู่ติดกับห้องลับที่มีดอกไม้ประจำแคว้นอยู่”
ตงฟางเชวี่ยกล่าวซึ่งแม้แต่ตนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ “ห้องลับนั้นไม่เหมือนกับห้องลับห้องอื่น หากให้อธิบายโดยละเอียดมันก็เหมือนเป็นห้องลับห้องหนึ่งซึ่งภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเพียบพร้อม ดูจากเสื้อผ้าอาหารของจำเป็นในการดำรงชีวิตเหมือนเป็นห้องของสตรี และข้าก็พบสิ่งนี้ข้างในนั้น”
กล่าวจบเขาก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาให้หลิงมู่เอ๋อร์ราวกับเล่นกล
“รวมผลงานยาในวังหลวงของหุบเขาเย่าหวางเล่มสอง” หลิงมู่เอ๋อร์อ่านก่อนที่เลือดทั่วทั้งร่างจะเดือดพล่านขึ้นมาโดยพลัน
“วิเคราะห์ตามระดับความแห้งชื้นของหมึกบนปก หากข้าเดาไม่ผิดน่าจะเขียนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ห้องของสตรี ตำราที่เขียนเกี่ยวกับหุบเขาเย่าหวาง เจ้าคิดว่าคนผู้นี้คือผู้ใดกันเล่า?”
ได้ยินคำพูดนี้ในหัวของหลิงมู่เอ๋อร์ก็นึกถึงปรมาจารย์ของหุบเขาเย่าหวางขึ้นมาเป็นคนแรก คนผู้นั้นซึ่งดูเหมือนนางเป็นอย่างยิ่ง!
“หนึ่งเดือนก่อนหรือ? กล่าวได้ว่าก่อนที่พวกเราจะมาแคว้นซีอวี้ นางอาจจะยังอยู่ในวังหลวงแคว้นซีอวี้ แต่นางไปที่ใดเสียแล้วเล่า? เหตุใดนางจึงอยู่ที่ห้องลับในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แคว้นซีอวี้? นางเกี่ยวข้องอันใดกับฮ่องเต้แคว้นซีอวี้? ที่สำคัญคือในยามนี้นางอยู่ที่ใด?”
ตงฟางเชวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็อยากรู้คำถามเหล่านี้ที่เจ้าถาม แต่น่าเสียดายหากต้องการคำตอบเกรงว่าทำได้เพียงต้องรอให้ดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้เบ่งบาน”
“คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ตงฟางเชวี่ยไม่พูดอันใด แต่เขาได้ยินเสียงบางสิ่งอย่างเลือนรางทำให้คิ้วงามของเขาขมวดรวมกันโดยพลัน
เขาวางนิ้วชี้ไว้กลางริมฝีปาก ใช้สายตาชี้ไปด้านบนสื่อว่ามีคนอยู่บนหลังคา
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจสายตาของเขาโดยพลัน นางและตงฟางเชวี่ยสบตากันก่อนทั้งสองคนจะเดินแยกไปข้างหน้าต่างทั้งสองด้าน
ไม่ทราบว่าสัญญาณลับของทั้งสองคนมาจากที่ใด ยามที่หลิงมู่เอ่อร์เปิดหน้าต่างตงฟางเชวี่ยก็ทะยานร่างออกไปโดยพลัน หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งอยู่ในห้องฉวยโอกาสซัดเข็มเงินออกไปสามเล่ม ได้ยินเพียงเสียงร้อง ‘อึก’ คราหนึ่งก่อนจะเห็นตงฟางเชวี่ยโอบร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกหน้าต่างแล้ว
“ดูท่าตัวตนจะถูกเปิดเผยเสียแล้ว”
ตงฟางเชวี่ยทอดถอนใจ ค้นเจอป้ายออกคำสั่งของอามู่เต๋อบนร่างของชายผู้นั้น
“ยังดีที่เจ้าสังเกตเห็นเขา ไม่เช่นนั้นหากคำพูดของพวกเรารั่วไหลไปถึงอามู่เต๋อคงแย่เป็นแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์ตบหน้าอกแทงเข็มเงินใส่ชายผู้นั้นไปสองเข็ม เมื่อยืนยันได้ว่าเขาหมดสติไปแล้วจึงรีบคว้าไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเคร่งเครียด “ตงฟางเชวี่ย หากเจ้ายังอยู่ที่แคว้นซีอวี้ย่อมมีอันตรายได้ทุกเมื่อ แม้อามู่เต๋อจะไม่รู้ความลับในห้องลับของแคว้นซีอวี้ แต่หากเขาเห็นภาพวาดนั้นแล้วย่อมต้องรู้ว่าข้าและปรามาจารย์ของหุบเขาเย่าหวางเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ดังนั้นเขาย่อมหาโอกาสทำให้ทุกสิ่งกระจ่างเป็นแน่ เจ้าไม่อาจตามสืบได้อีกแล้ว”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? เมื่อรู้ว่าท่านปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่หาคนให้เจอข้าจะเป็นลูกศิษย์สายตรงของหุบเขาเย่าหวางแบบใดกัน?” ตงฟางเชวี่ยไม่เห็นด้วย “ยิ่งไปกว่านั้น ท่านปรมาจารย์เป็นหรือตาย เหตุใดจึงต้องมาอยู่ที่แคว้นซีอวี้ ตามหลักแล้วข้าก็ควรหาเหตุผลให้พบ”
เขาตบไหล่นาง “วางใจเถิด เปิ่นกงจื่อมีโชคมีวาสนามาตั้งแต่เล็กย่อมไม่ตายโดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าสตรีที่เหมือนกับเจ้าทุกกระเบียดนิ้วผู้นี้อยู่ที่ใด? พวกเราไปหาด้วยกันดีหรือไม่?”