เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 18 ตอนที่ 524 เพราะเหตุใดถึงช่วยข้า?
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 18 ตอนที่ 524 เพราะเหตุใดถึงช่วยข้า?
เล่มที่ 18 ตอนที่ 524 เพราะเหตุใดถึงช่วยข้า?
“ท่านอาจารย์!”
ตงฟางเชวี่ยจริงจังขึ้นมาอย่างยากที่จะได้เห็น “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยพาเจ้าไปดูห้องลับในหุบเขาเย่าหวาง? อุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในนั้น ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าใต้หล้านี้ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยลมาก่อน และเรื่องที่เจ้าเอ่ยมาทั้งหมดเมื่อครู่ ความมหัศจรรย์ของห้องลับแห่งแคว้นซีอวี้นั้นคล้ายคลึงกับที่ท่านอาจารย์สร้างขึ้นมาก อีกทั้งนางยังเป็นสตรีด้วย? โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เขาลูบคาง ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า “เพียงมีจุดเดียวที่ข้ามิอาจเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ประหลาดใจ “อะไรหรือ?”
“หากอิงตามเหตุผลแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์ก่อตั้งหุบเขาเย่าหวางขึ้นมา ท่านอาจารย์ไม่เคยออกจากหุบเขาเย่าหวางเลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเดินทางมาซีอวี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
“หรือเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นก่อนที่การก่อตั้งหุบเขาเย่าหวาง?”
“เช่นนั้นท่านอาจารย์หญิงก็เก่งกาจเกินไปแล้ว!” จู่ๆ ตงฟางเชวี่ยก็กระโดดเด้งขึ้นมาจากเก้าอี้ เขาเปล่งเสียงร้องด้วยความลิงโลด ราวกับเก็บสมบัติวิเศษได้ก็ไม่ปาน ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
เขาโน้มกายลงมาตรงหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านอาจารย์ก่อตั้งหุบเขาเย่าหวางขึ้นมา ท่านมีอายุเท่าไหร่? สิบหก นางมีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น แม้ตัวข้าจะถือว่าตนเองมีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์ ทว่ายามที่ข้ามีอายุเพียงสิบหกปี ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมิได้รับการชี้แนะจากท่านอาจารย์เฉกเช่นนี้ หากท่านอาจารย์มาเยือนซีอวี้ก่อนอายุสิบหก และช่วยฮ่องเต้แห่งแคว้นซีอวี้สร้างพระราชวังที่มหัศจรรย์เช่นนี้จริง เจ้าลองคิดดูสิว่า ท่านอาจารย์จะยอดเยี่ยมเพียงใด?”
ภายในส่วนลึกของหัวใจหลิงมู่เอ๋อร์มิจำเป็นต้องใช้คำว่าตื่นตกใจมาพรรณนาตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่นางมิอาจไม่ยอมรับได้ว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวางนั้นดึงดูดความสนใจของนางได้สำเร็จ หากเป็นไปได้ นางอยากเห็นมันด้วยตาของตนเองสักครั้งจริงๆ
“ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของท่านอาจารย์แห่งหุบเขาเย่าหวังจริงหรือไม่ ไว้มีโอกาสพาเจ้าไปที่ห้องลับของพระราชวังแคว้นซีอวี้ เจ้าก็รู้แล้ว ทว่ายามนี้คำถามแรกที่ต้องถามคือ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการอยู่ข้างกายข้าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนี้?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองประเมินเขาอีกครั้ง มุมปากเหยียดรอยยิ้มเย็นชา ท่าทางเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เดิมทีนางคิดว่าแม่นางหม่าเซียะนั้นโตมามีหน้าตาที่งดงามพิลาสล้ำ ทว่าหลังจากที่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าคือตงฟางเชวี่ย นางก็เหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น… คือทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ
“หากไม่เช่นนั้นเล่า? ต่อให้ข้าสามารถพาเจ้าหนีไปได้ แต่เจ้าจะยินยอมหนีไปกับข้าหรือ? ไม่ใช่สิ ต่อให้เจ้าจะหนี ข้าก็จะไม่พาเจ้าไป ในเมื่อใต้หล้านี้มีพืชวิเศษที่สามารถรักษาโรคแปลกประหลาดในตัวของเจ้าได้ คนเช่นข้าที่หลงใหลในการแพทย์ จะไม่อยู่ลองชมดูสักคราได้อย่างไร?”
เอ่ยจบ ตงฟางเชวี่ยก็ทรุดกายนั่งลงไขว่ห้างบนเก้าอี้ที่ตรงข้ามกับหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยท่าทางราวกับว่าไหนๆ ก็มาแล้วก็จงทำตัวให้สบายเถิด
“ดังนั้น บุรุษผู้สูงส่งเช่นเจ้า ทายาทรุ่นที่สามสิบแปดแห่งหุบเขาเย่าหวางจะปลอมตัวเป็นสตรีมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายข้า ตงฟางเชวี่ย เจ้าไม่รู้สึกรังเกียจตนเองหน่อยหรือ?”
“เฮ้อ ข้าขอบอกเลยนะว่าคนเช่นเจ้านี่นอกจากไม่เห็นความตั้งใจอันดีของผู้อื่นแล้ว ยังคิดจะแว้งกัดกลับอีก ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า!” แม้ว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าตงฟางเชวี่ยกลับเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหัวด้วยท่าทีได้ใจ ราวกับว่าอารมณ์ในยามนี้ดีเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าคงคิดว่าเรื่องนี้น่าสนุกกระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์มองทะลุความคิดภายในหัวของเขาได้เพียงแค่มองแวบเดียว “สามารถไปไหนมาไหนในพระราชวังแห่งซีอวี้ได้อย่างอิสระ วิชาตัวเบาของเจ้าล้ำเลิศ อย่างไรเสียหากถูกพบตัวก็สามารถเหาะหนีได้ทันที ไม่มีผู้ใดติดตามเจ้าทันแน่นอน! อีกทั้งตัวเจ้านั้นจะแต่งกายเป็นคนที่ทุกคนจะคาดไม่ถึง การละเล่นนี้ดูอย่างไรก็น่าตื่นเต้นไม่ใช่หรือ?”
“บอกข้าทีว่าเหตุใดเจ้าถึงฉลาดถึงเพียงนี้!”
ตงฟางเชวี่ยกะพริบตาปริบๆ ฉวยผิงกั่วได้ก็โยนให้นาง “เจ้าวางใจเถิด มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเอาไว้แน่ ถึงแม้ว่าตัวข้านั้นจะสงสัยเหลือเกินว่าดอกไม้ประจำแคว้นคืออะไร ทว่าหากเจ้าเอ่ยเพียงว่าต้องการไป ข้าก็จะพาเจ้าไปทันที เป็นอย่างไร?”
เกิดระลอกคลื่นแห่งความซาบซึ้งขึ้นในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ ทว่าอารมณ์ซาบซึ้งนี้กลับมิได้มาแทนที่อารมณ์ส่วนเหตุผลของนาง “เหตุใดถึงต้องช่วยข้าด้วย?”
เสียงที่เอ่ยถามทั้งเย็นชาทั้งไร้หัวใจ ราวกับชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ตรงหน้านาง ไม่ใช่สิ สาวงามตรงหน้านี้มิใช่สหายสนิท แต่เป็นศัตรูที่มีความแค้นใจอย่างสุดซึ้ง
“หรือพวกเรามิใช่สหายกัน?” รอยยิ้มบนใบหน้าของตงฟางเชวี่ยค่อยๆ มลายหายไป
ก่อนที่สีหน้าของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นอ้างว้างและโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว “ข้าคิดว่าในช่วงเวลาสามวันที่ได้รู้จักกันในหุบเขาเย่าหวาง ข้ากับเจ้าจะกลายเป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกันไปเสียแล้ว ที่แท้แล้วก็มีเพียงข้าคนเดียวที่รู้สึกไปเอง เฮ้อ สวรรค์ทรงโปรด เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ไร้หัวใจยิ่งนัก ซั่งกวนเซ่าเฉินกับซูเซ่อ…”
“หยุด!” หลิงมู่เอ๋อร์หยุดคำพูดที่ไร้ขอบเขตเอาไว้ทัน “หากเจ้าเอ่ยอีกคำหนึ่ง ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย!”
“เหตุใดถึงเอ่ยเหมือนกับคนคนนั้นเลยเล่า!”
สองมือของตงฟางเชวี่ยรีบปิดปากของตนเองทันที “หรือว่าลิ้นของข้ามีเสน่ห์มากเสียจนทำให้พวกเจ้าสองสามคนอยากจะเอามันไปเป็นของตนเอง? เอาเถิด เห็นแก่ความงามของเจ้า ข้าจะให้เจ้าก่อนแล้วกัน”
เอ่ยไปพลาง ตงฟางเชวี่ยก็แลบลิ้นออกมาก่อนโน้มตัวมาตรงหน้า หลิงมู่เอ๋อร์หลบไม่ทัน นางเกือบจะถูกเขากระโจนเข้าใส่
“ตงฟาง…”
“ชู่ ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ข้าคือหม่าเซียะ สาวใช้ประจำกายของเจ้า”
ตงฟางเชวี่ยส่งนิ้วชี้บนไปแตะบนริมฝีปากของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาตั้งสมาธิมองนางอย่างแน่วแน่แม้จะมีปัญหายุ่งยากใจมากมายเพียงใดก็ตาม “ข้าน้อยหม่าเซียะคารวะนายท่านแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางยังมีรับสั่งอันใดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
ชั่ววินาทีนั้น เขาพลันเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงมาตรฐานของเป็ด ท่าทีที่เขาใช้คำนับนางด้วยความเคารพ มีแต่ชวนให้หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเพียงเหงื่อเย็นที่ไหลชโลมหลังเท่านั้น
“จิ๊ๆๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าในอนาคตจะมีสตรีคนใดกล้าแต่งงานกับเจ้า ช่างโชคร้ายเหลือเกิน” หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตา ยามที่ตงฟางเชวกำลังจะโกรธนั่นเอง นางก็กลับมาสู่หัวข้อเดิม “แต่ว่า ขอบคุณนะ”
การได้พบตงฟางเชวี่ยในซีอวี้นับว่าเป็นเรื่องที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่เคยคิดจะฝันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาจะเป็นเพราะความหลงใหลที่มีต่อการแพทย์หรือมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่น กล่าวโดยสรุป การที่มีคนคุ้นเคยอยู่เคียงข้าง ย่อมทำให้นางรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
“ที่แท้แล้วเจ้าก็เอ่ยขอบคุณเป็นกับเขาด้วยหรือ?” ตงฟางเชวี่ยดูตื่นตกใจเหลือคนา
สองมือของเขาไพล่หลัง สายตากวาดมองไปทั่วทั้งสี่ทิศด้วยท่าทางเบิกบานอารมณ์ดี “ดูเหมือนว่าในสายตาอามู่เต๋อคนนั้นจะให้ความสำคัญกับเจ้ามากทีเดียว เป็นแค่นักโทษคนหนึ่ง แต่มิได้จับไปไว้ในกรงขังที่ชื้นแฉะมืดสนิทก็ช่าง ทว่ากลับปล่อยให้เจ้าอยู่ในห้องหรูหราเช่นนี้ เอ่ยตามตรง เจ้าไม่ได้อยากกลับไปแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าตงฟางเชวี่ยไม่จริงจังเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เริ่มสงสัยว่าเขากินอะไรถึงได้โตมาเช่นนี้
“ก็ใช่นะสิ ทั้งอาหารการกินที่อยู่เสื้อผ้าอาภรณ์ ล้วนไม่จำเป็นต้องกังวล ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องเปลืองกำลังสมองให้คิดมาก อีกทั้งยังไม่ต้องห่วงว่าจะมีผู้ใดบุกเข้ามาลอบสังหาร เพียงแค่ออกคำสั่งก็จะมีบ่าวมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ที่สำคัญยังจัดหาคนมาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนโดยเฉพาะ ช่างเป็นชีวิตที่สุขเกษมเปรมปรีดิ์จริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า มองเขาอย่างจดจ่อแม้จะมีเรื่องให้กังวลใจ “ยกให้เจ้าดีหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าเขาอึ้งค้างสมองไม่สั่งการไปชั่วครู่ หลิงมู่เออร์ก็หยักยิ้มมุมปากด้วยความซุกซน “อย่างไรเสียเจ้าก็ปลอมกายได้งดงามเย้ายวนใจถึงเพียงนี้แล้ว มิสู้เจ้าลองปลอมเป็นตัวข้า ในเมื่อสามารถครอบครองความงามเช่นนี้ได้ เจ้าย่อมสามารถสืบหาความลับของดอกไม้ประจำแคว้นได้ด้วยเช่นกัน นี่มิใช่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือ?”
สีหน้าของตงฟางเชวี่ยค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงระเรือของดอกกุหลาบกลายเป็นเขียวครึ้ม ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นซีดขาวอีกครั้ง “ฝันไปเถิด! หากมิใช่เพราะวิธีการเช่นนี้สามารถทำให้ข้าใกล้เจ้าได้ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทำลายภาพลักษณ์ตนเองหรือ?”
เอ่ยไปเอ่ยมาก็ให้รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม “สตรีเช่นเจ้า ไม่ขอบคุณก็ช่างมันเถิด แต่ยังคิดจะล้อเลียนซ้ำเติมข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ให้เจ้าหาทางรอดเอาเอง?”
“หากเจ้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ เซ่าเฉินเองก็ต้องรู้เช่นกัน ผ่านไปหลายวันขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะกำลังเดินทางมายังซีอวี้นี้ก็ได้” หลิงมู่เอ๋อร์จงใจเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนางมิได้มีเจตนาจะขับไล่เขาออกไป
และตงฟางเชวี่ยเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายในคำพูดของนาง ทว่าเขากลับส่ายหัวอย่างจริงจัง “ยากที่จะเป็นไปได้ อามู่เต๋อเป็นคนเจ้าเล่ห์ล้ำลึก เก่งกาจในการวางกับดักหลุมพราง เจ้าคิดว่าเขาจะเต็มใจพาน้องสาวที่เพิ่งแต่งงานไปได้ครึ่งปี ยินยอมอยู่เฉยๆ ทนมองมั่วจวินเหยาถูกคนเขียนใบหย่าให้โดยไม่ลงมือทำอันใดหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ฉินรั่วเฉินเองก็เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เจ้าคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะมีเวลามาจัดการเรื่องของเจ้าจริงๆ หรือ?”
“รอให้ข้ากลับไปได้ก่อน ข้าจะไม่มีวันปล่อยฉินรั่วเฉินไปแน่!”
ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์จับจ้องไปที่ผนังฝั่งตรงข้ามเขม็ง หากดวงตาของนางสามารถสังหารใครได้ กำแพงนั้นคงจะเต็มไปด้วยรูพรุนมากมายไปแล้ว
เมื่อคิดถึงแผนการในวันนั้น คิดถึงความโกลาหลในแคว้นเทียนเฉา คิดถึงซูเช่อที่ถูกคิดบัญชีเหมือนกัน… หลิงมู่เอ๋อร์พลันสูดลมหายใจเข้าลึก
“อะไรกัน? ยอมแพ้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ที่ทอดถอนหายใจนี่เพราะยอมรับแล้วว่ามิใช่คู่ต่อสู้หรือ?” ตงฟางเชวี่ยไม่ชอบท่าทีทอดถอนใจของนาง ในสายตาของเขา หลิงมู่เอ๋อร์คือคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวที่มีฝีมือสูสีกับเขา คนเช่นนี้ไม่ควรจะมีนิสัยเช่นนั้น นางควรจะยืดอกสวยสง่า องอาจผึ่งผาย ควรจะแตกต่างจากผู้อื่น
“มิใช่ ข้าเพียงแต่คิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มศีรษะ หมุนนิ้วของตนเองเล่นไปมา
หงหยวน นางนึกถึงหงหยวนขึ้นมา
แม้ว่าตลอดมานางจะรู้ว่าหงหยวนได้รับคำสั่งให้จงใจเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดนาง และนางก็คาดเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคอยสั่งการคือผู้ใด ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นซู่เช่อ!
ท่าทางประหม่าของหงหยวนที่มีต่อซูเช่อในวันนั้น เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับนางที่จะยืนยันว่าหงหยวนคือคนของซูเช่อ ทว่าซู่เช่อไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายอย่างนั้นนี่ แต่ว่าหากไม่ใช่ เหตุใดหงหยวนถึงได้จงใจกระจายข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของนางออกไปเล่า?
ซู่เช่อ นางยอมรับว่านางอาลัยอาวรณ์ในความดีที่เขามีต่อนาง และนางก็รู้ดีด้วยว่าต่อให้นางชดใช้ด้วยชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็ยังไม่เพียงพอที่จะตอบแทนบุญที่นางติดค้างเขา ทว่าเขากลับส่งคนมาจับตามองนาง เหตุใดเขาถึงดูแคลนความไว้เนื้อเชื่อใจที่นางมีต่อเขาเช่นนี้?
“นอกจากซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว ในใจของเจ้ายังมีบุรุษอื่นอีกหรือ? จิ๊ๆๆ เอ่ยออกมาให้ข้าฟังหน่อยสิ ตกลงแล้วเป็นเรื่องราวหวานซึ้งชวนฝันเช่นไรกันแน่?”
ตงฟางเชวี่ยคิดว่าคนที่หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงเป็นบุรุษ ดังนั้นเขาจึงจงใจนั่งยองๆ ลงข้างนางเสมือนนักเลงข้างถนน
หลิงมู่เอ๋อร์คว้าลูกผิงกั่วไว้ในมือก่อนใช้มันตบลงบนหัวเขาอย่างเหี้ยมโหดทันที ยามที่ตงฟางเชวี่ยกำลังทุกข์ทรมาน นางก็กัดกินลูกผิงกั่วในมือด้วยท่าทางพออกพอใจ “อืม แกนกลางหวานมาก ดูแล้วต้องอร่อยเป็นแน่ ที่แท้แล้วหัวของผู้นำแห่งหุบเขาตงฟางยังมีสรรพคุณเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มีดในการตัด เยี่ยมยอด เยี่ยมยอด”
“หลิงมู่เอ๋อร์ สตรีเช่นเจ้านี่นะ!”
ตงฟางเชวี่ยโมโหเป็นอย่างยิ่ง เขาแย่งลูกผิงกั่วที่ผ่าแยกเป็นสองซีกมาจากมือของนาง “ข้าใช้หัวผ่าลูกผิงกั่ว จะยอมให้เจ้าได้เปรียบง่ายๆ ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นแววตากินคนจากหลิงมู่เอ๋อร์ เขาพึงพอใจในแบบฉบับของตนแล้ว “เจ้าไม่เอ่ยว่าช่างมัน แต่ต่อให้ไม่พูดข้าก็รู้ว่าเจ้ากำลังห่วงใยเรื่องอันใดอยู่! ยามนี้เมืองหลวงตกอยู่ในความอลหม่านครั้งใหญ่ เกรงว่าราชสำนักกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อำนาจกำลังจะเปลี่ยนมือ เจ้ามิใช่เหยื่อเพียงคนเดียวของเรื่องนี้ ทว่าข้าคิดว่ามีคำบางคำที่ข้าควรจะเอ่ยอยู่ดี ตัวเจ้าถูกจับมาอยู่ที่นี่แล้ว ซีอวี้อยู่ห่างจากแคว้นเทียนเฉาหลายพันลี้ ดังนั้นเจ้าควรพุ่งความสนใจไปที่การหาวิธีเพื่อให้ได้สิ่งที่เจ้าต้องการดีกว่า”
ตงฟางเชวี่ยเอ่ยคำพูดแทงทะลุกลางใจของนางอีกครั้ง ในคราแรกนางไม่สนใจ ทว่ายามนี้เมื่อมาครุ่นคิดดูดีๆ ตาจิ้งจอกเฒ่าคนนี้คงรู้ทุกอย่างแล้ว
“เจ้าตามข้ามาที่ซีอวี้ พำนักอยู่ในซีอวี้มานานหลายวัน ดูท่าแล้วทั้งเรื่องที่ควรรู้และไม่ควรรู้ เจ้าคงรู้หมดแล้วทั้งสิ้น! ตงฟางเชวี่ย มิใช่ว่าเจ้ารู้จุดประสงค์ที่อามู่เต๋อจับข้ากักขังไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ ตาเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์?”
“วันนั้นที่หุบเขาเย่าหวาง จู่ๆ เจ้าก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาข้า จากนั้นจู่ๆ เจ้าก็มีเข็มเงินและยาถอนพิษในมือ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่จริงๆ หรือ?” ตงฟางเชวี่ยไม่ได้คิดจะปิดบังอีกต่อไป
“ทว่าในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจรับข้าเป็นลูกศิษย์ แน่นอนว่าข้าต้องหาทางค้นหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ทว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะเอ่ยหรือไม่”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าคนข้างกายนางที่มีความคิดลึกล้ำเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกมากที่สุดคือซูเช่อ ทว่าความเก่งกาจของตงฟางเชวี่ยที่แสดงให้เห็นในวันนี้ ไม่แน่ว่าอาจสูงกว่าซูเช่อด้วยซ้ำ
นางกลอกตา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าไม่เคยคิดจริงๆ หรือว่า ถ้าหากดอกไม้ประจำแคว้นนั้นเป็นดอกไม้ปลอมเล่า?”