เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 18 ตอนที่ 519 สตรีผู้ยอดเยี่ยม
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 18 ตอนที่ 519 สตรีผู้ยอดเยี่ยม
เล่มที่ 18 ตอนที่ 519 สตรีผู้ยอดเยี่ยม
หลิงมู่เอ๋อร์สงสัยจริงๆ ว่าผู้ใดเป็นผู้ออกแบบการสร้างวังหลวงแคว้นซีอวี้ ไม่รู้นางเดินมานานเพียงใดรู้สึกเพียงว่าเดินตามหลังอามู่เต๋อวนเวียนวกไปวนมาผ่านตำหนักจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังผ่านทางเดินลับมากมายก่อนที่ในที่สุดจะพบสถานที่ลับสูงสุด
“ชู่ เสด็จพ่อกำลังบรรทม พวกเราเดินไปทางด้านนี้ อย่าส่งเสียงเล่า”
อามู่เต๋อจรดนิ้วชี้วางไว้กลางริมฝีปากแนะนำหลิงมู่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง กล่าวจบเขาก็เดินนำไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบาด้วยความระวังเป็นอย่างยิ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ยืดคอยาวมองฝั่งตรงข้ามก็เห็นเงาอันเลือนรางหลังฉากกั้น นั่นคือกษัตริย์แคว้นซีอวี้หรือ?
ได้ยินว่ากษัตริย์แคว้นซีอวี้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายมาหลายปี ทุกสิ่งของวังหลวงแคว้นซีอวี้จึงถูกส่งต่อให้องค์ชายใหญ่จัดการนานแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีสภาพป่วยหนักจนแม้ตำหนักบรรทมจะถูกคนบุกเข้ามาก็ล้วนไม่รู้ตัว
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังสงสัย อามู่เต๋อก็พานางไปหลังชั้นหนังสือแล้ว ไม่รู้เขากดส่วนใดเห็นเพียงว่าชั้นหนังสือที่ทั้งชั้นหาได้มีรอยแยกแม้แต่น้อยเปิดออกจากตรงกลาง เผยให้เห็นประตูลับเล็กๆ บานหนึ่ง
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองแคว้นเทียนเฉา เจ้าเปิดห้องลับต่อหน้าข้าอย่างไม่สนใจอันใดเช่นนี้ไม่กลัวข้าขโมยสมบัติข้างในไปหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ
“นั่นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่”
อามู่เต๋อกดเสียงลง หลังจากประตูลับถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์เขาก็โน้มตัวเดินเข้าไปก่อน
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตามมาเขาก็ยื่นหัวออกมาอย่างยากลำบาก “ทำไม กลัวตายหรือ?”
“ย่อมกลัวอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรย่อมมีเจ้าตายอยู่ข้างหน้าข้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ยกกระโปรงขึ้นเดินตามไป แต่ไม่รู้ประตูลับบานนี้มีกลไกอันใด หลังจากนางเข้าไปประตูลับก็ปิดลงเองโดยพลัน นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าอามู่เต๋อหาได้กดกลไกอันใด
“ดูโครงสร้างของวังแล้วน่าจะถูกสร้างมาไม่กี่ปี ไม่รู้จริงๆ ว่าช่างฝีมือที่ออกแบบการสร้างวังหลวงแคว้นซีอวี้ของพวกเจ้าคือผู้ใด เหตุใดจึงประณีตงดงามเช่นนี้?” หลิงมู่เอ๋อร์สงสัยและเลื่อมใสจากใจจริง
“อืม เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับเจ้า นักออกแบบผู้นี้เก่งกาจมากจริงๆ แต่ได้ยินจากเสด็จพ่อว่าเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวยิ่งผู้หนึ่ง”
อามู่เต๋อหันกลับมา ยามที่พูดในดวงตาก็เผยความชื่นชมออกมาหลายส่วนโดยมิได้ตั้งใจ
“สตรีหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งสงสัยมากขึ้น “เจ้าก็เคยพบหรือ?”
“ดูท่าเจ้าจะยังไม่รู้จักเปิ่นหวางจื่อมากพอ” อามู่เต๋อทอดถอนใจอย่างโศกเศร้า “ตั้งแต่เปิ่นหวางจื่อเกิดมาก็ไม่ได้รับความชื่นชอบ องค์ชายผู้ไม่ได้รับความโปรดปรานจะรู้ความลับมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร! ข้ารู้เพียงว่าวังแห่งนี้ถูกสร้างเมื่อสามสิบปีก่อน เป็นอย่างไรเล่า คงดูไม่ออกกระมัง เหมือนเพิ่งถูกสร้างมาไม่กี่ปีใช่หรือไม่? เท่านี้คงพอจะเห็นแล้วกระมังว่าช่างฝีมือหญิงผู้นี้เก่งกาจมากเพียงใด”
อามู่เต๋อผายมือทั้งสองข้างไปรอบด้านด้วยท่าทีภูมิใจ ยามที่พวกเขาเดินผ่านไปเรื่อยๆ ทางเดินอันมืดมิดก็ค่อยๆ มีแสงสว่างจากเทียน ไม่ผิด มันสว่างขึ้นมาเอง
สตรีที่สร้างวังแห่งนี้คือผู้ใดกัน? เหตุใดจึงเก่งกาจถึงเพียงนี้?
“สามสิบปีก่อน ยามนั้นกษัตริย์แคว้นซีอวี้ยังอายุไม่มากเขาก็ได้พบกับสตรีผู้นั้น แต่สามารถขอให้ผู้ที่เก่งกาจเช่นนั้นมาทำงานให้ได้ ดูท่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีไม่น้อย” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าหากมิใช่เพราะดอกไม้ประจำแคว้นสำคัญต่อนางเป็นอย่างมาก นางก็อยากจะพุ่งออกไปถามกษัตริย์แคว้นซีอวี้เสียจริงว่าสตรีผู้นั้นคือใคร พอจะแนะนำให้นางรู้จักเสียหน่อยได้หรือไม่
“ไม่ คำพูดนี้ของเจ้าผิดแล้ว”
อามู่เต๋อหยุดฝีเท้าโดยพลัน ในชั่วขณะนี้ทั้งสองคนราวกับหาใช่ศัตรูกันแต่เป็นสหายที่มีเป้าหมายเดียวกัน เมื่อพูดคุยเรื่องบุคคลลึกลับผู้นี้ก็ทั้งเข้าใจและเป็นมิตรต่อกันเป็นอย่างยิ่ง
“ยามนั้นแม้ข้าจะยังไม่เกิด แต่ข้ามาได้ยินในภายหลังว่าในคราแรกสตรีผู้นั้นแพ้เดิมพันให้เสด็จพ่อ เสด็จพ่อจึงขังนางไว้และบังคับให้นางสร้างวัง! เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าผลสุดท้ายก็ไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง สตรีผู้นั้นเป็นผู้ที่เก่งกาจมากจริงๆ”
ได้ยินคำพูดนี้หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งสงสัย
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสตรีในสมัยโบราณจำต้องทำตามหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา [1] ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง ต่อให้มีความสามารถทั้งยังพึ่งพาตนเองได้ แต่อาศัยกำลังของตนเองเพียงคนเดียวสร้างวังหลวงที่งดงามเช่นนี้ได้ นางต้องหาใช่คนธรรมดาเป็นแน่! ทั้งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกคนบังคับและคุมขังแต่ก็ยังสามารถทำได้สำเร็จเช่นนี้ คนผู้นั้นจะต้องเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศอย่างแน่นอน
“ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นดังคาด วิธีการที่พวกเจ้าแคว้นซีอวี้ถนัดคือการบังคับคุมขัง นับว่าทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ” หลิงมู่เอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาออกมาจากจมูก
เดิมอามู่เต๋อยังอยากพูดอันใด แต่ริมฝีปากที่อ้าก็หุบกลับไป เขายิ้มพลางส่ายศีรษะ “ต่อให้เจ้าจะพูดอย่างไรยามนี้เจ้าก็เป็นเชลยของข้าแล้ว อ้อใช่แล้ว ข้านึกความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ข้าควรจะเลียนแบบเสด็จพ่อโดยการขังเจ้าไว้ดีหรือไม่ บางทีไม่แน่เจ้าอาจนำพาความประหลาดใจอันใดมาให้ข้าอีกก็เป็นได้?”บราวนี่ออนไลน์
หลิงมู่เอ๋อร์มองความจริงจังในดวงตาของอามู่เต๋อออก นายยืนยันได้ว่าความคิดของเขาหาใช่เรื่องล้อเล่นเป็นแน่
ทั่วทั้งร่างของหลิงมู่เอ๋อร์เคร่งเครียดขึ้นมาโดยพลัน พลางจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจด้วยความระมัดระวัง “เจ้ามิใช่ว่าทำเช่นนั้นไปแล้วหรือ แต่น่าเสียดายข้าไม่มีความคิดอันยอดเยี่ยมเหมือนสตรีผู้นั้น ทั้งยังหาได้ว่าง่ายเหมือนนางที่ถูกคนคุมขังและข่มขู่จึงช่วยทำงานให้ หากเจ้าเลียนแบบเสด็จพ่อของเจ้า เช่นนั้นย่อมมีจุดจบเพียงสองสิ่ง…”
หลิงมู่เอ๋อร์หยุดไปครู่หนึ่ง “ข้าตายหรือเจ้าตาย”
มองนางที่จ้องมองตนอย่างเย่อหยิ่ง อามู่เต๋อก็มิได้โกรธเกรี้ยวอย่างหาได้ยาก เดินไปเบื้องหน้านางก่อนที่นิ้วทั้งห้าจะวางลงกลางประตูหิน ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังสงสัยทั้งยังมองว่าจะมีภาพอันน่าแปลกประหลาดใจอันใด ข้างหลังก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
นางหันกลับไปโดยพลันก็เห็นเพียงข้างหลังมีประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้นที่ผนังซึ่งดูธรรมดา อีกทั้งภายในรอยแยกของประตูยังค่อยๆ มีแสงเจ็ดสีลอดออกมา
“มิใช่อยากรู้ว่าดอกไม้ประจำแคว้นเป็นอย่างไรหรือ? เจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูปในการมองพิจารณา”
เสียงของอามู่เต๋อดังขึ้นข้างหูทำให้นางคันยุบยิบไปทั่วทั้งร่างและรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์แยกตัวออกห่างจากเขา หลังจากจ้องมองเขาอย่างดูแคลนอีกคราก็เดินเข้าไปในห้องลับอย่างระมัดระวัง
ยามที่มองเข้าไปนางก็ถูกทุกสิ่งตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไปแล้ว
“สวรรค์ นี่คือดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้หรือ?”
เห็นนางอ้าปากกว้างจนสามารถยัดไข่ไก่ลงไปได้ฟองหนึ่ง อามู่เต๋อก็มองนางพลางยิ้มราวกับมองตัวตลก “ยังคิดว่าเจ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะยังเป็นเช่นนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของเขา
นางหุบริมฝีปากแดงและมองไปรอบด้านอีกคราจึงเห็นว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใด ดอกไม้ประจำแคว้นซึ่งมีแสงเจ็ดสีเติบโตง่ายๆ อยู่บนพื้นติดกำแพง ยิ่งไปกว่านั้นที่รอบบริเวณ ไม่สิ ทั่วทั้งห้องลับนอกจากดอกไม้ประจำแคว้นก็ล้วนไม่มีสิ่งใดอีก!
ไม่มีอาวุธลับ ไม่มีสิ่งกีดขวาง เติบโตอย่างอิสระถึงเพียงนี้โดยที่มันมีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นมาบนกำแพง
“ไม่ถูก ในห้องลับพืชจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? สิ่งที่พืชต้องการคือแสงแดดอากาศและน้ำ แต่ที่นี่ไม่ตรงกับเงื่อนไขที่เหมาะสมแม้แต่น้อย อามู่เต๋อ เจ้าเล่นลูกไม้อันใดกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์ค้นพบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
หลังชั้นหนังสือในตำหนักบรรทมของกษัตริย์มีห้องลับอยู่ ซึ่งจะต้องเดินผ่านทางเดินทอดยาวประมาณสามเมตรหลังจากเปิดกลไกจึงจะสามารถเข้าไปได้ เห็นได้ชัดเป็นอย่างยิ่งว่ามีคนตั้งใจเก็บไว้ที่นี่
ที่นี่ไม่เพียงมืดทึบทว่ารอบด้านยังล้วนเป็นเพียงกำแพง พืชจะเลื้อยขึ้นไปได้อย่างไร? อีกทั้งที่นี่ก็หาได้มีแหล่งน้ำ หรือจะมีคนเข้ามารดน้ำทุกวันเล่า?
สายตาจ้องมองลงไป หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งตำลึงงันเพราะดอกไม้นี้หาได้เติบโตในดินอันชุ่มชื้นแต่เป็นในน้ำ
“ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกว่าดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้หรือ?”
เสียงชั่วร้ายของอามู่เต๋อดังขึ้นเป็นการตอบคำถามเมื่อครู่ของนาง
เห็นท่าทางตกตะลึงของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย “คราแรกยามที่เปิ่นหวางจื่อเห็นดอกไม้ประจำแคว้นก็มีท่าทีเช่นนี้ แต่สิ่งที่เจ้าเห็นคือความจริง ดอกไม้ประจำแคว้นซึ่งสิบปีจะผลิดอกคราหนึ่ง หลังผลิดอกก็จะออกผลซึ่งหนึ่งต้นจะออกผลแค่หนึ่งเดียว ขอเพียงนำผลที่ยังไม่สุกงอมออกมาจากดอกและกินลงไปก็จะสามารถบำรุงเส้นชีพจร และหลอดเลือดในร่างกายของมนุษย์ได้ ระยะเวลาในการออกผลคราถัดไปคือปลายเดือนพอดี”
ได้ยินคำพูดนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากแต่ก็หดหู่ด้วยเช่นกัน
หมายความว่านางยังต้องอยู่ที่แคว้นซีอวี้อีกหนึ่งเดือนเต็มๆ
“เจ้าหลอกข้า คราก่อนเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า…”
“ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมาอยู่ที่แคว้นซีอวี้หรือ?” อามู่เต๋อเอียงกายหลบเข็มเงินของนางที่พุ่งเข้ามาโจมตี มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่พุ่งเข้าไปหาดอกไม้ประจำแคว้นโดยพลันอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ขวางแต่มือทั้งสองข้างยังกอดอกราวกับดูเรื่องสนุกอยู่
สิ่งที่ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ต้องตกตะลึงอีกคราก็คือไม่ว่านางจะพยายามอย่างไรก็จนปัญญาจะเข้าใกล้ดอกไม้ประจำแคว้น เห็นได้ชัดว่าตรงหน้าไม่มีสิ่งใดขวางกั้นแต่ราวกับมีฉากกั้นโปร่งแสงขวางนางไว้
ยิ่งไปกว่านั้นภายในห้องลับแห่งนี้นางยังไม่อาจเข้าไปในมิติได้อีกด้วย!
นี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับมาเห็นอามู่เต๋อมีท่าทีเช่นนั้นก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่พุ่งเข้ามาขวาง “ดอกไม้ประจำแคว้นซีอวี้ยังมีความลี้ลับอันใดอยู่อีกกันแน่?”
ได้ยินคำถามของนาง อามู่เต๋อก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาพลางไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร? เจ้าอยากเห็นดอกไม้ประจำแคว้นข้าก็พาเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นของที่ข้าต้องการเล่า?”
เห็นอามู่เต๋อยื่นมือออกมาตรงหน้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็อยากจะตัดอวัยวะเทียมของเขาทิ้งเสียจริง “เจ้าเอาดอกไม้ประจำแคว้นมาให้ข้าข้าจึงจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ แต่ยามนี้ข้าแตะต้องดอกไม้ประจำแคว้นไม่ได้เสียด้วยซ้ำเหตุใดต้องเอาสมบัติให้เจ้าด้วย?”
“อย่าได้พูดดีไปหน่อยเลย หากข้าเอาดอกไม้ประจำแคว้นให้เจ้า เจ้าจะมอบสมบัติให้ข้าจริงหรือ? ข้าดูหลอกง่ายถึงเพียงนั้นเชียว?”
อามาเต๋อพุ่งเข้ามาตรงหน้านางโดยพลัน ยามที่สบตากับนางดวงตาทั้งสองข้างก็ราวกับมีไฟปีศาจที่สามารถดึงดูดวิญญาณมนุษย์ได้ หลิงมู่เอ๋อร์เห็นก็เบนสายตาออกไปตามสัญชาตญาณ
“เจ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพูดจริงหรือไม่ ดอกไม้ประจำแคว้นนี้จะเอามาได้อย่างไรหรือ?”
ดอกไม้ประจำแคว้นตรงหน้าไม่เพียงแต่เติบโตในน้ำทั้งยังเติบโตมาอย่างอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ที่สำคัญคือทั่วทั้งดอกไม้เต็มไปด้วยแสงเจ็ดสีทำให้งดงามยิ่งกว่าไป่หลิงเซียน
ทั้งรากรวมถึงกิ่งก้านใบล้วนเขียวชอุ่ม ในใบไม้ตรงกลางสุดมีดอกไม้ตูมอยู่ดอกหนึ่งที่ดูใกล้จะบานแล้ว
ดูท่าอามู่เต๋อจะมิได้หลอกนาง ดอกไม้ใกล้บานแล้วจริงๆ แต่นางเอาไปไม่ได้ทั้งยังเข้าไปในมิติไม่ได้เช่นกัน แล้วนางจะรักษาร่างกายได้อย่างไร?
“หากเจ้าทนได้ก็หาทางด้วยตนเองเถิด แต่หากทนไม่ไหวก็เอาสมบัติของเจ้าออกมาอย่างว่าง่ายเสีย ขอเพียงเจ้านำมันออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ ข้าย่อมไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม”
อามู่เต๋อกล่าวจบก็ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยตนเอง สายตานั้นราวกับจะบอกว่ากำลังดูท่าทีของนางอยู่
หลิงมู่เอ๋อร์นึกในใจอีกคราอย่างไม่ยอม แต่ครานี้คาดไม่ถึงว่านางจะทำสำเร็จ
อามาเต๋อมองนางที่เข้าออกมิติได้อย่างอิสระเบื้องหน้า ในดวงตาทั้งสองข้างก็เผยความโลภซึ่งอยากเป็นเจ้าของออกมา
แต่ไม่ว่าเขาจะเบิกตากว้างอย่างไรก็มองไม่ออกว่ามือของหลิงมู่เอ๋อร์ขยับอย่างไร ทันใดนั้นเขาก็นึกความคิดอันหาญกล้าออกมาได้อย่างหนึ่ง
“ขอเพียงได้เจ้ามาก็จะได้รับสมบัติของเจ้าด้วยใช่หรือไม่? ไม่สู้ให้ข้าลองดูก่อนจะดีกว่ากระมัง?”
เชิงอรรถ
[1] สามเชื่อฟังสี่จรรยา หมายถึง หลักปฏิบัติที่ผู้หญิงในยุคจีนโบราณต้องปฏิบัติตาม