เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 18 ตอนที่ 516 สวรรคต
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 18 ตอนที่ 516 สวรรคต
เล่มที่ 18 ตอนที่ 516 สวรรคต
ในจดหมายมีตัวอักษรไม่มาก นอกจากความรู้สึกผิดที่มีต่อพ่อแม่ก็ยังมีส่วนที่กล่าวถึงโฉนดที่ดินเหล่านี้
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินอ่านเนื้อหาในจดหมายให้ทุกคนฟัง ถังซื่อและหยางซื่อที่ทนรับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเช่นนี้ไม่ไหวก็พากันล้มลงไปบนพื้น ทำให้สถานการณ์วุ่นวายขึ้นมาโดยพลัน
“หากบอกว่าเมื่อครู่มิใช่จดหมายสั่งเสีย เช่นนั้นแล้วนี่เล่า? จะอธิบายเรื่องโฉนดที่ดินเหล่านี้ว่าอย่างไร? แม้แต่เด็กน้อยอย่างจื่ออวี้ก็ยังมีส่วนของเขา ตกลงมันเกิดอันใดขึ้นกับมู่เอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นกันแน่!”
หยางซื่อถูกพยุงขึ้นมาจากพื้นก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
ขอเพียงนึกถึงลูกสาวที่ปิดบังตนรวมถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่งในยามนี้ นางก็ปวดใจอย่างถึงที่สุด
“ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของมู่เอ๋อร์ก็ต้องพบเจอความทุกข์ยากกับพวกเราซึ่งเป็นพ่อแม่ที่ไร้ประโยชน์ในหมู่บ้านตระกูลหลิง นางทั้งเกือบอดตายทั้งเกือบหนาวตาย ไม่ง่ายกว่าจะได้รับความเมตตาจากสวรรค์ทำให้นางมีความสามารถอันเหลือล้ำ แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาอันดีมักไม่ยืนยาว เหตุใดนาง…เหตุใดนางจึงต้องป่วยเป็นโรคประหลาดเช่นนี้”
หยางซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ “เง็กเซียนฮ่องเต้ เหตุใดท่านจึงไม่ช่วยคนให้ถึงที่สุดเล่า เหตุใดจึงต้องเป็นมู่เอ๋อร์ของพวกเราด้วย!”
“ท่านแม่!”
หลิงจือเซวียนและเจาหยางรีบเข้ามาพยุงทางด้านซ้ายและขวาของหยางซื่อ
“มู่เอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอันใดขอรับ จะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน ทุกครานางก็สามารถเปลี่ยนเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ครานี้ก็ย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น นางเพียงแค่หายตัวไป พวกเราไม่ได้รับข่าวคราวอันใดก็ถือเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว ท่านแม่อย่าเป็นเช่นนี้เลยขอรับ!”
มองซั่งกวนเซ่าเฉินที่เจ็บปวดเช่นกัน หลิงจือเซวียนแม้จะอยากอดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจกดกลั้นเอาไว้ได้อีก
ทว่าเขารู้ว่าเขาคือเสาหลักของครอบครัว มู่เอ๋อร์ไม่อยู่เขาในฐานะพี่ชายย่อมมีเหตุผลที่จำเป็นต้องรับหน้าที่ค้ำจุนครอบครัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านยาย ท่านลุง เชื่อจือเซวียนเถิดขอรับ มู่เอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอนขอรับ! ทุกคนลองคิดพิจารณาให้ดีหากเป็นคำสั่งเสียของนางจริงเหตุใดจะต้องวางจดหมายซ่อนไว้ในมุมเช่นนั้นด้วยขอรับ? ยิ่งไปกว่านั้นครานี้นางถูกคนวางแผนร้ายจึงหายตัวไปอย่างกะทันหัน หากมู่เอ๋อร์คิดจะไปโดยไม่ให้พวกเราเห็นท่าทางยามที่เจ็บปวดที่สุดของนาง นางจะเอาชื่อเสียงของตนเองและจวนเสียนหวางมาล้อเล่นได้อย่างไรขอรับ! ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือพวกเราต้องหาตัวมู่เอ๋อร์ให้พบเสียก่อน!”
“จือเซวียนพูดถูก!” หลิงต้าจื้อตอบกลับออกมาก่อน เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของภรรยาอย่างอ่อนโยน หลังจากมองทุกคนอีกคราสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่บนร่างของซั่งกวนเซ่าเฉิน “เฉินเอ๋อร์เจ้าก็อย่าได้กังวลมากเกินไปเลย! ไม่ว่าเรื่องใดที่มู่เอ๋อร์ทำก็ล้วนเป็นผลลัพธ์ที่ผ่านการใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว นางย่อมไม่มีทางทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นแน่! พวกเราต้องหามู่เอ๋อร์ให้พบก่อนจึงจะรู้ว่าตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง”
หยางซื่อราวกับฟังความนัยในคำพูดของลูกชายเข้าใจ นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว “มู่เอ๋อร์เป็นคนมีวาสนาซึ่งได้รับพรจากสวรรค์ ครานี้นางถูกคนให้ร้ายทั้งยังถูกคนชั่วลักพาตัวไป พวกเราจะต้องหานางพบแน่นอน”
กล่าวจบเขาก็หมุนกายโดยพลันและจับมือของซั่งกวนเซ่าเฉินแน่น “เซ่าเฉิน เจ้าปกป้องมู่เอ๋อร์ได้เป็นอย่างดียิ่งมาโดยตลอด แม่เชื่อว่าครั้งนี้เจ้าก็ต้องหามู่เอ๋อร์เจอเป็นแน่ พ่อกับแม่ไม่มีความสามารถจึงไม่รู้ว่าควรไปหาคนที่ใด แต่แม่เชื่อว่าเจ้าย่อมมีหนทางใช่หรือไม่?”
“แน่นอนขอรับ!” ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ข้าสั่งคนให้ไปค้นหาแล้ว หากมีข้อมูลอันใดจะไปบอกท่านพ่อท่านแม่ก่อนอย่างแน่นอนขอรับ”
“ดี ดี เช่นนั้นก็ดี!” ได้ยินประโยคนี้หยางซื่อจึงวางใจ “แม้ว่าแม่จะไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนวางแผนร้ายต่อมู่เอ๋อร์และเสียนหวาง แต่แม่เชื่อว่าเฉินเอ๋อร์จะต้องจัดการได้เป็นอย่างดีแน่นอน! มู่เอ๋อร์เป็นคนมีวาสนาซึ่งเง็กเซียนฮ่องเต้คุ้มครองนางมาโดยตลอด นางย่อมไม่เป็นอันใดแน่นอน เฉินเอ๋อร์เจ้าอย่าได้กังวลมากเกินไปเลย อย่าได้ปล่อยให้ความคิดสับสนวุ่นวาย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้ากำลังคิดจะพูดอันใด หนานกงอี้จือก็บุกเข้ามาอย่างกะทันหันด้วยความเร่งรีบ
เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยอีกฝ่ายก็เข้าใจโดยพลัน
เห็นครอบครัวของหลิงมู่เอ๋อร์ หลังจากหนานกงอี้จือทักทายอย่างง่ายๆ ก็รีบปลอบใจหลิงต้าจื้อและหยางซื่อ
ทุกคนจำหนานกงอี้จือได้และรู้ว่าเขาคือหนิงกั๋วโหวซื่อจื่อทั้งยังรู้จักนิสัยของเขาอีกด้วย เห็นสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังหากจะยังอยู่ต่อจนพวกเขาหาคนล่าช้าย่อมไม่ดี
กล่าวอยู่หลายคราว่าหลังจากมีข่าวคราวของหลิงมู่เอ๋อร์จะต้องมาบอกพวกเขาก่อน หลิงจือเซวียนก็พาคนทั้งครอบครัวออกจากตำหนักองค์ชายรองไป
“โธ่ ไม่ง่ายเลย ทั้งครอบครัวไม่ง่ายกว่าจะออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิงอันยากไร้มาที่เมืองหลวง แต่กลับเกิดเรื่องร้ายอยู่หลายครั้งหลายคราทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน ครานี้แม้แต่ลูกสาวผู้เก่งกาจก็ยังหายตัวไป ไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตในภายภาคหน้าพวกเขาจะหลับตานอนอย่างสงบได้หรือไม่”
หนานกงอี้จือจ้องแผ่นหลังของทุกคนพลางทอดถอนใจ
“ตรวจสอบพบอันใดบ้าง? อย่าได้เสียเวลาเลย” แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะพูดเช่นนี้แต่ก็ยังส่งชาแก้วหนึ่งไปให้อย่างรู้ใจ
“หาพบแล้ว หอข้อมูลของซูเช่อร้ายกาจมากจริงๆ!”
ไม่สนใจจะดื่มชา หนานกงอี้จือรีบรายงานข้อมูลที่ไปตรวจสอบมาได้ตามจริง “หอข้อมูลพบว่ายามที่อามู่เต๋อออกจากเมืองหลวงได้จ่ายเงินจำนวนมากในการว่าจ้างมือสังหารจากยุทธภพหลายคนให้คุ้มกันระหว่างทาง หนึ่งในนั้นทนนิสัยแปลกประหลาดของอามู่เต๋อไม่ไหวจึงหนีไปกลางทาง ตามคำบอกเล่าของคนผู้นั้นเขาบอกว่าเห็นกับตาว่าในสัมภาระที่มั่วจวินเหยานำไปด้วยเห็นมือข้างหนึ่งของสตรีอยู่ในนั้น”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
“มั่วจวินเหยา เป็นนางอีกแล้ว!”
เดิมคิดว่านางถูกซูเช่อหย่าจึงเสียใจและกลับไปที่แคว้นซีอวี้ คาดไม่ถึงว่านางจะพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปด้วย!
เขานึกเสียใจภายหลังจริงๆ ที่ปล่อยนางไป!
“เป็นมู่เอ๋อร์แน่นอน ไม่เช่นนั้นในหีบห่อที่ควรบรรจุเสื้อผ้าเหตุจึงใส่คนไว้เล่า? ผู้ใดที่พวกเขาต้องการซ่อนไว้ในสัมภาระกัน?” หนานกงอี้จือคิดแล้วก็ใจหาย
“อี้จือ!”
“ญาติผู้พี่ท่านจะสั่งให้ข้าพามือสังหารไปที่แคว้นซีอวี้หรือ…”
“ทูลองค์ชายรอง” องครักษ์ผู้หนึ่งบุกเข้ามาขัดคำพูดของหนานกงอี้จืออย่างกะทันหัน
“ไม่เห็นหรือว่าข้ากับเจ้านายของเจ้าหารือเรื่องสำคัญอยู่ บุกเข้ามาตามอำเภอใจโดยไม่แจ้งก่อนเช่นนี้เจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร?” หนานกงอี้จือตำหนิองครักษ์ผู้นั้น
องครักษ์รีบคุกเข่าลงไปบนพื้น “องค์ชายรอง เป็นฝ่าบาท ฝ่าบาททรง…สวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
——————
“หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันคนสารเลว เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ในห้องนี้ได้? เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นห้องที่เสด็จแม่ของข้าเคยอยู่ในยามที่ยังมีชีวิต เจ้ามีฐานะอันใดจึงมาพักอยู่ที่นี่ วันนี้ต่อให้ข้าต้องทำลายที่นี่ก็จะไม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปแน่!”
มั่วจวินเหยาคำรามก่อนจะฉีกผ้าปูเตียงทั้งยังโยนเครื่องนอนทุกชิ้นบนเตียงลงไปบนพื้นอย่างหยาบคาย
สาวใช้รอบข้างทนมองต่อไปไม่ไหวจึงทำใจกล้าเข้ามาปลอบใจ “องค์หญิง นี่…”
“ไสหัวไป! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้หากผู้ใดกล้ามาขอร้องแทนนางแม้เพียงครึ่งประโยค ข้าจะตัดหัวของนางทันที ไสหัวไปเสีย!”
มั่วจวินเหยาไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็ต่อว่าอย่างดุร้ายด้วยความโกรธเกรี้ยว
มาถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็ทิ้งทุกสิ่งตรงหน้าลงไปบนพื้นอย่างไม่สนใจอันใด และราวกับทำเช่นนี้ยังไม่อาจทำให้คลายโทสะได้ นางจึงพุ่งไปทางชั้นวางของฝั่งตรงข้าม ไม่สนใจว่าจะเป็นสมบัติหายากหรือตำราภาพเขียน ทุกสิ่งล้วนถูกโยนลงพื้นราวกับการทำเช่นนี้จะช่วยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ใต้ฝ่าเท้าได้
ข้างนอกประตูห้อง หลิงมู่เอ๋อร์กอดอกด้วยแขนทั้งสองข้างพลางมององค์หญิงที่คลุ้มคลั่ง ตั้งแต่ต้นจนจบมุมปากของนางก็มีรอยยิ้มอย่างมิได้ไม่พอใจกับคำด่าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ดูท่าจะทุบทำลายพอแล้วกระมัง?” เห็นมั่วจวินเหยาเหนื่อยแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็เลิกคิ้วและเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ
ห้องที่เดิมทีทั้งอบอุ่นและสะอาดแทบจะเปลี่ยนไปเป็นยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบในชั่วพริบตาเดียว อืม อย่าว่าแต่อยู่ต่อเลยเกรงว่าคงไม่มีที่ให้เท้าเหยียบเสียด้วยซ้ำ
“องค์หญิงเหยาเหยาช่างมีเรี่ยวแรงมากทีเดียว แม้แต่แจกันเคลือบโบราณก็ยังล้วนเคลื่อนย้ายไหว น่าเสียดายทีเดียว”
หลิงมู่เอ๋อร์เบ้ปากทั้งยังมองไปที่ภาพเขียนอันงดงามฝั่งตรงข้าม “แม้ข้าจะไม่รู้ราคาตลาดมากนัก แต่ภาพเขียนชิ้นนี้ย่อมขายได้เงินไม่น้อยกระมัง?”
“ถุย เจ้ามันสตรีโลภมาก แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จพี่ของข้าจึงลุ่มหลงเจ้า แต่เมื่อครู่เปิ่นกงจู่บอกไปแล้วว่าต่อให้ต้องทำลายทุกสิ่งข้างในก็จะไม่ปล่อยให้การทำลายนี้เสียเปล่าเป็นแน่!”
มั่วจวินเหยาอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง นางพองแก้มมองหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับมองศัตรู
“เจ้าไสหัวออกไปเสีย ไม่ได้ยินหรือว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าใกล้ห้องนี้แม้เพียงครึ่งก้าว ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดขาทั้งสองข้างของเจ้าเสีย!”
ทันใดนั้นมั่วจวินเหยาก็ชิงดาบขององครักษ์ผู้หนึ่งมาด้วยท่าทางเตรียมพร้อม กอปรกับสีหน้าโหดเหี้ยมดุร้ายของนางก็ดูมิใช่คนที่สมควรเข้าไปยุแหย่
“เจ้าขู่ข้าหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์แค่นเสียงเย็นออกจากจมูก “ในเมื่อไม่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่ถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็ไปเรียกอามู่เต๋อมาเถิด เขาเป็นคนพาข้ามาขังไว้ที่นี่สามวันแล้วทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาคนมันหมายความว่าอย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าให้ข้าไสหัวออกไปทั้งยังไม่อนุญาตให้อยู่ที่นี่ แต่น่าเสียดายที่นี่เป็นความคิดของเสด็จพี่ที่เจ้าเชื่อใจ ยิ่งไปกว่านั้น…”
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้วอย่างทะนงตัว “เจ้าบอกว่าที่นี่คือห้องของเสด็จแม่ของเจ้าจึงไม่อนุญาตให้ข้าอยู่ ไม่อนุญาตให้ข้าแตะต้อง แต่น่าเสียดายที่เมื่อครู่ทุกสิ่งที่เจ้าทุบทำลายไปล้วนเป็นสิ่งของของเสด็จแม่เจ้าทั้งหมด”
“เจ้าพูดอันใด!”
สีหน้าโกรธเกรี้ยวของมั่วจวินเหยาเปลี่ยนไปอย่างคาดเดาไม่ได้และมองทุกสิ่งบนพื้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เห็นท่าทีตำหนิตนเองอย่างนึกเสียใจภายหลังทั้งยังอับอายจนโกรธเกรี้ยว หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงว่าน่าขัน
“แม้แต่สิ่งของของแม่ตนเองก็ล้วนจำไม่ได้ ดูแล้วก็หาใช่คนดีอันใดอย่ามาแสร้งตัวเป็นลูกกตัญญูต่อหน้าข้าหน่อยเลย!”
หลิงมู่เอ๋อร์คร้านจะมองนาง
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมั่วจวินเหยาเข้ามา ‘คิดบัญชีกับนาง’ ที่นี่อย่างกะทันหัน ยามนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ยังรู้สึกสงสัยว่ามั่วจวินเหยาในฐานะเสียนหวางเฟยเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่แคว้นซีอวี้ได้?
หลังจากสอบถามจึงรู้ว่าที่แท้ก็ถูกเสียนหวางหย่าแล้ว
แต่เหตุใดเสียนหวางจึงหย่ากับนาง? ดูท่าซูเช่อจะหาหลักฐานที่มั่วจวินเหยาลอบทำร้ายพวกเขาเจอแล้วกระมัง? ไม่เช่นนั้นตามนิสัยของซูเช่อที่ผ่านมาก็ปล่อยให้นางอยู่ต่อที่จวนเสียนหวางมาโดยตลอด ต่อให้นางจะสร้างความวุ่นวายอันใดก็ย่อมไม่ไล่นางไปเป็นแน่ และถึงอย่างไรเขาก็เคยใช้ประโยชน์จากนาง
“มั่วจวินเหยา เจ้ามิใช่อยากให้ข้าไปหรือ? ได้ เช่นนั้นก็ให้อามู่เต๋อมาพบข้า! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ข้ากับซูเช่อถูกทำร้ายมิใช่ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ? ในฐานะเสียนหวางเฟยกลับลอบทำร้ายสามีของตนเอง ยังจะมาบอกว่าเจ้ารักเขาอันใดกัน ความรักของเจ้าช่างทำให้คนรู้สึกเหลือทนเสียจริง!”
“เจ้าหุบปากไปเสีย!”
ราวกับถูกทำให้หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ดาบในมือรวมถึงทั่วทั้งร่างของมั่วจวินเหยาล้วนสั่นสะท้าน “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดถึงชายผู้นั้นต่อหน้าข้าอีก! เป็นซูเช่อที่ทำผิดต่อข้าก่อน เป็นเขาที่ทำผิดต่อข้า! และเจ้า หากไม่มีหญิงสารเลวเช่นเจ้า ซูเช่อจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ยามที่กล่าวจบสายตาของมั่วจวินเหยาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นโหดเหี้ยมและดุร้าย
นางจ้องหลิงมู่เอ๋อร์เขม็งราวกับมองศัตรูที่สังหารบิดาของนาง “เป็นเจ้าที่ทำลายข้า ต้นเหตุของความพินาศทั้งหมดก็คือเจ้า! เสด็จพี่ไม่ยอมให้ข้าสังหารเจ้าแต่กลับพาเจ้ามาเลี้ยงอย่างอยู่ดีกินดีที่นี่อีกหรือ? เหอะ วันนี้ข้าจะใช้โอกาสที่เสด็จพี่ไม่อยู่ปลิดชีวิตคนต่ำช้าเช่นเจ้าเสีย!”
หลิงมู่เอ๋อร์หลบเลี่ยงไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่ทันระวังจึงถูกหินด้านข้างทำให้เท้าพลิก
นางข่มกลั้นความเจ็บปวด พลิกฝ่ามือคว้าข้อมือของมั่วจวินเหยา เห็นเพียงนางออกแรงในฝ่ามือทำให้ดาบในมือของมั่วจวินเหยาหล่นลงไป ยามที่มั่วจวินเหยาต่อต้านขัดขืนเข็มเงินสามเล่มก็ปรากฏอยู่บนคอของนางแล้ว
“คิดจะฆ่าข้าหรือ? เจ้าจะต้องชดใช้ต่อการกระทำอันโง่เขลาของเจ้าเสียก่อน!”
กล่าวจบหลิงมู่เอ๋อร์ก็แทงเข็มเงินสามเล่มเข้าไปที่ไหล่ของนางอย่างไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย