เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 510 ไล่ออกจากจวน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 510 ไล่ออกจากจวน
เล่มที่ 17 ตอนที่ 510 ไล่ออกจากจวน
“ฉินรั่วเฉินบอกมาว่ามู่เอ๋อร์อยู่ที่ใด!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของฉินรั่วเฉินอย่างเดือดดาลก่อนจะกดเขาเข้ากำแพง ที่ด้านหลังสีหน้าของหนานกงอี้จือก็เต็มไปด้วยไอสังหารเช่นเดียวกัน ราวกับว่าหากเขาไม่ยอมบอก มีดในมือจะแทงทะลุหัวใจของเขาในทันใด
“หลิงมู่เอ๋อร์เป็นสตรีของเสด็จพี่รอง เป็นพี่สะใภ้ของน้อง สตรีของเสด็จพี่รองหายไปเหตุใดจึงมาหาที่ตำหนักองค์ชายหกของข้าเล่า หรือเสด็จพี่รองร้อนรนจนสติเลอะเลือนทำให้มาผิดที่กัน?”
สีหน้าท่าทางของฉินรั่วเฉินไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมองมือที่คว้าคอเสื้อไว้อย่างสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง “จิ๊ๆๆ เสด็จพี่รองหนอเสด็จพี่รอง เสด็จพ่อมักจะชื่นชมว่าเสด็จพี่เป็นผู้ที่เยือกเย็นและมีไหวพริบมากที่สุด ที่แท้ก็มีช่วงเวลาที่หุนหันพลันแล่นเช่นวันนี้ด้วยหรือ? ไม่รู้ว่าหากเสด็จพ่อมาเห็นเข้าจะคิดเช่นไร?”
“เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินผลักเขาออกไปอย่างแรง ก่อนจะหันไปมองหนานกงอี้จือ “ค้นหา!”
“ขอรับ!”
หนานกงอี้จือปรบมือกลางอากาศ จากนั้นไม่นานคนในชุดดำสิบกว่าคนก็ทะยานลงมาจากข้างบน ก่อนจะกระจายกันออกไปทั่วตำหนักองค์ชายหกโดยพลัน
การกระทำอันหยิ่งทะนงเช่นนี้ทำให้ฉินรั่วเฉินเดือดดาลขึ้นมาโดยพลัน “สามหาว! เสด็จพี่ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ที่นี่คือตำหนักองค์ชายหกของข้า เรื่องที่สตรีของท่านหายตัวไปมันเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ในตำหนักของข้ามิใช่ท่านนึกอยากจะค้นก็สามารถมาค้นได้”
กล่าวจบฉินรั่วเฉินก็ผิวปาก ไม่นานข้างหลังทุกคนก็มีเสียงต่อสู้อย่างรุนแรงดังขึ้นมา
“ดูท่าปกติน้องหกจะใช้เวลาฝึกฝนองครักษ์เงาไปไม่น้อย ไม่เช่นนั้นจะมีองครักษ์เงามากมายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ใบหน้าเย็นชาของซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปทางฉินรั่วเฉินที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ดวงตาสีดำราวกับหินอัคนีของเขาต้องเขม็งไปตรงๆ ราวกับดวงตาของหมาป่าในค่ำคืนที่มืดมิด “ในฐานะองค์ชายหากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาทก็ไม่อาจฝึกฝนองครักษ์เงาโดยพลการได้ ดูท่าเรื่องนี้ข้าคงต้องนำไปกราบทูลแก่ฝ่าบาทเสียแล้ว น้องหก ไม่รู้ว่าเจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่!”
สีหน้าของฉินรั่วเฉินตั้งแต่ต้นจนจบเปลี่ยนไปเป็นมืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย
เขาขมวดคิ้ว มุมปากสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมองออกว่าเขากำลังจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมา แต่ผ่านไปนานเขาก็คลายหมัดที่กำอยู่ออก
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ เสด็จพี่รองรู้จักข่มขู่ให้คนกลัวตั้งแต่เมื่อใด?” ฉินรั่วเฉินไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระและกลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตนเอง “น้องไม่ทราบว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้นกับเสด็จพี่ เหตุใดวันนี้จึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงเพียงนี้ แต่เมื่อครู่เสด็จพี่บอกว่าพี่สะใภ้หายตัวไปใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดที่น้องสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่?”
“ข้าข่มขู่เจ้าหรือไม่ เจ้าอยากจะลองจริงๆ หรือไม่เล่า?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เห็นว่าก้นบึ้งในใจของเขามีโทสะขึ้นมา เขาก็หมุนกายกลับโดยพลัน
ยามที่เขาและหนานกงอี้จือกำลังจะเดินไปถึงประตู ฉินรั่วเฉินก็ไล่ตามไปอย่างหมดความอดทน “เสด็จพี่ ท่านอย่าได้ทำเรื่องที่มันเกินไปนักเลย!”
“เป็นเจ้าที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องมิใช่หรือ? ฉินรั่วเฉิน ข้าไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับเจ้า แผนการทั้งหมดที่เจ้าจะลอบทำร้ายข้าก็แล้วไปเถิด แต่การที่เจ้าวางแผนร้ายต่อมู่เอ๋อร์ทำให้ข้าไม่อาจทนได้! บอกข้ามาว่ามู่เอ๋อร์อยู่ที่ใด!”
โทสะของซั่งกวนเซ่าเฉินที่แทบจะปะทุออกมารุนแรงเสียยิ่งกว่าเขา ราวกับยื่นคำขาดสุดท้ายว่าหากเขาไม่บอกความจริงมาจะทำลายตำหนักองค์ชายหกเสีย
ในยามนี้เองที่เสียงการต่อสู้ไม่ทราบว่าหยุดลงตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะมีองครักษ์เงาผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“…”
องครักษ์เงาไม่พูดอันใดแต่กลับส่ายศีรษะ
ฉินรั่วเฉินเห็นเช่นนั้นก็กางฝ่ามือออกพลางยักไหล่อีกครา “เฮ้อ เสด็จพี่น่าจะเชื่อคำพูดข้าแล้วกระมัง ข้าไม่รู้ว่าพี่สะใภ้อยู่ที่ใดจริงๆ”
กล่าวจบเขาก็หันไปมองหนานกงอี้จือ “ในเมื่อเสด็จพี่ไม่ยอมพูด ไม่สู้หนานกงซื่อจื่ออธิบายให้เปิ่งหวางจื่อเสียหน่อยจะดีกว่ากระมังว่าตกลงมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“หากกล่าวเรื่องการเสแสร้ง เจ้านับว่ามีฝีมือจริงๆ”
หนานกงอี้จือพยักหน้าไม่พูดอันใดอีก ยามที่เฉินรั่วเฉินไม่ทันระวังตัว เขาก็ถือมีดพุ่งเข้าไปโดยพลัน
ยามที่คมมีดซึ่งสามารถตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลนสัมผัสกับผิวของเขาก็เกิดรอยแผลเล็กๆ รอยหนึ่งขึ้นมา ฉินรั่วเฉินร้องเสียงแหลม “หนานกงอี้จือ เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ญาติผู้พี่ขอเพียงพูดมาประโยคเดียวข้าจะปลิดชีพเขาทันที ผลที่ตามมาทั้งหมดข้าหนานกงอี้จือจะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!” หนานกงอี้จือคำรามเสียงดังก้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความเด็ดขาดหาใช่แค่พูดไปส่งๆ เท่านั้น
เดิมคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะห้ามไม่ให้หนานกงอี้จือก่อเรื่องแต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น “ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เรื่องของข้าเปิ่นหวางจื่อจะรับผิดชอบด้วยตนเอง!”
มือของฉินรั่วเฉินค่อยๆ กำหมัดขึ้นมา “หนานกงอี้จือเจ้ามันเสียสติไปแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ้าก็เสียสติไปแล้วหรือ? ไม่กลัวเสด็จพ่อจะลงโทษเจ้าหรือ?”
“บอกข้ามาว่าหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ที่ใด?” แววตาของซั่งกวนเซ่าเฉินยิ่งโหดเหี้ยมมากขึ้น
ฉินรั่วเฉินแน่ใจว่าในชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นแววตาของผู้ใดดุร้ายมากขนาดนี้มาก่อน ราวกับหากเขาพูดผิดไปเพียงคำเดียวลมหายใจก็จะถูกพรากไปโดยพลัน
“น้องไม่รู้” น้ำเสียงของฉินรั่วเฉินสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมากราวกับว่าไม่สนใจความเป็นความตายของตนเอง
“ฉินรั่วเฉินเจ้ามันรนหาที่ตายเอง!” หนานกงอี้จือกล่าวก่อนมือที่ถือมีดจะออกแรงมากขึ้น
ฉินรั่วเฉินเห็นเช่นนั้นก็พลิกมือคว้ามืออีกข้างของเขาไว้ ด้วยการคว้าจับเพียงครั้งเดียวทำให้หนานกงอี้จือที่ไม่ทันได้ระวังตัวปล่อยเขาหลุดออกจากการจับกุม
เขาปรบมือกลางอากาศก่อนจะมีองครักษ์เงาหลายสิบคนปรากฏตัวออกมาเบื้องหลังเขาโดนพลันเพื่อปกป้องเขา
“เสด็จพี่ เมื่อครู่น้องก็บอกไปแล้วว่าน้องไม่รู้เรื่องที่พี่สะใภ้หายตัวไป ต่อให้วันนี้ท่านสังหารข้า ข้าก็ยังคงยืนยันประโยคนี้เช่นเดิม แต่ข้ายังไม่อยากตายดังนั้นต้องรบกวนให้เสด็จพี่กลับไปมือเปล่าแล้ว แน่นอนว่าหากเสด็จพี่ยังดึงดันจะเอาชีวิตข้า เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็มาสู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย”
กล่าวจบมือทั้งสองข้างของเฉินรั่วฉินก็เคลื่อนไปอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง อีกทั้งร่างกายยังโน้มลงในขณะที่เท้าอยู่ในย่างก้าวเตรียมสู้โดยที่มีท่าทางเตรียมพร้อมเป็นอย่างยิ่ง
“รนหาที่ตายจริงๆ!”
หนานกงอี้จือเดือดดาลอย่างถึงที่สุด กระชับมีดในมือคิดจะโจมตีเขาอีกครา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดซั่งกวนเซ่าเฉินจึงขวางเขาไว้
“ญาติผู้พี่?”
“กลับ!”
บังคับพาหนานกงอี้จือจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทางของซั่งกวนเซ่าเฉินล้วนเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
มาอย่างกะทันหันทั้งยังจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าพวกเขาออกไปจากตำหนักองค์ชายหกแล้ว ฉินรั่วเฉินจึงเพิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะผลักองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขา “ไสหัวไป ยังมัวงงทำอันใดอยู่อีก ไสหัวไป!”
องครักษ์แยกย้ายไปก่อนที่องครักษ์ส่วนตัวจะถือดาบยาวเดินมาข้างหลังอย่างช้าๆ “เหยีย ไม่สู้ให้กระหม่อมออกไปซ่อนตัวก่อนจะดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินรั่วเฉินตะลึงงันอยู่นานก่อนจะเลิกคิ้ว “เจ้ามิใช่บอกว่าหาได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้หรือ เหยียยังไม่กลัวแล้วเจ้าจะกลัวอันใด?”
เห็นผู้เป็นนายนั่งลงบนเก้าอี้ องครักษ์ส่วนตัวก็รีบรินน้ำชา “เหยียโปรดวางใจพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้จะมีคนมาตรวจสอบก็ย่อมไม่อาจสืบสาวมาถึงตำหนักองค์ชายหกได้ ตั้งแต่ต้นจนจบกระหม่อมมิได้ปรากฏตัวเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งทุกคนที่เคยเห็นกระหม่อมก็ล้วน…” เขาทำมือเป็นท่าทางปาดคอแต่สีหน้ากลับค่อยๆ หดหู่และเป็นกังวล “แต่องค์ชายรองรวมถึงหนานกงซื่อจื่อพวกเขา…”
“เหอะ เสด็จพี่หาสนมรักของตนเองไม่เจอแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับข้าเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามข่าวลือก็จะแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ต่อให้เขาต้องการค้นหาก็ควรไปที่จวนเสียนหวางจึงจะถูก เกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักองค์ชายหกของข้าเล่า?”
จิบน้ำชาอึกหนึ่งก่อนฉินรั่วเฉินจะหลับตาอย่างพึงพอใจ ยามที่ลืมตาอีกครั้งในดวงตาของเขาก็มีความภูมิใจและสบายใจ “ยิ่งไปกว่านั้นทั้งชีวิตนี้เขาอย่าได้หวังจะรู้ว่าสตรีที่เขาห่วงใยมากที่สุดอยู่ที่ใดเลย!”
“มิน่าเล่าเมื่อครู่ญาติผู้พี่จึงขวางข้าไว้ ฉินรั่วเฉินผู้นี้จะหยิ่งทะนงเกินไปแล้ว ญาติผู้พี่ ท่านให้ข้าลงไปสังหารเขาเถิด!” บนหลังคา ใบหน้าของหนานกงอี้จือเต็มไปด้วยความเดือดดาล ดวงตาทรงลูกท้อเต็มไปด้วยไอสังหาร ไหนเลยจะยังมีท่าทีเอ้อระเหยดื้อรั้นอย่างที่ผ่านมา?
“ที่สำคัญคือต้องหามู่เอ๋อร์ให้เจอก่อน!”
ทะยานร่างออกมาจากตำหนักองค์ชายหก ซั่งกวนเซ่าเฉินก็นึกบางสิ่งขึ้นได้โดยพลัน “อี้จือเกรงว่าเรื่องนี้คงต้องขอให้เหล่าสหายของเจ้าช่วยเหลือแล้ว”
“การช่วยเหลือมู่เอ๋อร์เป็นเรื่องสำคัญ มาถึงยามนี่ญาติผู้พี่ยังจะเกรงใจข้าอยู่อีกหรือ?”
“ในเมื่อฉินรั่วเฉินแน่ใจถึงเพียงนั้นว่าพวกเราจะต้องหามู่เอ๋อร์ไม่เจอ เช่นนั้นผู้ที่พามู่เอ๋อร์ไปต้องเป็นผู้ที่ถูกพวกเรามองข้ามไปเป็นแน่ เขายังชี้เป้าไปทางจวนเสียนหวางเพื่อทำให้พวกเราเสียสมาธิและเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจอีกด้วย” ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสีหน้ายังเคร่งเครียดมากขึ้น
“อี้จือ ติดต่อสหายในยุทธภพของเจ้าให้แอบตรวจสอบฉินรั่วเฉินและหลันซือเฮ่อรวมถึงอามู่เต๋อด้วย!”
หนานกงอี้จือเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็เข้าใจความนัยในคำพูดนี้ทันที “ญาติผู้พี่วางแผนจะตรวจสอบจวนเสียนหวางอย่างเปิดเผยเพื่อทำให้ฉินรั่วเฉินไม่ทันระวังตัว และให้เหล่าคนจากยุทธภพแอบตรวจสอบคนที่เกี่ยวข้องกับเขาในที่ลับหรือขอรับ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า “รีบไป!”
ณ จวนเสียนหวาง
ซูเช่อยืนอยู่หน้าประตูจวนด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ มองชายตรงหน้าซึ่งปกป้องสตรีที่ร่ำไห้ไม่หยุดไว้ข้างหลังด้วยสายตาโหดเหี้ยม เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วและยังคงมีสีหน้าเย็นชาราวกับมัจจุราช
“ซูเช่อ ความอับอายในวันนี้ชีวิตนี้แคว้นซีอวี้จะไม่มีวันลืมแน่นอน เจ้ารอดูเถิด เจ้ากล้าหย่ากับเหยาเหยาเท่ากับตัดขาดความสัมพันธ์อันดีตลอดมาระหว่างแคว้นเทียนเฉาและแคว้นซีอวี้ ผลที่ตามมาหลังจากนี้แคว้นซีอวี้ของข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้เป็นแน่!”
อามู่เต๋อกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างดุร้ายก่อนจะโอบสตรีที่ยังคงร้องห่มร้องไห้อยู่ “เหยาเหยา พวกเราไปเถิด!”
“องค์ชายอามู่” จื่อถงมองผู้เป็นนายเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คิดจะเปิดปากพูดอันใด เขาจึงยกดาบขึ้นมาขวางหน้าอามู่เต๋อไว้
“เป็นเสียนหวางเฟยที่ลอบทำร้ายเสียนหวางก่อน หลังจากทำให้ชื่อเสียงของจวนเสียนหวางถูกทำลายหวางเย่ก็หาได้นำเรื่องนี้ไปกราบทูลกับฝ่าบาท ทั้งยังทำเพียงส่งจดหมายหย่าให้เท่านั้น แคว้นซีอวี้ของท่าน…”
“จื่อถง!” น้ำเสียงเย็นชาของซูเช่อดังขึ้นมาจากข้างหลัง
จื่อถงหันกลับไปเห็นว่าผู้เป็นนายไม่แม้แต่จะมองมา
ซูเช่อหมุนกายก่อนน้ำเสียงแผ่วเบาจะดังขึ้น “ส่งแขก”
เห็นในแววตาของซูเช่อไม่หลงเหลือความคะนึงหาแม้แต่น้อยทั้งยังหมุนกายเข้าไปในจวนอย่างเด็ดเดี่ยว ราวกับจะตัดความสัมพันธ์กับนางอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดมั่วจวินเหยาก็ทนรับความกระทบกระเทือนทางจิตใจนี้ไม่ไหวจนนั่งฟุบลงไปบนพื้นโดยพลัน “ซูเช่อ ซูเช่อ…”
แม้นางจะตะโกนสุดเสียงแต่ชายผู้สง่างามหาใดเปรียบในอาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ตั้งแต่นางตบแต่งเข้าจวนเสียนหวางจนถูกหย่าเป็นเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ในครึ่งปีนี้เขาไม่เคยมองนางตรงๆ สักครา อย่าว่าแต่ความอ่อนโยนแม้เพียงชั่วครู่เลย เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องนางด้วยซ้ำ!
ในฐานะองค์หญิงที่มาตบแต่งเชื่อมสัมพันธ์กลับถูกหย่าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นางกลายเป็นเรื่องตลกที่ไม่เคยมีมาก่อนไปเสียแล้ว
“เสด็จพี่ ซูเช่อไม่ต้องการข้าจริงหรือ? เขาไล่ข้า…ออกจากจวนแล้วจริงๆ แต่ยามนี้ร่างกายเหยาเหยายังบริสุทธิ์อยู่ ทว่ากลับถูกทำให้อับอายด้วยการถูกหย่าและไล่กลับแคว้นเช่นนี้ เหยาเหยาไม่ยอม ข้าไม่ยอม!”
ยื่นแขนยาวออกไปโอบน้องสาวที่พังทลายอย่างรุนแรงทั้งยังร้องไห้อย่างหนักตรงหน้าเข้ามาในอ้อมกอด
ดวงตาชั่วร้ายทั้งสองข้างของอามู่เต๋อจ้องเขม็งไปทางประตูจวนเสียนหวางที่ปิดสนิท เขารู้ว่าชายผู้นั้นข้างในจะต้องเห็นและได้ยินเป็นแน่
“ซูเช่อ เจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”