เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 498 บริสุทธิ์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 498 บริสุทธิ์
เล่มที่ 17 ตอนที่ 498 บริสุทธิ์
“เมื่อครู่สิ่งที่ข้าให้เจ้ากินเป็นเพียงลูกกลอนเสริมความงามเท่านั้นซึ่งหาได้มีพิษอันใด แต่อย่าคิดว่าข้าพบตัวตนของเจ้าแล้วเจ้าจะสามารถถอยหลังกลับได้ ในเมื่อเจ้าเข้ามาในตำหนักองค์ชายรองเพื่อเป็นสาวใช้ของข้าก็นับว่าเป็นคนของข้าแล้ว หากหนีออกไปจากตำหนักโดยพลการจุดจบย่อมเป็นความตาย”
ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวทิ้งท้ายจบก็หายไปจากเบื้องหน้าหงยวนแล้ว
เมื่อหงยวนได้ยินเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’ นางก็ชกหมัดลงไปบนโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยว “สมควรตาย สมควรตายนัก!”
พุ่งไปที่ข้างหน้าต่างโดยพลันคิดจะทะยานร่างออกไป แต่นางกลับเห็นองครักษ์หลวงที่อยู่ไม่ไกลจึงหยุดฝีเท้าโดยพลัน
องครักษ์มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่หาได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ต้องออกไปข้างนอกเพราะจงใจจะทดสอบนางเป็นแน่!
สตรีผู้นี้พบนานแล้วว่านางผิดปกติจึงทั้งหยั่งเชิงและรังแกกัน ตกลงแล้วนางคิดจะทำอันใดกันแน่?
นายท่าน หากท่านอยู่ที่นี่จะต้องเข้าใจเป็นแน่ว่าท่านมอบความจริงใจให้ผิดคนแล้ว สตรีที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไม่คู่ควรกับท่าน!
“ได้ยินซางจือบอกว่าเจ้าตัดสินใจให้สาวใช้ที่ชื่อหงยวนอยู่ข้างกายต่อไป ปรนนิบัติได้น่าพอใจหรือไม่?”
บนรถม้า ซั่งกวนเซ่าเฉินโอบเอวของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยนขณะที่วางคางไว้บนไหล่ของนาง ได้กลิ่นอันคุ้นเคยก็รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างกายและจิตใจล้วนมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันโดยพลันแต่ไม่นานก็พยักหน้า “เป็นสาวใช้ที่สามารถดูแลคนได้ดียิ่ง ฝีมือก็ไม่เลวแต่ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน”
นางตอบโดยหาได้บอกเขาเรื่องตัวตนของหงยวน หาไม่แล้วก็คงไม่ต้องคาดเดาจุดจบของหงยวนเลย
ในเมื่อมีใครบางคนจงใจส่งคนเข้ามาใกล้ชิดนาง แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจทำผิดต่อคนข้างกายโดยการส่งให้ออกไปลำบากได้ หากไม่อาจคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นต้องการทำอันใด นั่นมิใช่ว่าล้วนเป็นการทำให้ทุกคนลงแรงอย่างเสียเปล่าหรือ?
“ได้มาพบเจอเจ้านายเช่นเจ้านับเป็นวาสนาของพวกนางทั้งสามคนแล้ว ในเมื่อทำได้ดีก็ให้อยู่ที่ตำหนักต่อเถิด กลับไปบอกนางว่าในเมื่อดูแลได้ดีเปิ่นหวางจื่อก็จะตกรางวัลให้อย่างงาม”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตรงไปตรงมายิ่ง ประโยคหลังเห็นได้ชัดว่ากล่าวกับบ่าวนอกรถม้า
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใด ในหัวอดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพหงยวนเมื่อคืนที่หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด แต่กลับยืนกรานปิดปากไม่ยอมพูดอันใด
ความดื้อดึงและความอดทนของนางล้วนเหมือนกับตนยิ่ง
นางกลับอยากเห็นนักว่าผู้ใดจะกล้าลงมือกับนาง
“อีกนานเพียงใดจึงจะถึงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์เปิดม่านมองทัศนียภาพนอกรถม้าก็รู้สึกแปลกใจ
เมื่อคืนหิมะตกข้างนอกจึงเต็มไปด้วยสีขาวโพลน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันงดงามมาก แต่น่าเสียดายที่นางเกิดมาไม่ถูกกับความหนาวเย็นจึงหาได้ชอบฤดูหนาวมากนัก
“เหนื่อยหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมีท่าทางตึงเครียดมองตามสายตาของนางทั้งยังมองไปรอบด้าน เขาคาดการณ์ “อีกประมาณครึ่งชั่วยาม หากเหนื่อยเจ้าก็หลับสักครู่เถิด เมื่อถึงแล้วข้าจะเรียกเจ้าดีหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พูดอันใดแต่ก็พยักหน้า ก่อนจะอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาฟังเสียงหัวใจเต้นอย่างหนักแน่นด้วยความสงบ มือก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไปบนท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของนาง
“เซ่าเฉิน ท่านว่าหากร่างกายของข้ารักษาไม่หาย ถึงขั้นส่งผลกระทบไปถึงลูกน้อยในท้องควรจะทำอย่างไรดี?”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะคอกเสียงเบา ก่อนที่ฝ่ามือจะปิดปากของนางไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองอยู่บ้าง “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าคิดเหลวไหล ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอนหากยังไม่ถึงนาทีสุดท้ายเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่มีหวัง?”
“แต่หลังจากเขาปรากฏตัวขึ้นร่างกายของข้าก็แย่ลงทุกวัน ข้ากังวลจริงๆ…”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องการเขาแล้ว!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเปิดปากโดยพลันทำให้หลิงมู่เอ๋อร์สับสนยิ่ง
“ท่านพูดอันใด?”
มองซีกหน้าที่เย็นชาและโกรธเคืองของเขา หลิงมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งเข้าใจบางสิ่ง นางลุกขึ้นมาจากในอ้อมกอดของเขาโดยพลัน “ซั่งกวนเซ่าเฉินนี่เป็นลูกแท้ๆ ของข้านะ!”
ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือดก่อนที่มือทั้งสองข้างจะจับไหล่ทั้งสองข้างของนางไว้แน่น “แต่เจ้าคือคนที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดในโลก หากไม่มีเจ้า ข้าจะต้องการเขาไปเพื่ออันใด?”
“แต่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์!”
“ข้าก็เป็นผู้บริสุทธิ์”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนอย่างวางอำนาจ น้อยครั้งยิ่งที่เขาจะตะโกนใส่นางเช่นนี้ คราก่อนที่ตะโกนใส่อย่างเดือดดาลก็คือยามที่เขาสูญเสียความทรงจำ
คาดไม่ถึงว่าการตอบสนองของเขาจะรุนแรงถึงเพียงนี้ หัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์เต้นตึกตักอย่างรุนแรงไม่หยุด
เพิ่งตระหนักได้ว่าความโกรธของเขาทำให้แม่นางน้อยตรงหน้าตกใจ ซั่งกวนเซ่าเฉินจึงหลุบตาลงก่อนที่ดวงตาจะทอดมองออกไปไกล “ลูกที่ไม่มีมารดาล้วนไม่มีความสุข แน่นอนว่าข้าจะไม่ยอมให้ลูกของข้าต้องประสบกับความทุกข์ทั้งหมดที่บิดาของเขาเคยประสบพบเจอ ดังนั้นหากจำเป็นจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องการเขาแล้ว ยามนี้เจ้าเข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือไม่?”
ในใจหลิงมู่เอ๋อร์เกิดความซับซ้อนขึ้นโดยพลัน
ใช่ ลูกที่มีมารดาย่อมเหมือนของล้ำค่า และลูกที่ไม่มีมารดาย่อมเหมือนต้นหญ้า
นางเคยคิดว่าหากเพราะการมาถึงของลูกกดดันจิตใจนางทำให้นางจำต้องเลือกชีวิตเพียงหนึ่ง แน่นอนว่านางย่อมเลือกความหวังให้เด็กที่ยังมิได้เกิดมาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามกว้างไกลของโลกนี้
แต่จะทำอย่างไรดี นางไม่อยากแยกจากซั่งกวนเซ่าเฉิน
“พี่ใหญ่…”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกแสบจมูกอยู่บ้าง ก่อนจะโผเข้าไปออดอ้อนในอ้อมกอดของเขาและโอบเอวเขาแน่น “ข้าไม่สน ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำร้ายเขา ข้ารับปากท่านว่าจะรักษาตนเองอย่างดีที่สุดแน่นอน แต่ท่านก็ต้องรับปากข้าว่าหากท่านจะทำเรื่องใดก็ต้องหารือกับข้าก่อน ท่านเข้าใจหรือไม่!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกว่านางพูดว่าวันหนึ่งเขาจะทำร้ายเด็กในท้องของนางได้อย่างกะทันหัน เขายิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน?”
“คนเลว! รู้ว่าท่านเป็นคนเลวที่ตะโกนใส่ข้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวคำพูดนี้โดยที่หมัดเล็กๆ ที่ชกบนอกของเขาราวกับจั๊กจี้เขาอยู่
ซั่งกวนเซ่าเฉินแบฝ่ามือและกุมกำปั้นเล็กของนางเอาไว้ในฝ่ามือ ยามที่เสียงหัวเราะอันเบิกบานดังขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งร่างก็ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยพลัน
“แม้ตงฟางเชวี่ยจะยังร่ำเรียนกับอาจารย์ไม่สำเร็จวิชาแต่เขาก็เป็นหมอที่มีฝีมือสูงส่ง บางทีพวกเจ้าสองคนอาจเอาชนะอาการป่วยอันแปลกประหลาดนี้ได้ พวกเราถือโอกาสไปผ่อนคลายจิตใจเสียหน่อยจะดีกว่า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินชี้ไปทางทัศนียภาพนอกหน้าต่าง “หุบเขาเย่าหวางอยู่ค่อนข้างสูงทั้งยังเป็นส่วนลึกของภูเขา เป็นสถานที่อันดีในการพักรักษาตัวเป็นพิเศษ คาดว่าตงฟางเชวี่ยย่อมไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของข้าได้”
“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่!” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่คิดเช่นนั้น “คราก่อนที่พวกเราไปก็ข่มขู่หมายเอาชีวิตเขา อีกทั้งพวกเรายังพบเจอมือสังหารถึงสองคราทำให้หุบเขาเย่าหวางยุ่งเหยิง ไม่แน่ครานี้พวกเราอาจไม่แม้แต่จะได้เข้าไปเสียด้วยซ้ำ”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างสบายใจ ใครจะคิดว่าคำพูดนี้ของนางจะแม่นยำยิ่ง
ยามที่รถม้าหยุดลงที่หุบเขาเย่าหวางก็เห็นเพียงประตูใหญ่ของหุบเขาปิดสนิท ถึงขั้นแขวนป้ายปฏิเสธการพบแขก
เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่ลี้ลับแต่ทำราวกับเป็นเหลาอาหารที่ทิ้งร้างมานาน คาดเดาได้ว่าเป็นความคิดของตงฟางเชวี่ยแน่นอน
“คนปิดประตูไม่ให้เข้าพบ พี่ใหญ่จะบุกเข้าไปหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กะพริบตาทั้งยังทำท่าทางชักดาบอย่างซุกซน
ซั่งกวนเซ่าเฉินที่เดิมขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางจงใจทำท่าทีหยอกล้อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
หมุนกายกลับไปหยิบด้ามดาบเคาะหน้าประตูใหญ่ซึ่งปิดสนิทของหุบเขาเย่าหวาง ก็ราวกับกลไกถูกเปิดทำให้ประตูใหญ่เปิดออกโดยพลัน
“ที่แท้องค์ชายรองผู้สูงศักดิ์ก็ให้เกียรติมาเยือน หุบเขาเย่าหวางมิได้ต้อนรับแขกจากแดนไกลมาเนิ่นนานอย่างไรก็ต้องขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ศิษย์วัยเยาว์ซึ่งสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินผู้หนึ่งเปิดประตู
“แต่ผู้นำหุบเขามิอยู่หรือ เหตุใดหุบเขาเย่าหวางจึงปฏิเสธการพบแขกเล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเข้าประเด็น น้ำเสียงทรงพลังและวางอำนาจเป็นอย่างยิ่งจนยากจะปฏิเสธ
“เรียนองค์ชายรอง เมื่อสามวันก่อนจู่ๆ ผู้นำหุบเขาก็ออกเดินทาง กล่าวว่าต้องการออกไปช่วยชีวิตคนใกล้ตาย และรักษาผู้บาดเจ็บเพื่อฝึกฝนทักษะแพทย์คงไม่กลับมาในช่วงเวลาอันสั้นพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายรองมาหาผู้นำหุบเขาเพื่อให้ดูอาการป่วยเกรงว่าคงมาเสียเที่ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ศิษย์วัยเยาว์กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง
“อ้างเสียสวยหรูว่าเพื่อฝึกฝนทักษะแพทย์ แต่จากที่ข้ามองคงออกไปทำตัวเอ้อระเหยมากกว่ากระมัง?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขำ ตงฟางเชวี่ยผู้นี้แม้พวกเขาจะหาได้คบหากันมานานนักแต่ผู้ที่ภายนอกทำตัวเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ ทว่าแท้จริงเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เชื่อว่าจะเป็นเด็กดีที่เล่าเรียนอย่างว่าง่าย
“นั่น…” ศิษย์วัยเยาว์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรตอบกลับคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไร
“ตงฟางเชวี่ยบอกว่าจะกลับมาเมื่อใด?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถามอย่างเย็นชา
“อาจารย์อามิได้บอกพ่ะย่ะค่ะ แต่หากว่าตามระยะเวลาทุกคราที่ออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้ คาดว่าอย่างน้อยก็สามเดือน ไม่ทราบว่าองค์ชายรองจะรอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“แน่นอนว่าไม่!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธเกรี้ยว อย่าว่าแต่สามเดือนเลย มู่เอ๋อร์ของเขาอาจทนได้ไม่ถึงสามวันเสียด้วยซ้ำ
ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่นางคงจะไม่ถามคำถามที่เคร่งเครียดเช่นนั้นขึ้นมาในรถม้าอย่างกะทันหัน
เขาไม่รู้ว่าร่างกายของหลิงมู่เอ๋อร์เป็นอันใด แต่การที่ตงฟางเชวี่ยไม่อยู่ที่หุบเขาเย่าหวางเป็นคำตอบที่เลวร้ายยิ่ง
“ช่างเถิด ในเมื่อไม่อยู่พวกเราก็ไม่อาจบีบคั้น หากผู้นำหุบเขาของพวกเจ้ากลับมาก่อนกำหนดก็ขอให้ส่งคนไปแจ้งข่าวที่ตำหนักองค์ชายรองด้วย”
กล่าวขอบคุณก่อนที่หลิงมู่เอ๋อร์จะกอดแขนของเขา “พวกเรากลับบ้านกันเถิดสามี”
เมื่อก่อนยามที่ถูกนางเรียกว่าสามี ในใจของเขาล้วนรู้สึกคันยุบยิบและอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้เหตุใดเขาจึงไม่ดีใจเลยเล่า
“ตงฟางเชวี่ยไม่อยู่ที่หุบเขาเย่าหวาง อาการป่วยของเจ้า…”
“ขอเพียงไม่โกรธหรือเศร้าเกินไป รวมถึงพักผ่อนและกินข้าวให้ตรงเวลาทุกวันก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายก่อนจะกอดแขนของเขาแน่น “ข้าหนาวมาก ท่านยังอยากจะยืนอยู่บนพื้นหิมะเช่นนี้จริงหรือ?”
เพิ่งตระหนักได้ว่าสีหน้าของแม้นางน้อยซีดเซียวเพราะความหนาวเย็น ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบกอดนางแน่นและพาเข้าไปในรถม้า ก่อนจะออกคำสั่งให้กลับไปที่ตำหนักองค์ชายรองโดยพลัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ทำได้เพียงออกคำสั่งให้คนในยุทธภพออกไล่ตามจับตัวตงฟางเชวี่ย
เจ้าคนหน้าเหม็นกล้าหลบซ่อนจากเขา เขาก็อยากจะรู้นักว่าอีกฝ่ายจะหลบซ่อนไปได้ถึงที่ใด!
“ยามนี้ยังหนาวอยู่หรือไม่? ร่างกายรู้สึกไม่สบายตรงใดหรือไม่? มู่เอ๋อร์ หากรู้สึกไม่สบายอันใดต้องบอกข้าก่อนเข้าใจหรือไม่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล จนกระทั่งอุ้มนางเข้าไปในห้องและรู้สึกได้ถึงความร้อนในห้องจึงปล่อยมือจากนางอย่างอาลัยอาวรณ์
“ดีขึ้นมากแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ เมื่อเห็นใครบางคนในห้องก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของเขา
เห็นสีหน้าของหงยวนขึ้นสีแดงเรื่อแต่ในดวงตากลับมีความโกรธเคืองเย็นชา นางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น “ยังมัวงงอันใดอีก หาได้ยากที่เหยียจะอยู่ในตำหนักยังไม่ไปชงชาให้เหยียอีก”
หงยวนคาดไม่ถึงว่าเพียงชั่วข้ามคืนหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่ถือสาในสถานะของนาง แต่ยังถึงขั้นมีท่าทีคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างมากด้วย
หลังจากนางตกตะลึงก็รีบโค้งกายก่อนจะไปรินชาให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน
“องค์ชายรองเชิญดื่มชาเพคะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินเงยหน้ามองนางแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น “เจ้าคือสาวใช้ส่วนตัวที่มู่เอ๋อร์เลือกด้วยตนเองหรือ?”
คำพูดนี้ฟังดูธรรมดาแต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน
หงยวนรีบคุกเข่าลงไปบนพื้น “เรียนองค์ชายรอง หม่อมฉันหงยวนจะดูแลคุณหนูเป็นอย่างดีแน่นอนเพคะ”
“ก้าวเดินแผ่วเบา ลมหายใจสงบ ดูท่าจะมีกำลังภายในไม่เลว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวชื่นชม “ในเมื่อมู่เอ๋อร์เลือกเจ้าเช่นนั้นเจ้าย่อมมีส่วนที่เหนือกว่าผู้อื่นเป็นแน่ จงดูแลนางต่อไปให้ดี ร่างกายของมู่เอ๋อร์ค่อนข้างพิเศษ หากปรนนิบัติได้ดีเปิ่นหวางจื่อย่อมตกรางวัลให้”
พูดกับภรรยาอีกไม่กี่ประโยคซั่งกวนเซ่าเฉินก็ออกจากห้องไปยามที่นางไล่
เขาเพิ่งออกไปหงยวนที่เดิมมีท่าทีนอบน้อมก็ลุกขึ้นโดยพลัน “ข้าได้รับคำสั่งให้มาเข้าใกล้ท่าน หากองค์ชายรองรู้สถานะที่แท้จริงของข้าจะต้องทำให้ข้าอยู่ไม่สู้ตายเป็นแน่ เหตุใดท่านจึงไม่เปิดโปงข้าเล่า?”
“เพราะเช่นนี้น่าสนใจกว่า พรุ่งนี้เจ้าต้องออกไปข้างนอกกับข้า”