เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 496 ลมบูรพา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 496 ลมบูรพา
เล่มที่ 17 ตอนที่ 496 ลมบูรพา
ในทางเดินบนที่พักแรมของข้าหลวงมีสาวใช้กว่ายี่สิบคนบ้างก็รินชา บ้างก็ขับร้องเล่นดนตรี ทั้งหมดเข้าออกห้องตรงกลาง การเคลื่อนไหวเป็นวงกว้างนี้รบกวนการพักผ่อนของแขกโดยรอบทั้งหมด แต่แขกซึ่งอยู่ในห้องตรงกลางกลับไม่ได้ฟังเสียงข้างนอก ถึงขั้นมีท่าทีราวกับเป็นเจ้าของทั้งที่พักแรมเสียด้วยซ้ำ
“ข้าคิดว่าท่านจะบาดเจ็บสาหัสจนล้มป่วยหนักไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้ไปสามเดือนห้าเดือน คาดไม่ถึงว่าท่านกลับมาอยู่ในที่พักแรมของข้าหลวงด้วยความสบายใจอย่างผ่าเผยเช่นนี้ ไม่เพียงแต่มีสุราเลิศรสทว่ายังมีสาวงามควบคู่กันไปด้วย นี่เป็นไซ่เสินเซียน [1] หรืออย่างไร?”
ฉินรั่วเฉินเหลือบมองทุกสิ่งโดยรอบ ก่อนจะมองอามู่เต๋อที่เอนกายโดยมีสาวงามสองคนอยู่ในอ้อมแขนราวกับใต้เท้าใหญ่ โดยที่พวกนางคนหนึ่งนวดขาให้ ส่วนอีกคนหนึ่งป้อนองุ่นให้ เขาก็เพียงแค่รู้สึกดูแคลนกับภาพนี้
“ลำบากองค์ชายหกให้มาเป็นห่วงแล้ว ท่านวางใจเถิด ข้ายังมิตายและจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการใหญ่ของท่านกับข้า” อามู่เต๋อหาได้เงยหน้าขึ้นไป ทั้งกายใจเสพสุขอยู่กับการปรนนิบัติของสาวงามราวกับลืมจุดประสงค์ที่เขาอยู่ในเมืองหลวงไม่ยอมจากไปแล้ว
“ดาบหนึ่งแทงทะลุอวัยวะภายใน ดาบหนึ่งฟันเข้าจุดสำคัญ บนร่างมีแผลขีดข่วนมากถึงยี่สิบแปดจุด กำลังภายในก็ถูกทำลายไปมาก ท่านยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในขณะที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้กลับยังสามารถมานอนอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้อีกหรือ? ไม่ยากแก้แค้นหรือ?” ฉินรั่วเฉินเย้ยหยันอย่างเย็นชา
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” อามู่เต๋อถามกลับไปตามสัญชาตญาณ กล่าวจบก็เพิ่งตระหนักได้ว่าฉินรั่วเฉินเป็นคนเช่นไร เขาเป็นผู้ที่วางแผนอย่างโหดเหี้ยม การจะหาหมอสักสองสามคนมาทำการรักษาย่อมเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ง่ายดายราวกับเป่าลม
แต่อีกฝ่ายจัดคนให้มาจับตาดูเขาเช่นนี้ก็อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาเช่นกัน
“ท่านไม่เชื่อใจข้าหรือ?” อามู่เต๋อพลิกตัวอย่างแรงแม้การเคลื่อนไหวอย่างหนักจะทำให้กระทบกับบาดแผลโดยไม่ระวัง แต่เขาก็ข่มกลั้นความเจ็บปวดพุ่งไปเบื้องหน้าของอีกฝ่ายราวกับลมที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรง ทั้งร่างแผ่บรรยากาศเยือกเย็นที่ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือก จนเหล่าสตรีรอบข้างพากันสั่นสะท้านและมารวมเป็นกลุ่มเดียว
“ทำเหล่าสาวงามตกใจกลัวแล้ว”
ฉินรั่วเฉินมีน้ำเสียงเกียจคร้านเชื่องช้าราวกับไม่สนใจอันใด ฝ่ามือใหญ่ตบไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายด้วยท่าทีเป็นมิตรยิ่ง “ข้าแค่เป็นห่วงท่าน ถึงอย่างไรยามนี้พวกเราก็ร่วมมือกันแล้ว หากท่านไม่ระวังจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดย่อมส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมทั้งหมดของข้าได้”
อามู่เต๋อจ้องมองดวงตาของเขาอย่างพิจารณาอยู่นาน ยามที่กลับไปนั่งที่อีกคราก็โบกมือไล่ทุกคนที่อยู่รอบข้างออกไป
ฉินรั่วเฉินมองส่งสตรีแต่ละคนที่ออกไป มองพวกนางที่มีเสน่ห์และไร้เดียงสาก็ลอบว่าร้ายในใจว่าอามู่เต๋อผู้นี้ช่างตายด้านเสียจริง
“ได้ยินว่าท่านซื้อสตรีจากเรือนค้าทาสทั่วทั้งเมืองหลวงมาจนเกิดการปะทะเสียใหญ่โต ไม่กลัวว่าเรื่องจะไปถึงหูเสด็จพ่อหรือ?” ฉินรั่วเฉินอยากรู้จริงๆ
แต่ก็ยังสงสัยว่าอามู่เต๋อผู้นี้คิดจะทำอันใด
ในฐานะองค์ชายจากต่างแคว้น เรื่องที่ถูกคนลอบสังหารในเมืองหลวงไม่รู้ว่าข่าวลือจะแพร่กระจายออกไปกี่มากน้อย แต่หากข่าวไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้จะต้องมีการสืบสวนเป็นแน่ หรือนี่จะเป็นแผนจัดการกับซูเช่อของเขา?
“ก่อนหน้านี้ที่หลันซือเฮ่อเสนอให้สังหารซูเช่อเป็นท่านที่ไม่เห็นด้วย ผลคือกลับถูกเขาลอบสังหารจนเกือบตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเขา อามู่เต๋อ ท่านกำลังวางแผนอันใดอยู่!”
“องค์ชายหกโปรดระงับโทสะก่อน” อามู่เต๋อยิ้มกว้างและจับแขนของคนที่เริ่มมีโทสะลง
ค่อยๆ รินน้ำชาให้เขา “อย่าถือสาเลย ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้หมอจึงแนะนำว่าให้งดเหล้าจึงทำได้เพียงดื่มชาแทนเหล้า องค์ชายหกเชิญ”
เขาทำมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ ฉินรั่วเฉินไม่รู้ว่าเขาจะทำอันใดจึงทำได้เพียงนั่งลงที่เดิมโดยไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด
“ทุกการเคลื่อนไหวของซูเช่อหมายเอาชีวิตแต่ก็ล้วนยั้งมือไว้ด้วย เขาไม่ฆ่าท่านแต่ทำร้ายท่านให้ไม่ถึงตายก่อนจะรามือไป ตกลงท่านไปทำอันใดเขากันแน่?”
อามู่เต๋อชะงัก พูดตามตรงคือเขาคาดไม่ถึงว่าซูเช่อจะมิได้กระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป
หรือเขาทำเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเหยาเหยา? หรือคนเช่นเขาก็เกรงว่าจะเกิดข่าวลือเสียหาย?
ครึ่งเดือนก่อนซูเช่อพาคนมาต่อสู้ที่ที่พักแรมของข้าหลวง โดยที่โจมตีหมายเอาชีวิตอย่างไร้ซึ่งการอธิบาย เขาพยายามต้านทานไว้แต่สุดท้ายเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวจึงได้รับบาดเจ็บ บาดแผลของเขาสาหัสจนเกือบตาย เดิมยังคิดว่าซูเช่อจะฉวยโอกาสไล่ต้อนเพื่อเอาชนะตัดหัวของเขาไป แต่รออยู่นานอีกฝ่ายกลับไม่ปรากฏตัวออกมา
ในใจเขารู้ดีว่าซูเช่อมาหาเขาเพื่อชำระหนี้เรื่องที่เหยาเหยาไปวางยาอีกฝ่าย แต่เขาลอบตรวจสอบดูแล้วว่าซูเช่อหาได้ทำอันใดเหยาเหยา ดูท่าคงสั่งสอนนางอย่างง่ายๆ ที่มาวางยาเขา
ในเมืองหลวงมีคนไม่น้อยที่รู้ว่าเขาถูกลอบสังหารแต่ที่รู้ว่าเป็นฝีมือซูเช่อนั้นมีไม่มาก เหตุใดซูเช่อต้องปิดบังด้วย? หากเขานำเรื่องนี้ไปทูลกับฮ่องเต้มิใช่ว่าจะสามารถหย่ากับเหยาเหยาได้หรือ? หรือว่าเขากังวลว่าจะผิดใจกับแคว้นซีอวี้จนเกิดความวุ่นวายขึ้น?
ไม่ ซูเช่อหาใช่คนขี้ขลาดเช่นนั้น
“เป็นเพียงบุญคุณความแค้นส่วนตัว องค์ชายหกวางใจเถิด นี่ไม่เกี่ยวกับแผนของท่านแน่นอน! หากซูเช่ออยากฆ่าข้าวันนั้นก็คงลงมือไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ข้าก็รักษาตัวอยู่ที่ที่พักของข้าหลวงตลอด เขาย่อมสามารถฉวยโอกาสไล่ต้อนเพื่อชัยชนะในขณะที่ข้ารับมือไม่ทันได้! หรือท่านคิดว่าเขากลัวที่ในที่พักมีสตรีมากเกินไปจึงไม่กล้าลงมือ?” อามู่เต๋อจงใจหัวเราะ
เห็นสีหน้าของฉินรั่วเฉินแปรเปลี่ยนไปก็เห็นได้ชัดว่าหมดความอดทนแล้ว เขาพยักหน้าก่อนจะกลับเข้าเรื่อง “เรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงช่วงนี้ข้าล้วนได้ยินมาหมดแล้ว ดูเหมือนท่านจะพ่ายแพ้ซั่งกวนเซ่าเฉินอีกคราแล้ว บอกมาเถิด หลังจากข้าได้รับบาดเจ็บมาครึ่งเดือนจึงเพิ่งมาเยี่ยมเช่นนี้ต้องการให้ข้าทำอันใด?”
เห็นเขารู้จักวางตัวเช่นนี้ สีหน้าของฉินรั่วเฉินก็อ่อนลงหลายส่วน “เดิมข้าคิดว่าด้วยการตายของอี้กุ้ยเฟยจะสามารถโค่นล้มฉินอวี้เหิงรวมถึงซั่งกวนเซ่าเฉินได้ แต่คาดไม่ถึงว่า…” เขาถอนหายใจ “ซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นหนึ่งในศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของข้า ข้าย่อมคิดแผนอื่นไว้รับมือแล้ว ส่วนฉินอวี้เหิง โคลนก้อนหนึ่งย่อมไม่อาจติดกำแพง ขี้ขลาดจนวิ่งหนีไปที่อาณาเขตซึ่งได้รับพระราชทานไปแล้ว ช่างเถิด ในเมื่อเขาขี้ขลาดจนหนีไปข้าก็จะไว้ชีวิตเขา”
“ไว้ชีวิตเขา?” อามู่เต๋อยิ้มเยาะ “องค์ชายหกเมตตาถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนมองแผนการของตนเองออก ฉินรั่วเฉินก็หาได้ปิดบังอีก เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง “ดูท่าไม่ว่าสิ่งใดก็คงล้วนไม่อาจปิดบังองค์ชายอามู่ได้จริงๆ ถูกต้อง ในเมื่อฉินอวี้เหิงหนีไปแล้วเช่นนั้นก็ให้เขาตายระหว่างทางเสีย คนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่ไปก็เปลืองอากาศเสียเปล่า ท่านว่าถูกหรือไม่?”
อามู่เต๋อโค้งริมฝีปาก “ท่านต้องการแค่ตำแหน่งไท่จื่อ ฉินอวี้เหิงถูกท่านดึงลงจากตำแหน่งนั้นแล้ว จะเป็นตายก็ย่อมไม่กลายเป็นภัยคุกคามของท่านอีก กลับกันเป็นซั่งกวนเซ่าเฉินที่ข้างกายไม่เพียงแต่มีขุนนางมากมายสนับสนุน แต่ยังมีซูเช่อที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ ทว่าดูจากท่าทางมั่นใจยิ่งขององค์ชายหก ย่อมมีแผนการแล้วใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง!”
ฉินรั่วเฉินลุกขึ้นก่อนจะเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังและเดินไปตรงหน้าต่าง “ซั่งกวนเซ่าเฉินปฏิเสธฝ่าบาทว่าไม่ต้องการตำแหน่งไท่จื่ออยู่หลายครา อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอันใด เขาเพียงแค่ไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าเขาแย่งชิงตำแหน่งของน้องชายมา หากเขาไม่ต้องการจริงก็คงพาหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปท่องยุทธภพนานแล้ว เหตุใดจะต้องเสียแรงจัดการปัญหาของเมืองหลวงเช่นนี้ด้วย? ยังมีหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นอีก คิดว่าตนเองมีทักษะแพทย์สูงส่งทำให้ฝ่าบาททรงพอพระทัย มิใช่ว่าอยากให้ฝ่าบาทมีรับสั่งบังคับมอบตำแหน่งไท่จื่อให้พวกเขาหรือ เช่นนั้นข้าจะทำให้นางเคลื่อนหินทับเท้าตนเอง!”
ดวงตาเห็นไอสังหารและท่าทีตัดสินใจได้ในก้นบึ้งดวงตาของฉินรั่วเฉิน อามู่เต๋อก็รู้ว่าหากคนผู้นี้ตัดสินใจขึ้นมาแม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่กลัว
นี่คนต้องประสบพบเจอกับชีวิตอันยากลำบากเช่นไรมาจึงมีนิสัยเช่นนี้?
“เช่นนั้นแล้วซูเช่อเล่า?”
ฉินรั่วเฉินโค้งริมฝีปาก “ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกับข้าแล้ว เขาทำร้ายท่านก็เท่ากับทำร้ายข้า ข้าย่อมต้องออกหน้าแทนท่านมิใช่หรือ?”
กล่าวจบเขาก็หยัดกายขึ้นแล้ว
“มีคนที่ข้ากำลังรอคำตอบอยู่ ขอเพียงคนผู้นั้นช่วยเหลือพวกเราก็จะเคลื่อนไหวได้ง่ายยิ่ง เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถจัดการซั่งกวนเซ่าเฉินและซูเช่อไปพร้อมกันได้!”
เห็นความมั่นใจในดวงตาของเขาก็คิดว่าเขาคงเตรียมการไว้แล้ว อามู่เต๋อพยักหน้า “ในเมื่อเตรียมทุกอย่างไว้แล้วขาดเพียงลมบูรพา [2] จากข้าหรือ?”
ฉินรั่วเฉินมองเขาด้วยสายตาชื่นชม “องค์ชายอามู่ช่างมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่ง ถูกต้อง ข้าต้องการให้ท่านเข้าวังหลวงในเวลาที่เหมาะสม เรื่องต่อจากนั้นข้าจะจัดการเอง ส่วนซูเช่อ…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เขามิใช่ว่าชอบหลิงมู่เอ๋อร์มาโดยตลอดถึงขนาดยอมมอบชีวิตให้นางได้หรือ เช่นนั้นข้าจะทำให้เขาสมหวัง! ต่อไปข้าจะ…”
บอกแผนการอย่างละเอียดให้อามู่เต๋อฟัง ก็เห็นรอยยิ้มกว้างในก้นบึ้งดวงตาของเขา ฉินรั่วเฉินรู้สึกเพียงว่าตนเองฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก
“องค์ชายอามู่ ท่านมิใช่ว่าอยากพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปแคว้นซีอวี้หรือ? โอกาสของท่านมาถึงแล้ว!”
ตบไหล่เขาก่อนฉินรั่วเฉินจะหมุนกายไป “ข้าจะลงมือภายในสิบวัน แน่นอนว่าข้าเชื่อว่าในสิบวันท่านจะรักษาตนเองเรียบร้อยแล้ว ถึงครานั้นพวกเราก็ต้องลงมือร่วมกันเป็นครั้งแรก!”
“เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีขององค์ชายหกอยู่ที่นี่” อามู่เต๋อพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการของเขา มองสีหน้าผ่อนคลายของเขาและท่าทีราวกับชัยชนะอยู่ในมือแล้วของอีกฝ่ายอีกครา เขาก็ยื่นมือออกไปทำท่าทางเชื้อเชิญ “องค์ชายหกคงยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของท่านแล้ว ร่างกายข้าไม่สะดวกจึงส่งได้ไม่ไกล”
“ไม่เป็นไร”
ออกมาจากที่พักแรมของข้าหลวง ฉินรั่วเฉินก็ขึ้นรถม้าของตนเอง เมื่อได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรเขาก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“ไปหอจุ้ยเซียง” เขาสั่งคนบังคับรถม้า
นานแล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้ ก่อนที่การต่อสู้อันดุเดือดพรุ่งนี้จะเริ่มขึ้น วันนี้ก็ควรจะพักผ่อนเสียหน่อย
“พ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าตอบรับก่อนจะหมุนทิศทางกลับโดยพลัน
ผู้ใดจะเชื่อว่าองค์ชายหกผู้สูงส่งจะมีคนรักอยู่ที่หอนางโลม?
ฮี้
รถม้าหยุดชะงักระหว่างทางอย่างกะทันหันทำให้ฉินรั่วเฉินที่หลับตาพักผ่อนร่างกายเดือดดาลขึ้นมาโดยพลัน เขานั่งตัวตรงอย่างมั่นคงก่อนจะเปิดม่านรถม้าออกไปตะคอกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ขับรถม้าอย่างไรกัน?”
“เหยีย กระหม่อมมีเรื่องสำคัญมารายงานพ่ะย่ะค่ะ” เสียงองครักษ์เงาดังขึ้นมาจากนอกรถม้าอย่างไม่ดังไม่เบาแต่ร้อนรนอยู่บ้าง
ฉินรั่วเฉินมีสีหน้าโกรธเคืองขึ้นมาอีกครา เสียงเย็นชาไม่พอใจดังขึ้นออกมาโดยไม่ได้เปิดม่านรถม้าอีก “ทางที่ดีควรเป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การทำให้ข้าสงบใจได้ ไม่เช่นนั้นมารบกวนความสุขข้าเช่นนี้ เจ้าก็สมควรได้รับโทษ!”
บ่าวรีบโค้งกายทำความเคารพรถม้าอันเย็นยะเยือก ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวังด้วยความเคร่งเครียด “เรียนเหยีย ผู้ที่ท่านรอคอยส่งข่าวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นบอกว่าจะยอมร่วมมือกับท่านและจะสนับสนุนท่านสุดกำลังพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!”
ได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจ ฉินรั่วเฉินก็มีความสุขขึ้นมาโดยพลัน
“ยังมัวงงอันใดอยู่ ในเมื่อคนมาขอพึ่งพิงด้วยตนเอง แผนการของพวกเราก็ควรจะเริ่มได้แล้ว”
ฉินรั่วเฉินเปิดม่านรถม้ามององครักษ์ที่ทำความเคารพก่อนจะโค้งริมฝีปาก “ไปเตรียมตัวเถิด จวนเสียนหวางหลังตบแต่งก็เงียบสงบมานานถึงเพียงนี้ก็ควรจะครื้นเครงขึ้นเสียหน่อย”
เชิงอรรถ
[1] ไซ่เสินเซียน หมายถึง คนที่ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและอิสระ เช่นคนที่ออกไปใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างไร้กังวล
[2] ขาดเพียงลมบูรพา หมายถึง ขาดสิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียวหรือขาดเพียงผู้เปิดงาน