เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 495 อยู่ต่อ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 495 อยู่ต่อ
เล่มที่ 17 ตอนที่ 495 อยู่ต่อ
ยิ่งหงยวนพูดก็ยิ่งมีท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจจนแม้แต่น้ำตาก็ไหลออกมา
เห็นนางโขกศีรษะพลางขอร้องอ้อนวอน สตรีอีกสิบเอ็ดคนก็พากันตะลึงงัน
“ยังสามารถใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนเพื่ออยู่ต่อเช่นนี้ได้อีกหรือ?” ชุนหยายิ้มขึ้นมาอย่างน่ารักพลางถามคำถามนี้ขึ้นมา นางเห็นเจิ้งเฟยขององค์ชายรองแสดงสีหน้าออกมาจึงเลียนแบบขึ้นมาโดยพลัน
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรองทรงมีพระเมตตาโปรดสงสารชุนหยาที่น่าเวทนาด้วยเถิดเพคะ ที่บ้านของชุนหยามีมารดาที่ป่วยหนักทั้งยังมีน้องชายอายุน้อยคนหนึ่ง หากหาตระกูลที่ดีไม่ได้เกรงว่าคงไม่อาจเลี้ยงดูให้น้องชายมีชีวิตรอดได้ ขอเจิ้งเฟยโปรดสงสารเวทนาหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ได้ยินคนเลียนแบบ อีกสิบคนที่ตกตะลึงอยู่ก็พากันทำตามขึ้นมา
ผ่านไปชั่วครู่ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ของสตรี
หาใช่เพียงหลิงมู่เอ๋อร์แต่ซางจือก็ล้วนตกตะลึงไปแล้ว
“พวกเจ้าทำอันใดกัน?” ซางจือตะคอก “หุบปาก หุบปากไปให้หมด พวกเจ้ากำลังทำให้คุณหนูหนวกหู!”
ได้ยินเสียงตะคอก ทุกคนก็พากันปิดปากอย่างว่าง่ายทำให้บรรยากาศกลายเป็นความเงียบงันโดยพลัน
“ข้าไม่ชอบคนที่ร้องไห้คร่ำครวญมากที่สุด” หลิงมู่เอ๋อร์คลึงขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่ร่างของหงยวน
“เจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่สำนักคุ้มภัยหรือ?”
“เรียนเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง หม่อมฉันอยู่ที่สำนักคุ้มภัยเจิ้งหยางเพคะ หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหลายปีมานี้หาเงินได้ไม่น้อยจึงวางแผนกลับบ้านเกิดที่เจียงหนาน แต่จนปัญญาจะพาคนมากมายถึงเพียงนั้นไปด้วยทำให้บ่าวรับใช้จำนวนมากถูกขายเพคะ”
“สำนักคุ้มภัยเจิ้งหยาง?” หลิงมู่เอ๋อร์คิดพิจารณาเหมือนเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยางมาก่อน “ได้ยินข่าวลือว่าหัวหน้าสำนักคุ้มภัยเจิ้งหยางมีนิสัยชอบใช้ความรุนแรง ทั้งยังมีเส้นสายในยุทธภพค่อนข้างมาก เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเขามักจะรังแกเจ้าหรือ?”
หงยวนตกใจคาดไม่ถึงว่านางจะถามละเอียดเช่นนี้ แต่ในเมื่อถามมาแล้วนางก็ต้องแต่งเรื่องต่อไป
“เรียน เรียนเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง หัวหน้าสำนักคุ้มภัยเป็นเพราะมีนิสัยรุนแรง ตั้งแต่เปิดสำนักคุ้มภัยมาหลายปีจึงไม่มีผู้ใดกล้ามาต่อสู้ชิงดีชิงเด่น กิจการรุ่งเรืองขึ้นแต่คนผู้นั้นเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน…”
“พอแล้ว!” เห็นนางพูดไม่ออกอย่างลำบากใจ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่คิดจะซักไซ้นาง
“คาดไม่ถึงว่าชีวิตเจ้าจะลำบากถึงเพียงนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกัน”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “หงยวนใช่หรือไม่ หลังจากนี้มาเป็นสาวใช้ส่วนตัวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า ให้ซางจือพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและไปเอาเสื้อผ้าเถิด”
กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นกำลังคิดจะออกไป
คนที่เหลือคาดไม่ถึงว่าเด็กที่ร่ำไห้จะได้รับขนมจริงๆ แต่ละคนออกไปอย่างโศกเศร้า มีเพียงชุนหยาที่ตรงเข้ามาอย่างกล้าหาญ “เจิ้งเฟยเพคะ นางมีชีวิตยากลำบากกว่าหม่อมฉันเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าท่านถูกใจข้ามิใช่หรือเพคะ?”
หลิงมู่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวชุนหยาผู้นี้จะกล้าหาญถึงเพียงนี้ นางยิ้ม “เจ้าพูดไม่ผิด ความจริงข้าถูกใจเจ้ามาก แต่ข้าต้องการผู้ที่มีวรยุทธ์ซึ่งสามารถปกป้องข้าได้ดังนั้นต้องขอโทษเจ้าด้วย”
“เป็นวรยุทธ์อันใดเพคะ ท่านเห็นว่านางน่าสงสารจึงตอบรับนาง ท่านโปรดมองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ นางมีผิวขาวละเอียดทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนั้น ดูแล้วหาใช่ผู้ที่มีชีวิตทุกข์ยากมาตลอด เจิ้งเฟยขององค์ชายรองอย่าได้ถูกการแสดงของนางหลอกเลยเพคะ”
จำต้องยอมรับว่าการสังเกตของชุนหยายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก เรื่องเหล่านี้ที่อีกฝ่ายพบไหนเลยนางจะไม่ทันสังเกต?
แจกันนั่นก็เป็นหงยวนจงใจทำหล่นอีกทั้งหงยวนยังจงใจช่วยนางเพื่อดึงดูดความสนใจของนาง
เรื่องสำนักคุ้มภัยนางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่หงยวนผู้นี้เหตุใดต้องจงใจดึงดูดความสนใจของนางก็มากพอที่จะทำให้นางสงสัยได้แล้ว ทว่าสาวใช้ที่ไม่ถูกเลือกผู้หนึ่งกลับกล้ามาตั้งคำถามกับผู้เป็นนายเช่นนี้
“ชุนหยา รอยยิ้มของเจ้าน่ารักเป็นอย่างยิ่งทำให้คนรู้สึกใกล้ชิด ข้าเชื่อว่าเจ้าก็เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถเช่นกัน นายท่านมากมายล้วนชอบผู้ที่มีความสามารถเช่นเจ้า แต่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่เลือกเจ้า?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองพินิจดวงตาของนาง “เพราะเจ้าในฐานะสาวใช้ที่ยังไม่ได้เข้ามาในตำหนักกลับกล้าก้าวก่ายเรื่องของผู้เป็นนาย เช่นนั้นหลังจากเข้ามาทำงานแล้วเจ้าจะไม่ยิ่งยืนอยู่เหนือศีรษะพวกเราผู้เป็นนายหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อตะโกนอย่างมีโทสะเรียกบ่าวข้างนอก “ให้คนมาส่งแขก”
ชุนหยาคุกเข่าพลางยอมรับความผิดในขณะที่น้ำตาไหลแหมะลงมา แต่น่าเสียดายที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับเข้าไปในห้องแล้ว
ที่ทางเดินเห็นซางจือกำลังแนะนำตำหนักองค์ชายรองให้หงยวน เห็นหงยวนพิจารณาอย่างจริงจังและแอบจดจำไว้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็พิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน
“คิดอันใดอยู่หรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ทราบมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อใด และกอดเอวของนางจากข้างหลังให้นางอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสบาย ทั้งยังสูดดมกลิ่นอายจากเส้นผมของนางราวกับว่าดอมดมอย่างไรก็ไม่พอ
“ไม่กี่วันก่อนมิใช่บอกท่านหรือว่าข้าวางแผนจะหาสาวใช้มาคอยปรนนิบัติข้างกายข้าแทนซางจือ วันนี้ซางจือหาคนมาหลายคน แต่มีคนที่น่าสงสารที่สุดดังนั้นข้าจึงให้นางอยู่ข้างกาย สามีลองดูเถิดว่ามีความคิดเห็นอันใดหรือไม่?” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์อ่อนโยน คำเรียกว่าสามีทำให้หัวใจของซั่งกวนเซ่าเฉินกระตุกขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นคนที่ภรรยาเลือก เช่นนั้นก็ย่อมดีที่สุด ข้าย่อมไม่มีความเห็นอันใด”
ซั่งกวนเซ่าเฉินส่ายศีรษะ ก่อนเขาจะใช้ริมฝีปากจุมพิตบนใบหน้าของนางโดยไม่สนใจสาวใช้ซึ่งอยู่ข้างหลัง “ขอเพียงปรนนิบัติเจ้าได้ดี เปิ่นหวางจื่อย่อมตกรางวัลให้ แต่หากไม่ซื่อสัตย์ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง!”
“ไม่ซื่อสัตย์?” หลิงมู่เอ๋อร์พึมพำ “ความจริงนางก็หาได้มีท่าทางซื่อตรง ดูแล้วเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมยิ่ง แต่สตรีที่อายุยี่สิบปีแล้วยังไม่ตบแต่งก็ทำให้คนรู้สึกสงสัยจริงๆ ดังนั้นสามีหากนางกล้ามาดึงดูดความสนใจของท่าน…”
“ข้าจะสับนางก่อน!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์เปิดปากก็ทำเป็นท่าทีเอามีดสับอย่างวางอำนาจ
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข เขาก็เอามือของนางมาเล่นอย่างเอาใจ “ยิ่งไปกว่านั้นมีภรรยาที่งดงามเช่นเจ้าอยู่ติดข้าตลอดเวลา ข้าจะยังมีใจไปมองผู้อื่นได้อย่างไร?”
“ท่านรู้จักพูดคำหวานถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยชิน
“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังอีกครา เป็นเพราะเรื่องของไท่จื่อหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า ความผ่อนคลายบนใบหน้าพลันสลายหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมพร้อมกับประโยคนี้
“อี้กุ้ยเฟยตายแล้ว หมิ่นกุ้ยเฟยตายแล้ว องค์ชายเจ็ดก็ตายแล้วเช่นกัน ส่วนน้องสามก็ออกจากเมืองหลวง ระยะนี้ในวังหลวงเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ เมื่อวานพระวรกายของเสด็จพ่อก็ประชวรหนักอีกคราเพราะหิมะที่ตกหนัก เกรงว่า…พระองค์คงอยากให้ข้าตัดสินใจโดยเร็ว”
“แล้วท่านจะตอบรับหรือไม่?”
“มู่เอ๋อร์เหตุใดจึงรีบร้อนถึงเพียงนี้เล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองดวงตาของนางอย่างสงสัย
ไม่รู้ว่าคิดมากเกินไปหรือไม่ ไม่กี่วันมานี้หลิงมู่เอ๋อร์มักจะถามเขาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสืบทอดตำแหน่งไท่จื่อ ทั้งยังหาสาวใช้ที่มีวรยุทธ์มาอยู่ข้างกายอย่างกะทันหัน หรือนางมีแผนอันใดอยู่?
“องค์ชายยังไม่รีบร้อน ข้าที่เป็นเจิ้งเฟยขององค์ชายจะรีบร้อนอันใดเล่า ข้าแค่สงสัยเท่านั้น”
เกรงว่าจะถูกคนจับพิรุธได้ หลิงมู่เอ๋อร์จึงหมุนกายไปมองดวงตาของเขา “ฉินรั่วเฉินเสนอให้ท่านขึ้นเป็นไท่จื่อมาโดยตลอดแต่ลับหลังกลับลงมือกับพวกเรา หากไม่ใส่ร้ายท่านก็ใส่ความข้า เห็นได้ชัดว่าเขามีแผนการลับหลังอยู่ ข้าก็อยากรู้ข้อมูลใหม่ก่อนเพื่อเตรียมรับมือ”
หากซั่งกวนเซ่าเฉินกลายเป็นไท่จื่อย่อมต้องมีงานรัดตัว บางทีนางอาจมีโอกาสไปที่แคว้นซีอวี้
แน่นอนว่าคำพูดนี้นางไม่อาจพูดกับเขาได้
“เสด็จพ่อทรงรับปากว่าจะให้เวลาข้าใคร่ครวญอีกเจ็ดวัน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินโอบหลิงมู่เอ๋อร์มานั่งอยู่ในศาลา “องค์ชายหาได้เหมือนกับไท่จื่อ จะต้องเผชิญกับเรื่องมากมาย ถึงครานั้นก็จะยิ่งยุ่งมากขึ้น แต่ร่างกายเจ้า…”
“ท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก!” หลิงมู่เอ๋อร์รีบเอ่ยปากโดยที่แทบไม่ต้องคิด กล่าวจบก็เพิ่งตระหนักได้ว่านางร้อนรนเกินไปจึงรีบกล่าวเสริม “ความหมายของข้าคือข้าจะหาหนทางแก้ไขโดยเร็ว เซ่าเฉินความจริงข้ายังมิได้บอกท่าน วันนั้นหลังกลับมาจากหุบเขาเย่าหวางข้าก็รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมา หากเป็นไปได้ข้าก็อยากไปที่หุบเขาเย่าหวางอีกสักครา”
“ได้ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“ไม่ต้อง!”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบขัดขึ้นมาอีกครา ผลคือดึงดูดความสนใจของซั่งกวนเซ่าเฉินในที่สุด
“ความหมายของข้าคือยามนี้ท่านก็ยุ่งมากแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงประชวรหนัก ท่านกับฉินรั่วเฉินล้วนต้องดูแลแคว้น พวกท่านสองคนเป็นศัตรูกันแน่นอนท่านต้องระวังเขาเอาไว้! อย่าลืมทุกสิ่งที่ฉินอวี้เหิงต้องประสบพบเจอ ฉินรั่วเฉินหาใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ หากท่านเผลอไผลอาจถูกเขาจับจุดอ่อนอันใดได้ซึ่งจะต้องจัดการได้ยากเป็นแน่ ส่วนหุบเขาเย่าหวางข้าไปเองได้”
นางกอดแขนของเขาอย่างอ่อนโยนและพิงศีรษะไว้บนอกของเขา
เพราะมีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะไม่ถูกเขาจับพิรุธได้
“ข้าส่งคนแทรกซึมเข้าไปในตำหนักขององค์ชายหกแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของฉินรั่วเฉินล้วนอยู่ในการควบคุมของข้า ยามนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรง” น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินมีความเชื่อมั่นและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “ผู้ที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเจ้า ร่างกายเจ้าไม่สู้ดีแน่นอนว่าข้าต้องตามไปด้วย ในเมื่อตกลงกันตามนี้แล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปหุบเขาเย่าหวางเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
หลิงมู่เอ๋อร์เดิมยังอยากพูดอันใดแต่เห็นเขาตัดสินใจไปแล้วจึงทำได้เพียงยอมแพ้
ยามนี้เองที่ซางจือพาหงยวนกลับมา
“คุณหนู เรื่องส่วนใหญ่ในตำหนักล้วนแนะนำหงยวนไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านอยากให้นางคอยปรนนิบัติยามนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าให้ซั่งกวนเซ่าเฉินก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปเบื้องหน้าหงยวน “ดูแล้วก็ยังเป็นสีแดงที่เหมาะกับเจ้า เอาเช่นนี้เถิด หลังจากนี้ข้าจะให้คนไปทำชุดสีแดงให้เจ้า ข้าว่ามันย่อมดูดีทีเดียว”
หงยวนโค้งตัวในดวงตามีความอบอุ่นวาบผ่าน พูดตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเสนอว่าต้องการให้ชุดนาง “หม่อมฉันขอบพระทัยเจิ้งเฟยเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
“ครานี้ดูแล้วหาได้เสแสร้งแกล้งทำ ที่แท้เจ้าก็ซาบซึ้งได้ง่ายถึงเพียงนี้เชียว?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง
หงยวนเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาตญาณ มองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองรู้ว่าเมื่อครู่หม่อมฉันเพียงแค่เสแสร้ง แล้วเหตุใดจึงอยากเลือกหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าต้องการผู้ที่มีวรยุทธ์มาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า ขอบอกตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ข้าในฐานะเจิ้งเฟยขององค์ชายรองต้องพบเจอกับมือสังหารอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงต้องการผู้ที่มีฝีมือไม่เลวและกล้าหาญ เมื่อครู่ฝีมือของเจ้าข้าก็เห็นแล้วซึ่งข้าพอใจมาก เช่นนั้นยามนี้ถึงคราข้าถามเจ้าบ้าง” หลิงมู่เอ๋อร์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง “หากมาอยู่ข้างกายข้าเจ้าจะไม่ขาดปัจจัยในการใช้ชีวิต ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคืออาจตายได้ทุกเมื่อ เจ้ากลัวหรือไม่? แน่นอนว่าหากเจ้ากลัวจะออกไปยามนี้ก็ยังไม่สาย”
หงยวนคาดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่านี่คือการขู่นางหรือจะทดสอบนาง
แต่นายท่านบอกแล้วว่าไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ต้องอยู่ข้างกายนางให้ได้
“ในเมื่อเจิ้งเฟยมีเมตตารับหม่อมฉันเข้ามาแล้ว ตั้งแต่นี้ไปหม่อมฉันก็เป็นคนของเจิ้งเฟยแล้วเพคะ เจิ้งเฟยโปรดวางใจ หม่อมฉันจะปกป้องท่านอย่างสุดความสามารถเพคะ”
“ดีมาก!” หลิงมู่เอ๋อร์ปรบมือก่อนจะหยิบลูกกลอนออกมาจากกระเป๋า
เห็นหงยวนตกใจนางก็ยิ้ม “เจ้าวางใจเถิดข้าหาได้มีนิสัยวางยาพิษคนข้างกาย ร่างกายเจ้าอ่อนแอหากกินมันลงไปก็จะช่วยบำรุงรักษาอาการป่วยที่เป็นมาหลายปีได้ แน่นอนว่าหากในภายภาคหน้าข้าพบว่าเจ้ามีเจตนาส่วนตัวแม้แต่น้อย ยาในมือของข้าก็สามารถเอาชีวิตเจ้าไปได้ทุกเมื่อ”