เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 492 หน้าแดง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 492 หน้าแดง
เล่มที่ 17 ตอนที่ 492 หน้าแดง
“นายท่านขอรับ วันนี้ที่เหลาอาหารเย่โหลวมิได้มีแขกจนเต็ม ได้ยินว่ามีพ่อครัวคนใหม่ซึ่งเป็นมือหนึ่งในการทำอาหารเจียงหนาน ไม่สู้ให้ข้าไปจองที่ไว้ให้นายท่านไปลองชิมดูดีหรือไม่ขอรับ?” จื่อถงถามและมองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยสีหน้ารังเกียจ
“คุ้นเคยกับอาหารอันโอชะแล้วบางครั้งก็ต้องให้กระเพาะได้ค่อยๆ ลิ้มลองรสชาติอื่นบ้างมิใช่หรือ? ไม่เช่นนั้นจะมิใช่ว่าเปิ่นหวางไม่มีความเป็นธรรมหรือ?”
ซูเช่อดึงเก้าอี้ตรงหน้ามานั่งราวกับไม่เห็นสิ่งสกปรกบนโต๊ะ ก่อนจะทักทายเจ้าของร้านที่กำลังยุ่งกับงานตรงหน้า “เจ้าของร้าน ขอเกี๊ยวคลุกน้ำมันพริกสองที่”
“มาแล้วขอรับ คุณชายค่อยๆ กินนะขอรับ”
ยามที่เจ้าของร้านมาส่งเกี๊ยวร้อนสองชามด้วยตนเองก็ยิ้มกว้างมองซูเช่อ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้สถานะแท้จริงของเขา “คุณชายมาที่ร้านเล็กๆ แห่งนี้สามวันติดแล้วดูท่าจะชอบเกี๊ยวของข้าจริงๆ วันนี้ข้าให้ชิ้นใหญ่แก่คุณชายเลย หากคุณชายยังไม่พึงใจก็สามารถเรียกข้ามาเติมให้คุณชายโดยไม่คิดเงินได้เลยขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าของร้านมาก”
พยักหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน ซูเช่อหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มลิ้มลองรสชาติอย่างพึงพอใจ
นี่หาใช่ครั้งแรกที่เขามาลิ้มลองอาหารข้างทาง แต่เทียบกับคู่ชายหญิงโต๊ะอื่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าตรงหน้าเขาขาดไปคนหนึ่ง
ครั้งหนึ่งที่เขาเคยจินตนาการว่าจะมีแม่นางน้อยผู้นั้นมานั่งอยู่ด้วยกันกับเขา ลิ้มลองอาหารริมทาง พูดคุยเรื่องสถานการณ์ในช่วงนี้ของเมืองหลวง กลับกลายเป็นเพียงเรื่องน่าขำขัน
น่าเสียดายที่ความฝันนั้นถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นจริง
“ไม่หิวหรือ?” ซูเช่อเงยหน้ามองจื่อถงซึ่งยืนตัวตรง เห็นเขายังคงมีสีหน้ารังเกียจ ซูเช่อก็แค่นเสียงพลางส่ายศีรษะ “ไม่ชอบกินเกี๊ยวนี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เช่นนั้นจะอนุญาตให้เจ้าออกไปกินอาหารที่เหลาอาหารเย่โหลวสักมื้อและลงบัญชีของข้าไว้ สักสองชั่วยามพอหรือไม่?”
จื่อถงตกใจ “นายท่านก็ทราบว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
เขานั่งลงอย่างร้อนรนก่อนจะกินเกี๊ยวตรงหน้าคำใหญ่อย่างมูมมามราวกับไม่ได้กินข้าวมาสามวันสามคืน
“กินช้าๆ หากคนไม่รู้คงคิดว่าเจ้านายของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายเป็นแน่” ซูเช่อส่ายศีรษะ
จื่อถงตกใจถือช้อนไว้อย่างไม่รู้ว่าควรกินหรือไม่ควรกิน สุดท้ายก็วางช้อนไว้ในชามอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าน้อยก็เป็นเพียงคนต่ำต้อยผู้หนึ่ง หากยามนั้นไม่ได้นายท่านช่วยไว้ ข้าน้อยคงอดตายอยู่ข้างถนนไปแล้วขอรับ เกี๊ยวนี่ยังดีกว่าอาหารอันโอชะอันใดเสียอีกขอรับ แต่นายท่านเป็นเจ้านาย เหตุใดนายท่านจึงมากินของข้างทางเหล่านี้…”
ไม่ใช่ว่าเขาดูแคลนร้านริมทาง แต่ความจริงด้วยสถานะของนายท่านหากถูกคนเห็นเข้า ลับหลังย่อมเกิดคำพูดเกินจริงที่ทำให้อับอายมากมาย
นายท่านย่อมไม่สนใจได้แต่เขารู้สึกว่านายท่านได้ไม่คุ้นเสีย
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ยังเคยนั่งยองๆ กินวอโถวอยู่ข้างทาง ข้าย่อมสามารถนั่งกินเกี๊ยวคลุกน้ำมันพริกร้อนๆ บนเก้าอี้ได้ ข้ายังไม่รู้สึกอันใดแล้วเจ้าจะรู้สึกไม่เป็นธรรมอันใด?” ซูเช่อยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ในขณะที่แสงแดดช่วยบ่ายส่องมาบนร่าง แม้ว่าฤดูหนาวจะหนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่งแต่ทั่วทั้งร่างของเขาก็ยังส่องประกาย
ซูเช่อราวกับเป็นคุณชายสูงศักดิ์โดยกำเนิด
“เลยยามบ่ายแล้วหรือ?” เขาถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จื่อถงชะงักและเข้าใจคำถามของผู้เป็นนายโดยพลัน “เรียนนายท่าน ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่ายามบ่ายวันนี้ให้ลากตัวหมิ่นกุ้ยเฟยออกไปประหารที่ประตูอู่เหมิน ยามนี้เป็นเวลาอู่สือซานเค่อ [1] แล้วขอรับ”
นางคงหัวหลุดลงพื้นไปนานแล้ว
“นางได้รับโทษที่สมควรแล้ว”
ซูเช่อราวกับพึงพอใจในคำตอบเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงบางคนขึ้นมาเขาก็ทอดถอนใจอย่างโศกเศร้า “แต่น่าเสียดายสี่เต๋อเซิ่ง เห็นได้ชัดว่าหายนะมาหาถึงหน้าประตูทำให้เขาประสบเคราะห์ร้าย
จื่อถงรู้ว่านายท่านเสียใจเรื่องอันใด สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียดโดยพลัน “ได้ยินว่าองค์ชายหกจงใจหาคนไปตรวจสอบเรื่องส่วนตัวของสี่กงกง ครานี้จึงข่มขู่ให้เขาไปเป็นธุระให้หมิ่นกุ้ยเฟย แต่นายท่านขอรับ ฉินรั่วเฉินหาได้คบค้าสมาคมกับหมิ่นกุ้ยเฟย เหตุใดจึงต้องแอบช่วยนางด้วยขอรับ?”
หากไม่ใช่เพราะฉินรั่วเฉินเอาเรื่องที่สี่กงกงแอบตบแต่งกับภรรยาข้างนอกมาบอกหมิ่นกุ้ยเฟย หมิ่นกุ้ยเฟยก็จะไม่อาจกุมจุดอ่อนของเขา และข่มขู่ให้เขาแยกตัวอี้กุ้ยเฟยออกไปได้ อย่างน้อยคืนนั้นอี้กุ้ยเฟยก็อาจจะไม่ต้องสิ้นอายุขัย
มือที่ถือช้อนของซูเช่อชะงักไป “หากเจ้าไม่ยกขึ้นมาพูดข้าก็คงไม่สนใจ ดูท่าสิ่งที่ฉินรั่วเฉินคิดจะทำจริงๆ หาใช่การให้เขาไปช่วยหมิ่นกุ้ยเฟยถอนรากถอนโคนศัตรู แต่น่าเสียดายที่สี่เต๋อเซิ่งตายไปโดยไม่มีหลักฐานอันใด ต่อให้ฉินรั่วเฉินจะรู้อันใดจากปากของสี่เต๋อเซิ่ง แต่พวกเราก็ย่อมไม่รู้อยู่ดี”
ค่อยๆ จับช้อนแน่นขึ้น บรรยากาศโดยรอบตัวซูเช่อเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยพลัน
สี่เต๋อเซิ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงข้างกายฮ่องเต้ จับจุดอ่อนของเขาไว้ได้ก็เท่ากับตัดปีกข้างหนึ่งของฮ่องเต้
ฉินรั่วเฉินผู้นี้ช่างกล้าหาญเสียจริง!
ซูเช่อยังอยากซักถามอันใดแต่ในสายตาก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยอย่างกะทันหัน
จื่อถงหันกลับไปมองตามสายตาเขา เห็นได้ชัดว่าเห็นคนคุ้นเคยเช่นกัน “นั่นมิใช่สาวใช้ข้างกายเจิ้งเฟยขององค์ชายรองหรือขอรับ นางเข้าไปทำอันใดกับนายหน้ากัน? นายท่านต้องการให้ข้าน้อยไปตรวจสอบหรือไม่ขอรับ?”
“สตรีทุกคนล้วนมีเรื่องส่วนตัว เจ้าเป็นบุรุษที่โตแล้วผู้หนึ่งจะสนใจอันใดถึงเพียงนี้?”
ซูเช่อเหลือบมองเขาก่อนจะก้มศีรษะกินข้าวต่อ
“ได้ยินว่าสี่เต๋อเซิ่งตบแต่งกับภรรยานอกวังมาได้สามปี ภรรยาผู้นั้นงดงามราวกับบุปผา หากมิใช่เพราะครอบครัวยากจนคงไม่มอบกายใจให้ขันทีผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่สามีขันทีกลับมาตายจนต้องกลายเป็นแม่ม่ายในชั่วข้ามคืน จื่อถงหาเวลาไปปลอบขวัญและแสดงน้ำใจของเปิ่นหวางด้วย”
ซูเช่อกล่าวซึ่งในคำพูดก็มีความนัยแฝงอยู่
จื่อถงอยู่ข้างกายเขามาตั้งแต่เด็ก แม้เขาจะมองเพียงปราดเดียวก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน แล้วจะไม่รู้ว่านายท่านของตนต้องการทำสิ่งใดได้อย่างไร
“ฝ่าบาททรงเห็นใจจึงไม่นำหายนะไปสู่ครอบครัวของเขาด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่าสตรีผู้นั้นหลังจากรู้ว่าสี่เต๋อเซิ่งถูกประหารก็เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งจนล้มป่วย หลังจากนั้นข้าน้อยก็ให้หมอไปดูอาการขอรับ”
ซูเช่อพยักหน้าอย่างถึงพอใจกำลังคิดจะหยิบเงินมาจ่ายและออกไป แต่กลับพบว่าซางจือซึ่งออกมาจากสถานที่พบนายหน้ามีสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เขาโยนเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
จื่อถงยังกินไม่เสร็จก็กลืนเกี๊ยวในปากลงไปอย่างร้อนรนและไล่ตามเขาไป “นายท่าน ท่านมิใช่บอกว่าบุรุษที่โตแล้วไม่อาจไปถามเรื่องส่วนตัวของสตรีได้หรือขอรับ?”
“ใช่หรือ? ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ?”
ซูเช่อไม่ได้หันกลับมามอง ก้าวเท้ายาวออกไปถึงข้างหลังซางจือกำลังคิดจะซักถาม แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะเกินไป เขาจึงหันกลับไปใช้สายตาส่งสัญญาณให้จื่อถง “ยังมัวงงอันใดอยู่อีก?”
จื่อถงใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นขีดเส้นสีดำ แสร้งทำเป็นก้าวเข้าไปด้วยความรีบร้อนอย่างไม่เต็มใจก่อนจะชนกับร่างของซางจือ
“โธ่เอ๊ย ชนข้าเช่นนี้ เดินอย่างไรของเจ้ากัน!”
“ขออภัยแม่นาง ไม่กี่วันมานี้เท้าขวาของข้าได้รับบาดเจ็บ วันนี้รีบออกมาข้างนอกจึงไม่ทันได้ใส่ยา ไม่รู้ว่าชนเข้ากับแม่นางได้อย่างไร แม่นางไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?” จื่อถงกล่าวขอโทษด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ล้วนรู้สึกรังเกียจขึ้นมา “ไม่ทราบว่าแม่นางจะไปที่ใดหรือ ข้าไปส่งเจ้าที่โรงหมอดีหรือไม่?”
“โรงหมอ? ข้าเป็นหมอยังจะไปโรงหมอเพื่ออันใด แต่ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ? ท่านได้รับบาดเจ็บตรงใด ต้องการไปรักษาที่โรงหมอของคุณหนูข้าหรือไม่?” ซางจือกล่าวพลางก้มศีรษะมองตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา แต่ในยามนี้เองที่เพิ่งรู้ตัวตนของเขา “ท่าน…ท่าน…เหตุใดท่านจึงดูคุ้นหน้าเช่นนี้?”
ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากข้างหลัง ซางจือก็หันกลับไปก่อนจะรีบทักทายบุรุษที่เดินเข้ามาช้าๆ “ข้าน้อยขอถวายความเคารพเสียนหวางเจ้าค่ะ”
“เจ้าหาใช่สาวใช้ของจวนข้าจะมาขอถวายความเคารพอันใด ลุกขึ้นเถิด” ซูเช่อแสร้งทำท่าทีเหมือนผ่านทางมา แสดงสีหน้าสบายใจและเป็นธรรมชาติออกมา “เจ้าออกมาคนเดียวหรือ? แล้วคุณหนูของเจ้าเล่า?”
“แน่นอนว่าคุณหนูย่อมอยู่ในตำหนักเจ้าค่ะ” ซางจือตอบกลับ รู้สึกว่าเช่นนี้ดูกระด้างกระเดื่องกับเสียนหวางไปเสียหน่อยจึงรีบร้อนอธิบาย “ร่างกายคุณหนูไม่สู้ดี เหยียจึงมักไม่ให้นางออกมาข้างนอกเจ้าค่ะ แต่เพราะร่างกายนับวันก็ยิ่งไม่สู้ดีดังนั้นจึงอยากหาสาวใช้มาคอยปรนนิบัติเจ้าค่ะ อีกทั้งยังให้ข้าไปดูที่แม่ค้าคนกลางว่ามีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่ด้วยเจ้าค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ซูเช่อพยักหน้า “แต่ดูจากท่าทีของเจ้าแล้วดูท่าคงไปได้ไม่ค่อยสวยกระมัง?”
“เสียนหวางช่างหลักแหลมจริงๆ เจ้าค่ะ” ซางจือรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง บุรุษของเมืองหลวงเหตุใดจึงสามารถอ่านใจกันได้ด้วย การแสดงออกของนางมันชัดเจนมากเลยหรือ?
“ท่านยายบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีครอบครัวที่ร่ำรวยมาขอซื้อสาวใช้จำนวนมากกลุ่มใหญ่ไปอย่างกะทันหัน คนที่ดีหน่อยล้วนถูกซื้อตัวไปแล้วและที่เหลืออยู่ก็ไม่เข้าตาข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูเลยเจ้าค่ะ” ซางจือทอดถอนใจ “ทำได้เพียงให้คุณหนูทนลำบากไปอีกระยะหนึ่ง”
“หลิงมู่เอ๋อร์มิใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ชอบอยู่คนเดียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายนางมิใช่ว่ามีเจ้าหรือ?” ซูเช่อสงสัย
ไม่ผิด ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่นางผู้นั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา
บุรุษที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่อาจไปคอยแอบยุ่งเรื่องของสตรี อืม ในช่วงเวลาหนึ่งเค่อนี้เขาหาใช่บุรุษที่โตแล้ว แต่เป็นน้องชายลับๆ ตัวน้อยของ…แม่นางหลิง
“หลังจากคุณหนูตั้งครรภ์ชีพจรก็…เสียนหวางก็ทราบดีอยู่แล้ว ทว่าในโรงหมองานยุ่งทั้งวัน ซางจือไม่อาจอยู่ปรนนิบัติข้างกายคุณหนูได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณหนูจึงวางแผนหาสาวใช้เจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซูเช่อพึมพำกับตนเองก่อนจะมีความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สาวใช้ของแม่ค้าคนกลางส่วนใหญ่ที่ถูกขายไปแล้ว ไหนเลยจะเคยได้รับการอบรม บังเอิญว่าข้ารู้จักครอบครัวของสหายผู้หนึ่งที่อีกไม่นานต้องย้ายไปทางใต้ แต่บ่าวรับใช้ในบ้านมีมากเกินไปทำให้พาไปได้ไม่หมด ไม่สู้เจ้ากลับไปถามคุณหนูของเจ้าว่าหากไม่รังเกียจเปิ่นหวางสามารถช่วยแนะนำให้ดีหรือไม่?”
“จริงหรือเจ้าคะ?” ซางจือดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ซางจือขอขอบคุณเสียนหวางแทนคุณหนูเจ้าค่ะ!”
เมื่อคิดว่ามีเสียนหวางช่วย ใบหน้าที่เดิมไม่มีความสุขของนางก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสุขใจโดยพลัน “สหายของเสียนหวางจะต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ที่เลื่องชื่อเป็นแน่ สาวใช้ที่ออกมาจากตระกูลที่ร่ำรวยย่อมได้รับการอบรมมาแล้วจะต้องดูแลคุณหนูได้ดีอย่างแน่นอน มิน่าเล่าคุณหนูจึงมักบอกว่าเป็นหนี้เสียนหวางอยู่มาก คิดดูแล้วก็จริงเจ้าค่ะ ทุกครั้งยามที่คุณหนูพบเจอปัญหาก็มักเป็นเสียนหวางที่ช่วยเหลือ ข้าน้อยขอขอบคุณเสียนหวางอีกคราเจ้าค่ะ”
“นางพูดเช่นนั้นจริงหรือ?”
ได้ยินว่าปกติหลิงมู่เอ๋อร์มักยกเรื่องของตนขึ้นมาพูด ก้นบึ้งในใจของซูเช่อก็ราวกับมีดอกไม้ไฟเบ่งบาน
“ข้าน้อยย่อมไม่กล้าหลอกเสียนหวางเจ้าค่ะ” ซางจือก้มศีรษะอธิบายอย่างขลาดกลัว ทันใดนั้นก็นึกคำสั่งของคุณหนูขึ้นมาได้จึงรีบกล่าวเสริม “ไม่ทราบว่าสาวใช้ของตระกูลนั้นที่เสียนหวางรู้จักรู้วรยุทธ์หรือไม่เจ้าคะ?”
“ทำไม องครักษ์เงาข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์มีไม่พอหรือถึงต้องการผู้ที่มีฝีมือ?”
ซูเช่อไม่รู้เพราะเหตุใดในใจจึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา แม้เขาจะหาได้ใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับหลิงมู่เอ๋อร์ทั้งวันทั้งคืน แต่สาวน้อยผู้นั้นมีไหวพริบเป็นอย่างมาก หากไม่จำเป็นย่อมไม่ยกเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเด็ดขาด
นับว่าไม่รอบคอบแล้ว
“บังเอิญตระกูลของสหายข้าเปิดหน่วยรักษาความปลอดภัย อย่าว่าแต่สาวใช้ข้างกายเลย แม้แต่สาวใช้ก่อไฟทำอาหารก็ล้วนมีวรยุทธ์ไม่เลว หลังจากนี้ข้าจะแนะนำให้”
“ขอบคุณเสียนหวางเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!” ซางจือดีใจอย่างถึงที่สุด ในที่สุดเรื่องที่คุณหนูมอบหมายก็ลุล่วงแล้ว นางรีบหันกลับไปมองจื่อถง “คุณชายเมื่อครู่มิใช่บอกว่าเท้าเจ็บขึ้นมาอีกคราหรือเจ้าคะ ถึงอย่างไรเรื่องที่คุณหนูมอบหมายก็ลุล่วงแล้ว ไม่สู้ให้ซางจือตรวจดูอาการให้คุณชายเสียหน่อยจะดีกว่ากระมังเจ้าคะ”
กล่าวจบไม่รอให้จื่อถงตอบสนอง นางก็ยื่นมือมาเริ่มถอดรองเท้าของเขาแล้ว
จื่อถงตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบแม่นางที่ซื่อตรงและกระตือรือร้นเช่นนี้ เขารีบหลบเลี่ยง “ไม่กล้ารบกวนแม่นางหรอก”
“อย่า คุณชายอย่าเรียกข้าเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงบ่าว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เป็นข้าไม่ระวังจึงไปชนกับคุณชายอีกด้วย”
ถูกแม่นางเรียกอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของซางจือก็แดงเรื่อและก้มศีรษะด้วยความเขินอาย
ยิ่งนางประหม่า จื่อถงกลับยิ่งลำบากใจ เขากะพริบตาก่อนจะไปหลบซ่อนอยู่ข้างหลังซูเช่ออย่างไร้ร่องรอย “นาย นายท่านมิใช่ว่าต้องไปหาสาวใช้มาปรนนิบัติข้างกายแม่นางหลิงหรือขอรับ ไม่สู้ให้พวกข้าไปเถิด อีกไม่นานเกรงว่าครอบครัวของสหายผู้นั้นจะ ‘ย้าย’ ออกไปแล้ว!”
ซูเช่อหันกลับไปพลางส่งสายตาตักเตือน แต่ไม่นานเขาก็จ้องอีกฝ่ายพลางยิ้มบาง
“นายท่านเหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้หรือขอรับ?”
“เจ้าหน้าแดงแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] อู่สือซานเค่อ หมายถึง เวลาประมาณสิบเอ็ดนาฬิกา สี่สิบห้านาทีเป็นช่วงเวลาที่มีพลังหยางมากที่สุดดังนั้นจึงประหารนักโทษคดีร้ายแรงในช่วงเวลานี้ เพื่อให้พลังหยินในตัวนักโทษหลังถูกประหารสลายไปในทันทีจะได้ไม่มีโอกาสเป็นผีกลับมาอีก