เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 489 ทำตามคำสั่งลุล่วง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 489 ทำตามคำสั่งลุล่วง
เล่มที่ 17 ตอนที่ 489 ทำตามคำสั่งลุล่วง
มีเสียงดังโครมก่อนที่บนหลังคาจะแตกออกเป็นรูใหญ่ และมีร่างหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้าทันใดนั้นทุกสิ่งตรงหน้าก็วุ่นวายขึ้นมา
หมิ่นกุ้ยเฟยตกใจ การตอบสนองแรกคือรีบหมุนกายต้องการจะวิ่งหนี แต่ทันใดนั้นชายที่หล่นลงมาก็ยกดาบขวางหน้านางไว้อย่างไร้ปรานี
“หมิ่นกุ้ยเฟย ท่านในฐานะกุ้ยเฟยกลับสังหารกุ้ยเฟยพระองค์อื่น ทั้งยังพยายามสังหารหนานกงซื่อจื่อ ท่านต้องตามกระหม่อมไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
กล่าวจบชายผู้นั้นก็คิดจะยื่นมือมาจับกุมนาง
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าหยิบสิ่งใดออกมาจากข้างหลัง ยามที่เขาพุ่งเข้ามาก็รีบโยนมันใส่เขา ก่อนจะมองไปทางมือสังหารที่เฝ้าหนานกงอี้จืออยู่และตะโกน “มัวงงอันใดอยู่ หากอยากได้เงินที่เหลือก็ฆ่าเขาเสีย!”
ยามนี้เองที่ซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์กระโดดลงมาควบคุมตัวของหมิ่นกุ้ยเฟยทั้งหน้าและหลัง เมื่อมือสังหารเห็นว่ามีคนมากมายโผล่มาก็ยั้งการกระทำเมื่อครู่ และหมุนกายกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง
“ทางด้านนี้ให้เปิ่นหวางจื่อจัดการเอง ส่วนพวกนักฆ่าพวกนั้นขอส่งต่อให้เจ้า แม่ทัพใหญ่ไร้พ่าย!”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชายรอง!”
แม่ทัพใหญ่หมุนกายกระโดดตามออกไปทางหน้าต่าง
ในห้อง หมิ่นกุ้ยเฟยกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมองไปทางซั่งกวนเซ่าเฉิน และหลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งปรากฏตัวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พวกเจ้าสองคน เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงมาอยู่ที่นี่?”
“ดูท่าเมื่อครู่แม่ทัพใหญ่ไร้พ่ายคงยังพูดไม่ชัดเจนพอ แน่นอนว่าพวกเรามาจับเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสัญญาณให้ซั่งกวนเซ่าเฉินจับกุมอีกฝ่าย ก่อนนางจะหมุนกายพุ่งไปข้างกายหนานกงอี้จือ “อี้จือ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หากมาช้าอีกนิดเดียวคงตายไปแล้ว”
หนานกงอี้จือกล่าวถึงขั้นมีน้ำตาไหลลงมา เห็นหลิงมู่เอ๋อร์หยิบผงยาออกมาโรยทั้งยังพันแผลให้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกซาบซึ้งใจหรือปลื้มปีติดี “รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้ากังวลมากเพียงใดยามที่พวกเจ้าพุ่งเข้ามาโดยที่นางยังมิได้ยอมรับผิด ยังดี ยังดีที่พวกเราใจตรงกัน ความผิดนี้ข้าจะไม่ถือสาแล้วกัน”
“บาดเจ็บจนมีสภาพเช่นไรยังจะปากมากเช่นนี้อีกหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์อยากชกเขาสักสองหมัดจริงๆ แต่เห็นบาดแผลทั่วทั้งร่างของเขาก็ปวดใจจนไม่รู้ว่าควรชดใช้อย่างไร
หันกลับไปมองหมิ่นกุ้ยเฟยอีกครา นางก็แทบอยากจะบีบคอสตรีผู้นี้ให้หักเสียจริง “ครั้งนี้เจ้าตายแน่!”
ยามนี้หมิ่นกุ้ยเฟยจึงเพิ่งตอบสนองออกมาด้วยการดิ้นรนขัดขืน “พวกเจ้าจงใจ พวกเจ้า ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของพวกเจ้า หลิงมู่เอ๋อร์เจ้ามันสารเลว…”
พูดยังไม่ทันจบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ฟันไหล่ของนาง “เปิ่นหวางจื่อไม่ทำร้ายสตรีแต่เจ้ากลับทำให้ข้าต้องทำลายกฎเกณฑ์ จำไว้ว่านี่คือค่าชดใช้ที่มาดูหมิ่นภรรยาของข้า!”
หัวไหล่ที่เดิมมีบาดแผลถูกแทงจากดาบของฉินอวี้เหิง ยังมาถูกเขาฟันอีกคราจนบาดแผลปริแตกทำให้มีเลือดไหลรินออกมาโดยพลัน หมิ่นกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “อ๊า ซั่งกวนเซ่าเฉิน หากเจ้ามีความสามารถก็ฆ่าข้าเสีย!”
“เจ้าสังหารอี้กุ้ยเฟยทั้งยังพยายามฆ่าอี้จือ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากฆ่าเจ้าหรือ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกัดฟัน “ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อด้วยตนเอง และดูว่าเสด็จพ่อจะประหารชีวิตเจ้าอย่างไร!”
ถึงอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาตกม้าตายในช่วงเวลาสำคัญก้าวสุดท้าย หมิ่นกุ้ยเฟยเดือดดาลอย่างถึงที่สุด “ไม่ ข้าไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปสักคราเถิด พวกเจ้าก็เห็นว่าข้าเพิ่งสูญเสียลูกชายไป ปล่อยข้าไปเถิด ข้าผิดไปแล้ว ข้ายอมรับโทษแล้ว ข้าจะคุกเข่าให้หนานกงอี้จือ พวกเจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้แต่ให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้า…”
กล่าวจบ หมิ่นกุ้ยเฟยก็กำลังจะคุกเข่า
ซั่งกวนเซ่าเฉินดึงนางไว้ เห็นนางไม่ขยับตัวก็เตะเข่านางคราหนึ่ง “เจ้าต้องคุกเข่าแน่ แต่หากการคุกเข่าเพียงครั้งเดียวสามารถลบล้างความจริงที่สังหารคนได้ เช่นนั้นมิใช่ว่าเปิ่นหวางจื่อสามารถสังหารเจ้าได้ทั้งครอบครัวเลยหรือ?”
“อี้จือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เห็นหนานกงอี้จือสามารถยืนขึ้นมาด้วยตนเองได้แล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่สนใจหมิ่นกุ้ยเฟยที่ขอร้องอ้อนวอนอีก และมองพิจารณาเขาขึ้นลง “บาดแผลนี้นับว่าเป็นของข้าด้วย ลำบากเจ้าแล้ว”
มองบาดแผลที่พันแผลเรียบร้อยแล้วในกระจก หนานกงอี้จือก็ถอนหายใจ “ยังดีที่พวกท่านตามมาได้ทันเวลามิได้ถูกทิ้งห่างจนตามไม่ทัน ไม่เช่นนั้นสถานที่ลับเช่นนี้ให้ตายพวกท่านก็หาที่นี่ไม่พบหรอก ข้าเกือบต้องไปพบมัจจุราชแล้วจริงๆ”
เขาตบตามร่างกาย “ส่วนบาดแผลพวกนี้ ยังดีที่ทั้งหมดล้วนเป็นแผลภายนอก สำหรับข้าแล้วจะนับว่าเป็นอันใดได้ เพียงแต่สตรีสารเลวผู้นี้…อึก!”
แม้แต่หลิงมู่เอ๋อร์ก็ล้วนคาดไม่ถึง มองหนานกงอี้จือที่บาดเจ็บเล็กน้อยกระอักเลือดออกมาอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นเขาล้มลงไปต่อหน้า หลิงมู่เอ๋อร์ก็รีบพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว “อี้จือ อี้จือท่านเป็นอันใด?”
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆ พวกเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะสามารถเอาชนะข้าได้หรือ?” หมิ่นกุ้ยเฟยหัวเราะเสียงดังขึ้นมาโดยพลัน
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็สังหรณ์ใจไม่ดียิ่ง นางจับชีพจรของหนานกงอี้จือโดยพลันและเป็นไปดังคาด “เขาถูกพิษ!”
“มิน่าเล่าท่านแม่บุญธรรมจึงบอกว่าเจ้ามันร้ายกาจชั่วช้ายิ่งกว่าฉินเสียนถิง เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวรีบพุ่งเข้าไปตรงหน้านางโดยพลันและบีบคอนางแน่น เพราะความแข็งแกร่งไร้ขอบเขตตามธรรมชาติของนาง ทำให้หมิ่นกุ้ยเฟยที่ถูกบีบคอรู้สึกเพียงแค่หายใจไม่ออกและราวกับกำลังจะตาย
“ยาถอนพิษอยู่ที่ใด เอาออกมา!”
“ปล่อย ปล่อย-ข้า-เสีย!” หมิ่นกุ้ยเฟยดิ้นรนขัดขืน
ยามนี้ใบหน้าของนางเป็นสีแดงก่ำในขณะที่ดวงตาค่อยๆ พร่ามัว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหากนางยังออกแรงเช่นนี้ต่อไป หมิ่นกุ้ยเฟยย่อมตายตกในพริบตาเดียวเป็นแน่
หลิงมู่เอ๋อร์คลายมือออกอย่างเดือดดาลพลางตะโกน “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ยาถอนพิษอยู่ที่ใด!”
กล่าวจบหนานกงอี้จือก็กระอักเลือดสีดำออกมา ทันใดนั้นเขาก็เริ่มตัวกระตุกราวกับได้รับการกระตุ้นจากบางสิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่สนใจนางอีกรีบกลับไปข้างกายเขา หยิบเข็มเงินออกมาสกัดกั้นชีพจรของเขาก่อน แต่เพราะเมื่อครู่เสียเวลาซักไซ้ทำให้ดูเหมือนนางจะพลาดอันใดไป
เห็นสีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนแปลงไปมาก หมิ่นกุ้ยเฟยก็หัวเราะเย้ยหยันอีกครา “พิษแล่นเข้าสู่อวัยวะภายในแล้วใช่หรือไม่? ฮ่ะ ฮ่าๆๆ สายไปแล้ว หนานกงอี้จือเขาจะต้องตายเป็นแน่!”
“คนร้ายกาจเช่นเจ้ามัน…” ซั่งกวนเซ่าเฉินโกรธเกรี้ยว จับไหล่นางและกดลงไปบนพื้น “เอายาถอนพิษออกมา!”
“หากอยากได้ยาถอนพิษก็ย่อมได้ ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยข้า ข้าจะให้ยาถอนพิษพวกเจ้าทันที! พวกเจ้าปล่อยข้า แต่ไหนแต่ไรข้าก็รักษาคำพูดอยู่เสมอ แน่นอนว่าหากพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยข้า หนานกงอี้จือก็จะต้องถูกฝังไปอยู่เป็นเพื่อนถิงเอ๋อร์ ต่อให้ข้าตายก็คุ้มค่าแล้ว!”
หมิ่นกุ้ยเฟยราวกับไม่กลัวตายแม้แต่น้อย ทั้งยังมีท่าทีมั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว
เห็นนางจองหองและร้ายกาจเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยิบกริชคมกริบขึ้นมาจากพื้นและแทงลงไปบนหน้าอกของนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แต่เพราะควบคุมตำแหน่งได้ดีเป็นอย่างยิ่งทำให้อยู่ห่างจากหัวใจไปเพียงเล็กน้อย “เจ้าอยากให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้รับความทุกข์ทรมานก่อน!”
กล่าวจบนางก็ป้อนลูกกลอนให้อีกฝ่ายเม็ดหนึ่ง
หมิ่นกุ้ยเฟยดิ้นรนไม่ยอมกินลงไปแต่กลับสู้ฝีมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ นางพยายามพ่นยาลูกกลอนออกมา “เจ้าให้ข้ากินสิ่งใด? เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะเอายาถอนพิษให้เจ้าหรือ?”
“วางใจเถิดเจ้าไม่ตายหรอก แต่ภายในสิบชั่วยามต่อจากนี้เจ้าจะได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส จะมีหนอนนับหมื่นตัวกัดกินเนื้อและกระดูก พวกมันจะดูดกลืนเลือดของเจ้าจนอ้วนพีและระเบิดออกมาจากผิวหนัง ส่วนยาถอนพิษข้าไม่เอาแล้ว!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มองหมิ่นกุ้ยเฟยอีก หันไปจดจ่อกับขั้นตอนการรักษาหนานกงอี้จือ
หมิ่นกุ้ยเฟยคาดไม่ถึงว่านางจะทิ้งยาถอนพิษไปอย่างกะทันหัน และเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่ก็ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เหตุใดนางจึงรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าร่างกายรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล่า?
ร่างกายของนางจะมีหนอนมากมายคลานออกมาหรือ? ไม่ ความรู้สึกเช่นนั้นน่าขยะแขยงยิ่งกว่าฆ่านางเสียอีก
“หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย ยาพิษนั่นเป็นพิษแปลกประหลาดจากบ้านเกิดของข้า หากไม่มียาถอนพิษหนานกงอี้จือจะต้องตาย ได้ ข้าจะไม่ขอให้เจ้าปล่อยข้า แต่ข้ากับเจ้ามาแลกเปลี่ยนกันจะดีกว่ากระมัง เจ้าเอายาถอนพิษให้ข้า และข้าจะเอายาถอนพิษให้เจ้า แต่เจ้าคงต้องรีบหน่อย” หมิ่นกุ้ยเฟยกล่าวก่อนจะเริ่มกระตุกขึ้นมาโดยพลัน
ทว่าท่าทางที่ชักกระตุกขณะที่นางกำลังสวมชุดหัวฝูกลับทำให้ราวกับนางเป็นตัวตลก
“บ้านเกิดเจ้า?” หลิงมู่เอ๋อร์นึกบางสิ่งขึ้นได้โดยพลัน “ขอบคุณที่เตือน”
กล่าวจบนางก็หยิบกริชออกมากรีดที่ข้อมือของตนเองอย่างไม่ลังเล
“มู่เอ๋อร์!” ซั่งกวนเซ่าเฉินตึงเครียดอย่างถึงที่สุด หมิ่นกุ้ยเฟยบาดเจ็บสาหัสย่อมหนีไปได้ไม่ไกล เขาจึงรีบปล่อยนางและพุ่งเข้าไปข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ “มู่เอ๋อร์นี่เจ้าทำอันใด?”
“ข้ากับท่านเคยถ่ายเลือดให้กันแล้ว ในเลือดของข้าย่อมมีไป่หลิงเซียนอยู่ด้วย มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถถอนพิษอี้จือได้ด้วยระยะเวลาที่เร็วที่สุด”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “บ้านเกิดของหมิ่นกุ้ยเฟยอยู่ที่ฟานไว่ ยาพิษอันแปลกประหลาดของที่นั่นไม่อาจแก้ได้ในชั่วข้ามคืน แย่แล้ว หมิ่นกุ้ยเฟย..” ยามที่ซั่งกวนเซ่าเฉินหันกลับไปก็เห็นเพียงหมิ่นกุ้ยเฟยหนีไปแล้ว แต่เขากลับไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย หยิบกริชบนพื้นขึ้นมาก่อนจะซัดออกไปโดยไม่หันกลับไปมอง
ทุกคนได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง หมิ่นกุ้ยเฟยก็ถูกตอกติดอยู่บนเสาหินนอกประตูอย่างแม่นยำแล้ว
มองหนานกงอี้จืออีกครา หลังจากดื่มเลือดของหลิงมู่เอ๋อร์สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปมีเลือดฝาด
“พี่ พี่สะใภ้…ไม่เหมาะ” เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้นเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสถานะของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็พยายามลุกขึ้น
“เลือดของข้าเป็นยาถอนพิษที่ดีที่สุดในโลก ถือว่าชดใช้ให้ท่านที่ได้รับบาดเจ็บ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มมองเขาอย่างอ่อนโยน และลูบผมอย่างแผ่วเบาราวกับกล่อมเด็กน้อยให้หลับสนิท “นอนเถิด ตื่นขึ้นมาอีกคราทุกอย่างก็จบแล้ว หนานกงอี้จือวันนี้ท่านเก่งมากจริงๆ หลังจากแม่บุญธรรมรู้จะต้องชื่นชมท่านเป็นแน่ ไปหาท่านแม่บุญธรรมในฝันก่อนเถิด”
คำพูดของนางยังไม่ทันจบ ดวงตาของหนานกงอี้จือก็ค่อยๆ ปิดลงจนสุดท้ายก็เข้าสู่ห้วงนิทราไป
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์เก็บมือกลับมา ซั่งกวนเซ่าเฉินก็รีบสอบถามทั้งยังมองนางอย่างเคร่งเครียด “บาดแผลของเจ้าเล่า?”
“นี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย ยาสมานแผลของผู้ใดจะมีประโยชน์เท่าของข้าเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์ไหวไหล่และส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน ก่อนจะมองหนานกงอี้จืออีกครา “พิษถูกถอนหมดแล้วแต่ยังจำเป็นต้องพักฟื้นอีกหลายวัน เกรงว่าคงไม่อาจพาเขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า “มีแม่ทัพใหญ่ไร้พ่ายที่เป็นพยาน ทั้งยังมีมือสังหารของหมิ่นกุ้ยเฟยอยู่ อี้จือจะไม่ไปก็ย่อมได้”
กล่าวจบก็ได้ยินเพียงเสียงลมหอบหนึ่งจากข้างหลัง นายพลใหญ่ไร้พ่ายพามือสังหารที่แทบไม่มีสติมาปรากฏตัวตรงหน้า
“ทูลองค์ชายรอง กระหม่อมทำตามรับสั่งลุล่วงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดีมาก ครานี้ลำบากแม่ทัพใหญ่ไร้พ่ายแล้ว อย่างไรก็ขอให้แม่ทัพใหญ่พาหมิ่นกุ้ยเฟยที่อยู่นอกประตูไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับข้าด้วย!” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองทุกสิ่งเบื้องหน้าอย่างพึงพอใจ
แผนล่องูออกจากถ้ำจบสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว มีคำสารภาพจากปากของนาง และมีแม่ทัพใหญ่ไร้พ่ายเป็นพยาน ต่อให้หมิ่นกุ้ยเฟยจะฝีปากดีเพียงใด ครานี้ก็จนปัญญาจะหนีรอดแล้ว!
“ช้าก่อน!” หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สามีลืมไปแล้วหรือ ยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินชะงัก เข้าใจความหมายจากสายตาของนาง “ภรรยาพูดถูก ในเมื่อต้องจัดการเช่นนั้นก็จัดการให้หมดในคราวเดียวเถิด”
เขาหันกลับไปตะโกนใส่อากาศอันว่างเปล่า “ออกมา!”
องครักษ์เงาผู้หนึ่งปรากฏตัวข้างหลังอย่างเงียบเชียบ “พ่ะย่ะค่ะนายท่าน?”
“ไปจัดการตามแผน”