เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 17 ตอนที่ 484 กระโดดเข้ากระถางไฟ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 484 กระโดดเข้ากระถางไฟ
เล่มที่ 17 ตอนที่ 484 กระโดดเข้ากระถางไฟ
“มู่เอ๋อร์!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบไฟพยุงร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ ยามที่หันกลับไปอีกคราก็เห็นเพียงดาบในมือของฉินอวี้เหิงแทงทะลุไหล่ของหมิ่นกุ้ยเฟย
“กรี๊ด! เซียวเหยาหวางฆ่าคน!”
สาวใช้ข้างตัวของหมิ่นกุ้ยเฟยกรีดร้องขึ้นมา ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็ตกสู่ความวุ่นวาย
หวางเย่ผู้สูงศักดิ์ลอบสังหารกุ้ยเฟยของฮ่องเต้ ต่อให้เขาจะมีเหตุผลนับหมื่นเกรงว่าเรื่องนี้ก็ย่อมมีจุดจบไม่น่าดู
องครักษ์หลวงพุ่งเข้าไปล้อมฉินอวี้เหิงไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังยกหอกในมือขึ้นพลางข่มขู่อย่างโกรธเกรี้ยว “เซียวเหยาหวางโปรดวางอาวุธด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องลงมือ”
มองหมิ่นกุ้ยเฟยที่เบิกตากว้างถูกตนแทงทะลุไหล่อยู่ในกองไฟจนมีเลือดไหลออกมา ฉินอวี้เหิงก็ตะลึงงันเช่นกัน เหตุใดนางจึงไม่ต่อต้าน?
‘เคร้ง’ ดาบในมือหล่นลงพื้น เขาถูกองครักษ์หลวงควบคุมตัว
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงตอบสนองออกมา “กระดุม กระดุมนั่นอยู่ในกระถางไฟ เสด็จพี่รอง!”
เขาหันกลับไปใช้สายตาส่งสัญญาณให้ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่หยุด
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินยืนยันแล้วว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เป็นอันใดก็เดินมาข้างหน้าโดยพลัน หมิ่นกุ้ยเฟยในยามนี้ล้มลงไปในกระถางเลือดแล้ว
“ให้คนมายกหมิ่นกุ้ยเฟยขึ้น!”
หมิ่นกุ้ยเฟยไม่ทราบว่าจงใจหรือเพราะบาดเจ็บสาหัส นางนอนอยู่ในกระถางไฟปล่อยให้ร่างกายของนางถูกไฟเผาแต่กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองข้างของนางมององครักษ์หลวงพลางขอความช่วยเหลืออย่างยากลำบาก “ช่วย ช่วยด้วย…”
“รีบช่วยคนเร็ว!”
เหล่าองครักษ์หลวงตกใจด้วยเกรงว่าจะไม่มีหนทางไปอธิบายแก่ฮ่องเต้ได้ รีบให้คนไปช่วยเหลือหมิ่นกุ้ยเฟยที่หมดสติขึ้นมาและดับไฟบนร่างของนาง แต่เพราะเมื่อครู่เสียเวลา ในกระถางไฟทั้งหมดจึงถูกไฟเผาไปนานแล้ว
“ไม่มีกระดุม” ซั่งกวนเซ่าเฉินส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง
ฉินอวี้เหิงราวกับเสียสติไปแล้ว “เป็นไปไม่ได้ เปิ่นหวางไม่มีทางมองผิดเด็ดขาด เป็นกระดุมนั่น! หมิ่นกุ้ยเฟยจงใจหยิบเสื้อผ้าของฉินเสียนถิงมาเพื่อปิดบังกระดุมนั่นไว้ นางเป็นฆาตกรที่สังหารเสด็จแม่ นางจงใจกระโดดเข้าไปไม่ยอมออกมา เป็นนางที่จงใจทำลายหลักฐาน ข้า…”
“หวางเย่!”
องครักษ์หลวงตะคอกออกมาขัดจังหวะคำพูดของฉินอวี้เหิง เขามองไปที่หมิ่นกุ้ยเฟยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งยังมองสภาพโดยรอบ “หวางเย่โปรดระงับโทสะ แม้กระหม่อมจะไม่รู้ว่าที่นี่มันเกิดอันใดขึ้น แต่การที่หวางเย่หมายสังหารกุ้ยเฟยเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของวังหลวง ขอหวางเหย่ให้ความร่วมมือกับพวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบ หลังจากองครักษ์ส่งสัญญาณมือ ฉินอวี้เหิงก็ถูกคนพาตัวไป
“เสด็จพี่รอง ช่วยข้าด้วย!”
ยามที่ฉินอวี้เหิงถูกพาออกไปก็ยังดิ้นรนไม่หยุด ดวงตาของเขาแดงก่ำแต่กลับจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้ว่าเขามิได้ขอให้ช่วยเขาออกมาจากคุกหลวง แต่อยากให้หาทางพิสูจน์ว่าหมิ่ยกุ้นเฟยเป็นฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟย
“ยังงงอันใดอยู่อีก ไปตามหมอหลวง!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินตำหนิอย่างเดือดดาล เหล่าผู้คนที่ตัวแข็งทื่อจึงเพิ่งเคลื่อนไหว เหล่าสาวใช้รีบหามหมิ่นกุ้ยเฟยเข้าไปในห้อง เหล่าองครักษ์ก็รีบจัดการกับความวุ่นวาย บ่าวบางคนวิ่งไปอย่างตื่นตระหนก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีบางคนไปห้องทรงพระอักษร และมีบางคนไปสำนักหมอหลวง
“เป็นหมิ่นกุ้ยเฟยทำจริงหรือ?” ผ่านไปนานหนานกงอี้จือจึงเพิ่งดึงสติกลับมาได้ เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปหาซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์
“ญาติผู้พี่ ท่านมิใช่บอกว่าคนที่อันตรายที่สุดคือคนที่เป็นไปได้น้อยที่สุดหรือ? แต่เมื่อครู่สายตาของฉินอวี้เหิงไม่เหมือนว่าจะมองผิด หรือว่า…”
ซั่งกวนเซ่าเฉินหลับตาก่อนจะลืมตาอีกครา และถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าหมิ่นกุ้ยเฟยจะเป็นฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟย เพราะความเกี่ยวพันนี้พวกเราทุกคนจึงล้วนคาดเดาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นนาง แต่คาดไม่ถึงว่า…”
“ฉินอวี้เหิงพูดไม่ผิด หมิ่นกุ้ยเฟยจงใจเผาเสื้อผ้าของฉินเสียนถิง เพื่อปกปิดการเผาทำลายชุดที่มีกระดุมและเลื่อมหลุดหายไป นางกระโดดเข้าไปในทะเลเพลิงเพื่อซ่อนหลักฐานอย่างไม่ลังเล หมิ่นกุ้ยเฟยผู้นี้ลงมือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าฉินเสียนถิงเสียอีก!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว มองหมิ่นกุ้ยเฟยที่ถูกหามไปพลางกัดฟัน
ผู้ที่สามารถกระทำการโหดร้ายกับตนเองได้เช่นนี้ แค่คิดก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่านางจะลงมือทำเรื่องโหดเหี้ยมได้มากเพียงใด
“แต่ยามนั้นหมิ่นกุ้ยเฟยถูกกักตัวไว้ในวังหลัง อีกทั้งอี้กุ้ยเฟยก็อยู่ดูแลข้างกายฝ่าบาทอยู่ตลอด พวกนางสองคนจะมาพบกันได้อย่างไร? พูดตามหลักแล้วหากอี้กุ้ยเฟยรู้ว่าเป็นหมิ่นกุ้ยเฟยที่นัดพบย่อมไม่ปรากฏตัวเป็นแน่กระมัง” หนานกงอี้จือคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
“อี้กุ้ยเฟยย่อมไม่ไปพบหมิ่นกุ้ยเฟยเป็นแน่ นางเป็นห่วงฝ่าบาท หากมิใช่เพราะมีเหตุผลเป็นพิเศษวันนั้นย่อมไม่ออกมาจากตำหนักเฉียนชิง จะต้องมีคนช่วยเหลือเป็นแน่!”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะมิได้เห็นเหตุการณ์ในยามนั้นด้วยตาตนเอง แต่นางเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้หมิ่นกุ้ยเฟยจะต้องติดสินบนผู้ใดเป็นแน่
“แต่กระดุมก็ถูกเผาไปแล้ว พวกเราไม่มีหลักฐานที่จะชี้ตัวหมิ่นกุ้ยเฟยได้ อีกทั้งฉินอวี้เหิงยังแทงนางอีก เรื่องนี้นับว่าซับซ้อนแล้ว”
เป็นไปดังคาด ยามที่ฮ่องเต้รู้ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยถูกฉินอวี้เหิงกดดันจนกระโดดเข้าทะเลเพลิงเพื่อปลิดชีพตนเองก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่งแล้ว ทั้งยังได้ยินว่าฉินอวี้เหิงแทงหมิ่นกุ้ยเฟยต่อหน้าธารกำนัลไปหนึ่งดาบหมายสังหารคนจึงมีรับสั่งให้ขังเซียวเหยาหวางไว้ในคุกหลวง ทั้งยังปลดสถานะหวางเย่ของเขาออก ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งเรื่องนี้ให้ฉินรั่วเฉินจัดการอีกด้วย
“ฉินรั่วเฉินอีกแล้วหรือ? หากฉินอวี้เหิงตกไปอยู่ในมือของเขาจะต้องตายเป็นแน่!”
หลิงมู่เอ๋อร์โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด หมุนกายคิดจะไปที่ห้องทรงพระอักษร
“มู่เอ๋อร์!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินรีบห้ามนางไว้ “ฝ่าบาทกำลังมีโทสะ หากเจ้าไปยามนี้ก็มีแต่จะเพิ่มโทสะให้พระองค์เท่านั้น ใจเย็นลงก่อนเถิด”
“ข้าเกรงว่าหากไม่ไปยามนี้ ฉินอวี้เหิงคงถูกฉินรั่วเฉินทรมานจนไม่ตายก็พิการไปเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทฟังคำของผู้อื่นเพียงข้างเดียวจึงยังไม่รู้สถานการณ์ในยามนั้นอย่างละเอียด พวกเราควรไปอธิบายให้ชัดเจน” หลิงมู่เอ๋อร์ยืนกราน
ซั่งกวนเซ่าเฉินเปลี่ยนความคิดของนางไม่ได้จึงทำได้เพียงไปห้องทรงพระอักษรกับนางด้วย แต่ผลคือฮ่องเต้ปฏิเสธการขอเข้าเฝ้า
“องค์ชายรอง เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง อย่างไรก็ขอเชิญพวกท่านสองพระองค์กลับไปเถิด ระยะนี้ในวังหลวงเกิดเรื่องขึ้นมากมายทำให้ฝ่าบาทซึ่งในที่สุดก็อาการประชวรดีขึ้นกลับไปประชวรหนักอีกครา ฝ่าบาททนรับการกระทบกระเทือนอันใดไม่ไหวอีกแล้วจริงๆ พวกท่านให้ฝ่าบาทได้สงบจิตสงบใจลงหน่อยเถิด” สี่กงกงโน้มน้าวด้วยคำพูดอันดีว่าไม่อยากให้ผู้เป็นนายถูกคนรบกวน
“สี่กงกง ข้ารู้ว่ายามนี้อารมณ์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับฆาตกรที่สังหารกุ้ยเฟย แม้เรื่องนี้หมิ่นกุ้ยเฟยจะเป็นเหยื่อแต่พวกเราสงสัยว่านางจะเป็นฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟย ขอสี่กงกงช่วยทูลฝ่าบาทให้มาพบหน้าพวกเราสักคราเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ยัดกำไลหยกเข้าไปในมือของเขา แต่น่าเสียดายที่สี่กงกงกลับส่งคืนมา
“เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง มิใช่กระหม่อมไม่อยากช่วยท่าน แต่ยามนี้พระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดีจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทก็ทรงบรรทมไปแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกท่านค่อยกลับมาอีกคราเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกไม่นานองค์ชายหกก็จะไต่สวนฉินอวี้เหิงแล้ว เกรงว่าการลงโทษใดที่ควรใช้หรือไม่ควรใช้ก็คงล้วนถูกเอาไปใช้กับฉินอวี้เหิงจนไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาหุนหันกับการสืบสวนไม่ควรจะมาได้รับการทรมานเหล่านี้” หลิงมู่เอ๋อร์ยืนกรานหนักแน่นหวังว่าจะพอโน้มน้าวสี่กงกงได้
“โธ่ถัง เจิ้งเฟยขององค์ชายรอง เรื่องนี้ท่านมาบอกกับกระหม่อมไปก็ไม่มีประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ ความจริงเป็นเพราะเซียวเหยาหวางหุนหันกับเรื่องนี้เกินไป!” สี่กงกงทอดถอนใจอย่างหนัก “แม้ฝ่าบาทจะให้อำนาจเขาในการสืบสวนแต่หลังหาฆาตกรก็มิได้ให้เขาเอาอำนาจไปใช้ในทางที่ผิด! ในฐานะองค์ชายกลับพยายามสังหารกุ้ยเฟยของฝ่าบาท เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบไม่น้อยไปกว่าเรื่องการเสียชีวิตของอี้กุ้ยเฟยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
สี่กงกงกล่าวจบก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ยิ่งไปกว่านั้นในเวลาแค่ครึ่งชั่วยาม ข่าวลือเรื่องที่หมิ่นกุ้ยเฟยกระโดดเข้ากระถางไฟเพื่อปลิดชีพตนเองอย่างน่าเวทนาก็ล้วนแพร่กระจายไปทั่ววังหลวงแล้ว เกรงว่าแม้พวกท่านจะไปทูลอันใดต่อฝ่าบาทในยามนี้ เซียวเหยาหวางผู้นี้ก็ยังต้องอยู่ในคุกไปอีกระยะหนึ่ง พวกท่านอย่าเสียแรงเปล่าเลยพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบ สี่กงกงก็หมุนกายจากไป หลิงมู่เอ๋อร์รีบจับข้อมือของเขา เดิมนางยังอยากขอร้องอันใดแต่กลับพบว่าสี่กงกงกำลังสั่นเทาไม่หยุด
คนผู้หนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องเหตุใดจึงหวาดกลัวถึงเพียงนี้?
“สี่กงกง ข้ามิได้อยากทำให้เจ้าลำบากใจ หากฝ่าบาทไม่ให้เข้าเฝ้าก็ย่อมได้ แต่เมื่อครู่หลังจากหมิ่นกุ้ยเฟยถูกคนพาตัวไป องครักษ์หลวงก็ปิดล้อมตำหนัก พวกเราไม่เจอคนจึงไม่ทราบสถานการณ์ของนาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมิ่นกุ้ยเฟยเป็นเช่นไรบ้าง?”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ซักไซ้อีก สี่กงกงก็พ่นลมหายใจออกมาเงียบๆ “ได้ยินว่าบาดแผลค่อนข้างสาหัสพ่ะย่ะค่ะ นั่งอยู่ในกระถางไฟนานถึงเพียงนั้นทั้งยังถูกเซียวเหยาหวางแทงทะลุไหล่ ได้ยินว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงบอกว่าคงต้องใช้เวลาพักฟื้นสักระยะ แต่หลังจากนางฟื้นขึ้นมาก็ร่ำไห้ต่อฝ่าบาทว่าลูกชายของนางเพิ่งตายยังมาถูกคนหมายสังหารอีก ฝ่าบาทจึงปวดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง”
ได้ยินว่าเขาจงใจเน้นเสียงคำว่าปวดใจและลูกชาย ในใจหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาโดยพลัน แต่สายตาของนางสังเกตเห็นสี่กงกงที่หลบเลี่ยงสายตาได้อย่างชัดเจน
ขันทีผู้หนึ่งจะเกรงกลัวอันใดกัน?
“รบกวนสี่กงกงกลับไปทูลฝ่าบาทด้วยว่า ยามนั้นหมิ่นกุ้ยเฟยกระโดดเข้าไปในกระถางไฟด้วยตนเองหาได้ถูกคนข่มขู่ ส่วนที่แทงด้วยดาบเซียวเหยาหวางก็มิได้ตั้งใจ”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบก็ยืนกรานยัดกำไลเข้าไปในอกของเขา ก่อนจะดึงเขาไปที่มุมหนึ่ง “สี่กงกงช่วยเหลือพวกเราได้มาก ขออย่าปฏิเสธน้ำใจเล็กน้อย พูดตามตรงมู่เอ๋อร์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากถาม”
ได้ยินนางขอร้องตนเอง สี่กงกงก็ใคร่ครวญอยู่หลายคราก่อนจะกล่าวขอบคุณและยัดกำไลเข้าไปในอก “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองเกรงใจกันเกินไปจริงๆ ท่านมีพื้นเพเป็นสามัญชนแต่กลับมีความเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทจึงปฏิบัติต่อท่านต่างออกไป”
ถูกเยินยอเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เพียงแค่ยิ้มบางออกมา “สี่กงกงก็รู้ว่าข้ากับอี้กุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นางปฏิบัติต่อข้าเหมือนลูกสาวดังนั้นการที่นางเสียชีวิตอย่างกะทันหันจึงทำให้ข้าเสียใจมาก ข้าอยากขอถามสี่กงกงว่าวันนั้นยามที่อี้กุ้ยเฟยดูแลฝ่าบาทได้พบกับผู้ใดหรือไม่?”
สี่กงกงตกใจรีบดึงแขนที่ถูกนางจับไว้กลับ ทั้งร่างระแวดระวังขึ้นมา ท่าทางราวกับเตรียมป้องกันศัตรู แม้ว่าเพียงไม่นานเขาจะยิ้มออกมาแต่ภาพเมื่อครู่ก็ถูกหลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเห็นอย่างชัดเจน
“เรียนเจิ้งเฟยขององค์ชายรอง อี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมิได้พบผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่พบผู้ใด เช่นนั้นเหตุใดจึงไปพบหมิ่นกุ้ยเฟยได้?” หลิงมู่เอ๋อร์ถาม ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มจ้องมองเขาอย่างพิจารณา
“เรื่องนี้ เรื่องนี้กระหม่อมจะทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
สี่กงกงตื่นตระหนกขึ้นมาและไม่กล้าสบสายตากับนาง “หากเจิ้งเฟยขององค์ชายรองไม่มีเรื่องอื่นแล้ว กระหม่อมต้องรีบกลับไปดูแลฝ่าบาทก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ความจริงก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็แค่หาฆาตกรที่สังหารอี้กุ้ยเฟยต่อไปเท่านั้น แต่ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบังกงกง ยามนี้พวกเราสอบสวนพบแล้วว่าหมิ่นกุ้ยเฟยคือฆาตกร แต่หมิ่นกุ้ยเฟยถูกฝ่าบาทสั่งมิให้ออกมาจากวังหลัง เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนล่ออี้กุ้ยเฟยออกไป คนผู้นั้นก็คือผู้สมรู้ร่วมคิดของฆาตกร! มู่เอ๋อร์เพิ่งมาจึงยังไม่รู้กฎเกณฑ์มากมายในวังหลวง แต่กงกงย่อมรู้เป็นแน่กระมังว่าการสังหารกุ้ยเฟยจะมีจุดจบเช่นไร?”
ยามที่สี่กงกงหมุนกายก็ตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าของเขาซีดเผือดถึงขั้นไม่กล้ามองตาของหลิงมู่เอ๋อร์ “เจิ้งเฟยขององค์ชายรองทั้งมีความเมตตาและความเป็นธรรม พระองค์เอาใจใส่คดีของอี้กุ้ยเฟยเช่นนี้เชื่อว่าวิญญาณของอี้กุ้ยเฟยที่อยู่บนสวรรค์จะต้องยินดีมากเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าเจิ้งเฟยขององค์ชายรองยังต้องคิดหาวิธีพาเซียวเหยาหวางออกมา ส่วนกระหม่อมยังต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาท เช่นนั้นขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รอให้หลิงมู่เอ๋อร์ตอบ เขาก็รีบหนีกลับไปในตำหนักอย่างตื่นตระหนก แต่ก่อนที่เขาจะสาวเท้ายาวก้าวจากไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็เห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขาได้อย่างชัดเจน